สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิพ และคนที่สนใจอยากจะแก้ปัญหาหัวล้าน หัวเถิก ที่เป็นปัญหากวนใจของผู้ชายส่วนใหญ่ของโลกนี้ วันนี้ผมจะมาเล่าเคสของผมให้ฟังกันครับ เผื่อเพื่อนๆ จะเอาไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจรักษาได้
ช่วงที่รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มผมบาง และการรักษาเบื้องต้น
--------------------------
- ตัวผมเองเริ่มผมข้างหน้าบางลงตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ( 2008 ) โดยช่วงนั้นเริ่มรู้สึกว่าถ่ายรูปแล้วทำไมหัวมันเถิกๆ ดูหน้าแก่กว่าวัยจัง ในยุคนั้นการรักษาแบบปลูกผมยังไม่มี หรือถึงมี ก็จะแพงมาก ผมก็หาวิธีการรักษาผมบางอยู่หลายอย่าง จนไปเจอคลีนิคนครหลวงการแพทย์ ที่เชิงสะพานปิ่นเกล้า ก็เลยลองไปหาหมอและกินยาดู ก็พบว่า หลังจากนั้นผมมันก็ขึ้นมาดกดำจริง จากที่เคยหัวเถิก มันก็ขึ้นกลับมาจนถึงแนว hairline เดิมได้เลยครับ
- เท่าที่ลองหาข้อมูลเบื้องต้น เหมือนยาที่หมอนครหลวงฯ ให้กิน ก็จะเป็นกลุ่มยาพวก ไมน๊อกซิดิล เป็นยาความดันที่มีผลข้างเคียงทำให้ผมและขนขึ้นทั่วร่างกาย ก็นั่นแหละครับ กินแล้วขนแขนขนหูก็งอกยาวเยอะตามไปด้วย 555 ผมเองก็รักษาด้วยการกินยาของหมอนครหลวงฯ ทุกวัน มาเกือบ 10 ปีครับ โดยค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ยๆ ของค่ายาหมอก็ตกราวๆ เดือนละ 600 กว่าบาท ( ถ้าจำไม่ผิดนะ )
ช่วงที่เริ่มหยุดยานครหลวงฯ และผมกลับมาบางอีกครั้ง
--------------------------
- เนื่องจากมีอยู่ช่วงนึง ราวๆ ปี 2017 ที่ภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างตึงมือ ทำให้ผมเองต้องลดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่จำเป็นออก ค่ายานครหลวงก็เลยต้องถูกตัดออกไป ทำให้ผมไม่ได้กินยาตั้งแต่นั้นมา
- ช่วงที่หยุดแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีผลอะไรเท่าไหร่ครับ แต่พอเวลาผ่านไป สักช่วงปี 2020 ก็เริ่มเห็นผล เลย คือ… ผมกลับมาร่วงและด้านหน้าเริ่มบางอีกครั้ง และ… ความดันสูง
- โดยความดันสูงเนี่ย ส่วนนึงก็อาจจะเพราะช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยได้ออกกำลัง และอาจจะเป็นได้ว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกินยาความดัน ไมน๊อก ต่อเนื่องมาตลอดหลายปีก็เป็นได้ครับ
- แต่ช่วงแรกๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ก็ยังแบบ เออ ก็ไม่ได้อะไรมาก แค่ผมบางๆ แต่พอเวลาผ่านไป เข้ามาช่วงปี 2022 นี่ พอส่องกระจก หรือไปจ้องหน้าตัวเองในร้านตัดผม ก็เริ่มรู้สึกว่า “ทำไมกูแก่จังวะเนี่ย” ( ซึ่งจริงๆ ก็แก่น่ะแหละเพราะตอนปี 2022 นี่ก็อายุ 44 แล้วนะ 555 )
กระแสการมาของการปลูกผมถาวร
--------------------------
- ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อยู่ๆ ก็เหมือนเป็นยุคทองของหมอปลูกผม เพราะมองไปรอบๆ อีกที จู่ๆ ก็มีหมอปลูกผมเปิดคลีนิคปลูกผมกันเต็มไปหมด ผมเองก็ งงๆ เหมือนกันว่า ทำไมอยู่ๆ มันบูมขึ้นมาได้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีนะ แต่ก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า มีเยอะก็ดีแล้วกัน 555
- ส่วนตัว ช่วงต้นๆ ปี 2023 ก็เริ่มลองไปหา อจ.หมอดำเกิง ตามคำแนะนำของเพื่อนที่ไปทำมาก่อนหน้า พอไปวัดจำนวนกราฟ + ตรวจร่างกาย ก็พบว่า ความดันสูง หมอดำเกิงก็เลยไล่ให้ไปคุมความดันให้ได้ก่อน ถึงจะทำได้ ช่วงปี 2023 ก็เลยกลายเป็นปีแห่งการควบคุมความดันแทน สุดท้ายก็ลงเอยที่กินยาความดัน จนความดันกลับมาปกติ ช่วงปลายๆ ปีครับ
- พอความดันปกติ ก็เลยทัก Line เจ้าหน้าที่ ของหมอดำเกิง ที่เคยคุยกันไว้ ปรากฏว่า เหมือนเจ้าหน้าที่เขาก็ย้ายออกไปทำกันเองหมดแล้ว ส่วนตัวขี้เกียจกลับไปคุยใหม่ + ราคาที่หมอดำเกิง quote มาค่อนข้างแพง ( ราวๆ เฉียด 300k ) เพราะเป็น อจ. หมอชื่อดัง+ผมต้องใช้กราฟเยอะ ก็เลยเริ่มหาตัวเลือกที่อื่นแทน
- ก็ได้เพื่อนคนเดิม แนะนำให้รู้จักหมอหมิง Ultima Hair Center ว่ามีเพื่อนอีกคนไปทำมา หมอทำดีแล้วก็ราคาสมเหตุสมผล ที่สำคัญ หมอหมิงก็ได้เป็นแพทย์อเมริกันบอร์ด ด้านการปลูกผมด้วย ก็เลยลองไปคุยดู
คุยเพื่อประเมินกราฟและค่าใช้จ่ายกับหมอหมิง Ultima Hair Center
--------------------------
- ช่วงต้นปี 2024 ก็เลยลองแวะเข้าไปคุยกับหมอหมิงดู คุณหมอก็วัดกราฟและให้ข้อมูลถึงวิธีปลูกผมทั้งสองแบบ คือ FUE และ FUT สุดท้ายก็เลือก FUT เพราะหมอหมิงแนะนำว่าเวลาเสร็จแล้ว จะเป็นธรรมชาติมากกว่า ( FUE คือ การขุดเอาผมแต่ละกอจากด้านหลังมาปัก แต่ FUT จะเฉือนหนังศรีษะออกแล้วไปแยกรากผมอีกที ทำให้อัตรากราฟที่จะดีมีเยอะกว่า และที่สำคัญก็คือไม่ต้องไถผมด้านหลังออกทั้งหมด )
- ผมเองก็เถิกค่อนข้างเยอะ ก็เลยประเมินมาได้ราวๆ 3200 กราฟ ค่าใช้จ่ายก็ตกราวๆ 120k ( เรทรีวิว ) ก็ถือว่า happy กับราคาที่ประเมินมาครับ ก็เลยตัดสินใจตกลงทำกับหมอหมิง ก็นัดวันคิวทำเรียบร้อยครับ
วันที่เข้าไปทำผม
--------------------------
- ก่อนเข้าไปผมก็ตัดผมให้เป็นทรงไม่ยาวรุงรัง หมอจะได้ทำได้สะดวกขึ้น ( อันนี้คิดเอง ) ที่เหลือก็เตรียมตัวตามที่หมอแนะนำครับ โดยเคสของผมจะใช้เวลานาน หมอประเมินเบื้องต้นว่า ก็ทั้งวันเลย
[ ช่วงแรก ] เข้าไปราวๆ 10 โมงเช้า ก็วาดแนวของผมที่จะทำให้เหมาะสมกับรูปหน้าของเรา เสร็จแล้ว 11 โมง ก็เข้าห้องผ่าตัดไปนอนคว่ำเพื่อทำการเอาหนังศรีษะส่วนนึง สูงราวๆ 1-2 cm ออกมาให้พยาบาลเอาไปแยกกราฟผมต่อครับ โดยตอนทำก็ไม่เจ็บ เพราะฉีดยาชาอยู่แล้ว แต่ก็แอบตกใจเพราะตอนแรกเข้าใจว่าจะเอาออกเฉพาะด้านหลัง สรุปก็ต้องผ่าเป็นแถบยาวมาถึงเหนือหูสองข้างเลยครับ หลังจากผ่าเสร็จก็เย็บแผล แล้วก็ออกไปกินข้าว ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง เสร็จประมาณบ่ายโมง ครับ
[ ช่วงที่สอง ] หลังจากกินข้าวเสร็จก็มาถึงขั้นตอนต่อไป นั่นก็คือ การเจาะรูเพื่อเตรียมปักผมที่แยกกราฟออกมาในขั้นตอนแรก โดยขั้นตอนนี้หมอหมิงจะเป็นคนทำครับ เพราะเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ที่ต้องอาศัยความชำนาญมากๆ เพราะถ้าหมอไม่ชำนาญ ตัวแนวผม + การเรียงตัวของผม ก็จะออกมาไม่เป็นธรรมชาติครับ ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาอีกประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ เสร็จราวๆ บ่าย 3 ครับ ก็ไม่เจ็บเหมือนเดิมเพราะฉีดยาชา
[ ช่วงที่สาม ] หลังจากพักเข้าห้องน้ำ ก็ถึงเวลาขั้นตอนสุดท้ายที่ใช้เวลานานที่สุด นั่นก็คือ การเอาผมแต่ละกอแต่ละกราฟที่แยกไว้ มาปักเสียบในรูที่หมอหมิงได้เจาะไว้ครับ โดยขั้นตอนนี้จะมีคุณหมออีกสองท่าน มาช่วยกันปักผมลงไปในรู อ้อ ลืมบอกไปว่า ตั้งแต่ที่ผ่าหนังศรีษะในตอนเที่ยง หลังจากนั้นก็มีพยายาลผู้ช่วยอีก 4-5 คน นั่งส่องกล้องแยกกราฟผมกันตลอดเวลาตั้งแต่ตอนนั้น มาจนถึงขั้นตอนนี้เลยครับ และก็ยังแยกกันไม่เสร็จด้วยนะ คือ แยกผมไปด้วย แล้วก็ปักผมไปด้วย ไปพร้อมๆ กัน 5555 งานละเอียดมากครับ
- ขั้นตอนนี้นานจนผมเองก็หลับไปหลายรอบ ตื่นมาก็ยังคงปักอยู่เหมือนเดิม ช่วงนี้คุณก็จะได้ reflect ชีวิตตัวเองที่ผ่านมาในอดีต แก้เบื่อไปครับ เพราะไม่มีอะไรให้ทำ เล่นมือถือก็ไม่ได้ เพราะต้องฉายไฟสาดใส่หน้า แล้วก็ต้องปิดตาเอาไว้ตลอด ก็ลองจินตนาการอะไรไปเรื่อยๆ ดูนะครับ 555
- กว่าจะเสร็จก็โน่นครับ สองทุ่ม ระหว่างนั้นผมก็ขอตัวแวะไปฉี่รอบนึงเพราะทนไม่ไหว ฉี่เสร็จก็กลับมาทำต่อครับ ทำเสร็จก็ล้างแผล แปะผ้าก๊อซ แล้วก็กลับบ้านได้ สรุปก็คือ เข้ามาตั้งแต่ 10 โมงเช้า เสร็จจริงๆ ก็สองทุ่มกว่าๆ เกือบสามทุ่มครับ
[ คืนแรกหลังทำ ] คืนนั้นก็จะนอนลำบากหน่อย เพราะมีแผลที่หลังหัวแล้วก็เลือดซึมค่อนข้างเยอะ ก็เอาผ้าขนหนูที่ไม่ได้ใช้มาม้วนๆ แล้วรองคอไว้แล้วเอาแผ่นรองซับมาปูหมอนอีกที ก่อนนอนก็กินพาราจะได้ไม่ปวดมาก วันแรกต้องนอนตรงๆ ห้ามตะแคงและล็อกหัวไว้ไม่ให้ขยับ เพราะผมที่เพิ่งปักวันแรกจะบอบบางมากครับ
หลังจากทำผมเสร็จแล้ว
--------------------------
- หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้นก็ต้องแวะเข้าไปที่คลีนิคอีกรอบ เพื่อแกะผ้าก๊อซ และให้พยาบาลสอนสระผมให้ โดยการเอาฟองมาแปะๆ เบาๆ แล้วล้างออกเบาๆ ด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ หลังจากนั้นก็กลับบ้านและไปใช้ชีวิตตามปกติครับ ช่วงนี้ก็จะปวดแผลด้านหลังหัวหน่วงๆ หน่อย ก็กินยาแก้ปวดไป แล้วก็อย่าไปโดนแดดโดนฝุ่นครับ ( ทำตามคำแนะนำของหมอได้เลย )
[ พอดีไม่ได้จดไดอารี่แบบละเอียดไว้ ก็เลยขอเล่าช่วงหลังเท่าที่นึกออกนะครับ ]
- หลังทำ ช่วงที่ลำบากที่สุด ก็คือช่วง 1-2 weeks แรกหลังทำ เพราะแผลที่หลังก็เลือดออกแถมนอนลงไปตรงๆ ก็ไม่ได้ ต้องหาหมอนมารองคอให้หัวลอยๆ จากพื้น ให้แผลไม่โดนกดครับ รวมถึงด้านหน้าที่ปักผมมาก็ต้องคอยระวังอย่าเผลอไปแกะไปเกาเด็ดขาด ไม่งั้นผมอาจจะพังได้เลย
- หลังจากผ่านไปเดือนนึงก็จะเริ่มดีขึ้น ระหว่างนั้นก็ต้องแวะเข้าไปที่คลีนิคเรื่อยๆ เพื่อให้พยาบาลสระผมและล้างแผลตามนัดครับ แต่แผลที่หลังหัวก็จะตึงมาก บางทีขยับนิดหน่อยก็จะมีอาการเลือดซึมแผลปริได้ ตรงนี้ก็จะเป็นส่วนที่ทรมานอยู่เหมือนกัน
- หลังจากนั้นพอแผลข้างหลังเริ่มสมานก็เข้าไปตัดไหมครับ หลังตัดเสร็จก็อาจจะมีเลือดซึมออกได้อีกบ้างตอนนอน แต่ก็จะพอที่จะนอนลงไปบนหมอนได้ตรงๆ แล้วครับ
- กว่าที่แผลด้านหลังจะหายค่อนข้างดีก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนครับ
- ส่วนผมด้านหน้า ช่วงแรกมันก็จะร่วงออกมาหมด ช่วง 3-4 เดือนแรกคุณส่องกระจกก็จะท้อๆ หน่อยว่า นี่ฉันทำผมมาแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย แต่ก็จะเป็นแบบนี้ทุกคนครับ กว่าจะเริ่มขึ้นอีกทีก็เดือน 5 เป็นต้นไป
- ลืมบอกไปว่า หลังจากทำก็ต้องกินยาสองตัว คือ Finasteride และ Minoxidil และมีเซรั่ม Minox ไว้หยอดผมในส่วนที่ไม่ได้ทำด้วยนะครับ เพราะถ้าเราไม่กินยา + ทายาเลี้ยงไว้ ไอ้ส่วนที่ไม่ได้ปลูก เดี๋ยวมันก็จะร่วงลงไปเองตามอายุด้วยครับ ก็ต้องกินยาตัวนี้ไปตลอดชีวิตนะ ( หรือจนกว่าจะแก่จนถึงจุดที่ปลงกับรูปร่างหน้าตาตัวเอง )
- ทุกๆ เดือนก็จะต้องแวะเข้าไปคลีนิคเพื่อให้หมอหมิงติดตามอาการ และซื้อยาทุกเดือนครับ ก็จะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ยๆ ราวๆ 780 บาท ( ค่ายากิน ) ส่วนยาทา ถ้าซื้อแบบ 4 ขวดก็จะตกขวดละ 690 บาท ขวดนึงก็ใช้ได้ราวๆ 2-3 เดือนครับ สรุปก็คือค่าใช้จ่ายต่อเนื่องตลอดไปอีกประมาณ เฉลี่ยเดือนละ 1,000 บาท
- ผมจะขึ้นแบบเห็นชัดๆ เลยก็ราวๆ เดือนที่ 7-8-9 เป็นต้นไป หลังทำมานะครับ ส่วนแผลที่หลังก็สมานกันแล้ว แต่ว่าบางทีไปจับๆ ก็แปล๊บๆ เสียวๆ นิดหน่อยครับ ก็รอดูกันไปว่าถ้าเวลาผ่านไปนานกว่านี้จะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนครับ
ทำมาแล้วพอใจไหม?
--------------------------
- ก็คงบอกได้คำเดียวว่า “พอใจมากกกกกก” เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ ที่ส่องกระจกแล้วก็เห็นลุงแก่ๆ หัวล้าน ตอนนี้ก็พอส่องแล้วก็รู้สึกว่าเด็กขึ้นมาอีกเป็น 10 ปีเลยครับ
- ใครที่ลังเลอยู่ ผมก็ขอแนะนำให้เก็บตังแล้วไปทำเลยครับ เพราะชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วก็บางทีอย่าไปเชื่อแฟนมาก เพราะบางทีแฟนเราอาจจะบ่นว่า “จะไปทำทำไม เป็นแบบนี้ก็หล่ออยู่แล้ว” หรือ “ถ้าโล้นก็โกนไปเลยสิ” อย่าไปเชื่อครับ ถ้าเราส่องกระจกแล้วเศร้า ก็ไปทำเหอะ หน้าเรา มันต้องอยู่กับเราตลอดเวลาครับ ความมั่นใจของลูกผู้ชายจะกลับมาแบบเยอะขึ้นมากจริงๆ นะ
- ส่วนที่อยากเตือนทิ้งท้ายไว้ก็คือ…
อย่า “Cheap out” นะครับ เพราะช่วงหลังๆ หมอทำผมเปิดกันเยอะมากๆ บางคนก็ฝีมือไม่ถึง ก็มาเปิดคลีนิคแล้ว โดยเฉพาะพวกคลีนิคแบบกราฟบุฟเฟต์ หรือแบบถูกๆ ผมแนะนำว่า เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่าครับ
- เพราะนอกจากว่าจะทำมาแล้วไม่ขึ้นแล้ว เสียผมที่เราเหลือน้อยไปฟรีๆ บางทีทำแล้วขึ้น แนวผมก็ออกมาไม่เป็นธรรมชาติ หรือแผลเป็นด้านหลังก็ดูไม่ดีอีกนะครับ ก่อนผมจะทำผมก็หาข้อมูลเยอะ เจอพวกเคสพังๆ เยอะเลย เห็นแล้วก็สงสารคนที่โดน แต่จุดเริ่มต้นคือ การ cheap out เน้นถูกไว้ก่อนนั่นเองแหละครับ … แนะนำว่า ถ้ายังไม่มีตัง ก็เก็บตังต่อไปอีกสักนิดดีกว่า อย่าไปเน้นถูกเลยครับ ได้ไม่คุ้มเสีย
- ก็เลยมาแนะนำหมอหมิง Ultima Hair Center ไว้ ใครสนใจลองติดต่อนัดไปคุยกับหมอหมิงดูก่อนได้เลย เพื่อประเมินค่าใช้จ่าย ไม่เสียค่าปรึกษาใดๆ ครับ ลองคุยเยอะๆ หลายๆ ที่ แล้วเลือกที่เหมาะสมกับงบประมาณของเรา + ดูเคสย้อนหลังเยอะๆ นะครับ และที่สำคัญ..อย่าเห็นแก่ของถูกครับ
รูป progress 8 เดือน
เพจ Ultima Hair Center ปลูกผมถาวร
[SR] เล่าประสบการณ์ การปลูกผม ที่ Ultima Hair Center ของหมอหมิง
ช่วงที่รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มผมบาง และการรักษาเบื้องต้น
--------------------------
- ตัวผมเองเริ่มผมข้างหน้าบางลงตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ( 2008 ) โดยช่วงนั้นเริ่มรู้สึกว่าถ่ายรูปแล้วทำไมหัวมันเถิกๆ ดูหน้าแก่กว่าวัยจัง ในยุคนั้นการรักษาแบบปลูกผมยังไม่มี หรือถึงมี ก็จะแพงมาก ผมก็หาวิธีการรักษาผมบางอยู่หลายอย่าง จนไปเจอคลีนิคนครหลวงการแพทย์ ที่เชิงสะพานปิ่นเกล้า ก็เลยลองไปหาหมอและกินยาดู ก็พบว่า หลังจากนั้นผมมันก็ขึ้นมาดกดำจริง จากที่เคยหัวเถิก มันก็ขึ้นกลับมาจนถึงแนว hairline เดิมได้เลยครับ
- เท่าที่ลองหาข้อมูลเบื้องต้น เหมือนยาที่หมอนครหลวงฯ ให้กิน ก็จะเป็นกลุ่มยาพวก ไมน๊อกซิดิล เป็นยาความดันที่มีผลข้างเคียงทำให้ผมและขนขึ้นทั่วร่างกาย ก็นั่นแหละครับ กินแล้วขนแขนขนหูก็งอกยาวเยอะตามไปด้วย 555 ผมเองก็รักษาด้วยการกินยาของหมอนครหลวงฯ ทุกวัน มาเกือบ 10 ปีครับ โดยค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ยๆ ของค่ายาหมอก็ตกราวๆ เดือนละ 600 กว่าบาท ( ถ้าจำไม่ผิดนะ )
ช่วงที่เริ่มหยุดยานครหลวงฯ และผมกลับมาบางอีกครั้ง
--------------------------
- เนื่องจากมีอยู่ช่วงนึง ราวๆ ปี 2017 ที่ภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างตึงมือ ทำให้ผมเองต้องลดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่จำเป็นออก ค่ายานครหลวงก็เลยต้องถูกตัดออกไป ทำให้ผมไม่ได้กินยาตั้งแต่นั้นมา
- ช่วงที่หยุดแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีผลอะไรเท่าไหร่ครับ แต่พอเวลาผ่านไป สักช่วงปี 2020 ก็เริ่มเห็นผล เลย คือ… ผมกลับมาร่วงและด้านหน้าเริ่มบางอีกครั้ง และ… ความดันสูง
- โดยความดันสูงเนี่ย ส่วนนึงก็อาจจะเพราะช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยได้ออกกำลัง และอาจจะเป็นได้ว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกินยาความดัน ไมน๊อก ต่อเนื่องมาตลอดหลายปีก็เป็นได้ครับ
- แต่ช่วงแรกๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ก็ยังแบบ เออ ก็ไม่ได้อะไรมาก แค่ผมบางๆ แต่พอเวลาผ่านไป เข้ามาช่วงปี 2022 นี่ พอส่องกระจก หรือไปจ้องหน้าตัวเองในร้านตัดผม ก็เริ่มรู้สึกว่า “ทำไมกูแก่จังวะเนี่ย” ( ซึ่งจริงๆ ก็แก่น่ะแหละเพราะตอนปี 2022 นี่ก็อายุ 44 แล้วนะ 555 )
กระแสการมาของการปลูกผมถาวร
--------------------------
- ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อยู่ๆ ก็เหมือนเป็นยุคทองของหมอปลูกผม เพราะมองไปรอบๆ อีกที จู่ๆ ก็มีหมอปลูกผมเปิดคลีนิคปลูกผมกันเต็มไปหมด ผมเองก็ งงๆ เหมือนกันว่า ทำไมอยู่ๆ มันบูมขึ้นมาได้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีนะ แต่ก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า มีเยอะก็ดีแล้วกัน 555
- ส่วนตัว ช่วงต้นๆ ปี 2023 ก็เริ่มลองไปหา อจ.หมอดำเกิง ตามคำแนะนำของเพื่อนที่ไปทำมาก่อนหน้า พอไปวัดจำนวนกราฟ + ตรวจร่างกาย ก็พบว่า ความดันสูง หมอดำเกิงก็เลยไล่ให้ไปคุมความดันให้ได้ก่อน ถึงจะทำได้ ช่วงปี 2023 ก็เลยกลายเป็นปีแห่งการควบคุมความดันแทน สุดท้ายก็ลงเอยที่กินยาความดัน จนความดันกลับมาปกติ ช่วงปลายๆ ปีครับ
- พอความดันปกติ ก็เลยทัก Line เจ้าหน้าที่ ของหมอดำเกิง ที่เคยคุยกันไว้ ปรากฏว่า เหมือนเจ้าหน้าที่เขาก็ย้ายออกไปทำกันเองหมดแล้ว ส่วนตัวขี้เกียจกลับไปคุยใหม่ + ราคาที่หมอดำเกิง quote มาค่อนข้างแพง ( ราวๆ เฉียด 300k ) เพราะเป็น อจ. หมอชื่อดัง+ผมต้องใช้กราฟเยอะ ก็เลยเริ่มหาตัวเลือกที่อื่นแทน
- ก็ได้เพื่อนคนเดิม แนะนำให้รู้จักหมอหมิง Ultima Hair Center ว่ามีเพื่อนอีกคนไปทำมา หมอทำดีแล้วก็ราคาสมเหตุสมผล ที่สำคัญ หมอหมิงก็ได้เป็นแพทย์อเมริกันบอร์ด ด้านการปลูกผมด้วย ก็เลยลองไปคุยดู
คุยเพื่อประเมินกราฟและค่าใช้จ่ายกับหมอหมิง Ultima Hair Center
--------------------------
- ช่วงต้นปี 2024 ก็เลยลองแวะเข้าไปคุยกับหมอหมิงดู คุณหมอก็วัดกราฟและให้ข้อมูลถึงวิธีปลูกผมทั้งสองแบบ คือ FUE และ FUT สุดท้ายก็เลือก FUT เพราะหมอหมิงแนะนำว่าเวลาเสร็จแล้ว จะเป็นธรรมชาติมากกว่า ( FUE คือ การขุดเอาผมแต่ละกอจากด้านหลังมาปัก แต่ FUT จะเฉือนหนังศรีษะออกแล้วไปแยกรากผมอีกที ทำให้อัตรากราฟที่จะดีมีเยอะกว่า และที่สำคัญก็คือไม่ต้องไถผมด้านหลังออกทั้งหมด )
- ผมเองก็เถิกค่อนข้างเยอะ ก็เลยประเมินมาได้ราวๆ 3200 กราฟ ค่าใช้จ่ายก็ตกราวๆ 120k ( เรทรีวิว ) ก็ถือว่า happy กับราคาที่ประเมินมาครับ ก็เลยตัดสินใจตกลงทำกับหมอหมิง ก็นัดวันคิวทำเรียบร้อยครับ
วันที่เข้าไปทำผม
--------------------------
- ก่อนเข้าไปผมก็ตัดผมให้เป็นทรงไม่ยาวรุงรัง หมอจะได้ทำได้สะดวกขึ้น ( อันนี้คิดเอง ) ที่เหลือก็เตรียมตัวตามที่หมอแนะนำครับ โดยเคสของผมจะใช้เวลานาน หมอประเมินเบื้องต้นว่า ก็ทั้งวันเลย
[ ช่วงแรก ] เข้าไปราวๆ 10 โมงเช้า ก็วาดแนวของผมที่จะทำให้เหมาะสมกับรูปหน้าของเรา เสร็จแล้ว 11 โมง ก็เข้าห้องผ่าตัดไปนอนคว่ำเพื่อทำการเอาหนังศรีษะส่วนนึง สูงราวๆ 1-2 cm ออกมาให้พยาบาลเอาไปแยกกราฟผมต่อครับ โดยตอนทำก็ไม่เจ็บ เพราะฉีดยาชาอยู่แล้ว แต่ก็แอบตกใจเพราะตอนแรกเข้าใจว่าจะเอาออกเฉพาะด้านหลัง สรุปก็ต้องผ่าเป็นแถบยาวมาถึงเหนือหูสองข้างเลยครับ หลังจากผ่าเสร็จก็เย็บแผล แล้วก็ออกไปกินข้าว ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง เสร็จประมาณบ่ายโมง ครับ
[ ช่วงที่สอง ] หลังจากกินข้าวเสร็จก็มาถึงขั้นตอนต่อไป นั่นก็คือ การเจาะรูเพื่อเตรียมปักผมที่แยกกราฟออกมาในขั้นตอนแรก โดยขั้นตอนนี้หมอหมิงจะเป็นคนทำครับ เพราะเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ที่ต้องอาศัยความชำนาญมากๆ เพราะถ้าหมอไม่ชำนาญ ตัวแนวผม + การเรียงตัวของผม ก็จะออกมาไม่เป็นธรรมชาติครับ ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาอีกประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ เสร็จราวๆ บ่าย 3 ครับ ก็ไม่เจ็บเหมือนเดิมเพราะฉีดยาชา
[ ช่วงที่สาม ] หลังจากพักเข้าห้องน้ำ ก็ถึงเวลาขั้นตอนสุดท้ายที่ใช้เวลานานที่สุด นั่นก็คือ การเอาผมแต่ละกอแต่ละกราฟที่แยกไว้ มาปักเสียบในรูที่หมอหมิงได้เจาะไว้ครับ โดยขั้นตอนนี้จะมีคุณหมออีกสองท่าน มาช่วยกันปักผมลงไปในรู อ้อ ลืมบอกไปว่า ตั้งแต่ที่ผ่าหนังศรีษะในตอนเที่ยง หลังจากนั้นก็มีพยายาลผู้ช่วยอีก 4-5 คน นั่งส่องกล้องแยกกราฟผมกันตลอดเวลาตั้งแต่ตอนนั้น มาจนถึงขั้นตอนนี้เลยครับ และก็ยังแยกกันไม่เสร็จด้วยนะ คือ แยกผมไปด้วย แล้วก็ปักผมไปด้วย ไปพร้อมๆ กัน 5555 งานละเอียดมากครับ
- ขั้นตอนนี้นานจนผมเองก็หลับไปหลายรอบ ตื่นมาก็ยังคงปักอยู่เหมือนเดิม ช่วงนี้คุณก็จะได้ reflect ชีวิตตัวเองที่ผ่านมาในอดีต แก้เบื่อไปครับ เพราะไม่มีอะไรให้ทำ เล่นมือถือก็ไม่ได้ เพราะต้องฉายไฟสาดใส่หน้า แล้วก็ต้องปิดตาเอาไว้ตลอด ก็ลองจินตนาการอะไรไปเรื่อยๆ ดูนะครับ 555
- กว่าจะเสร็จก็โน่นครับ สองทุ่ม ระหว่างนั้นผมก็ขอตัวแวะไปฉี่รอบนึงเพราะทนไม่ไหว ฉี่เสร็จก็กลับมาทำต่อครับ ทำเสร็จก็ล้างแผล แปะผ้าก๊อซ แล้วก็กลับบ้านได้ สรุปก็คือ เข้ามาตั้งแต่ 10 โมงเช้า เสร็จจริงๆ ก็สองทุ่มกว่าๆ เกือบสามทุ่มครับ
[ คืนแรกหลังทำ ] คืนนั้นก็จะนอนลำบากหน่อย เพราะมีแผลที่หลังหัวแล้วก็เลือดซึมค่อนข้างเยอะ ก็เอาผ้าขนหนูที่ไม่ได้ใช้มาม้วนๆ แล้วรองคอไว้แล้วเอาแผ่นรองซับมาปูหมอนอีกที ก่อนนอนก็กินพาราจะได้ไม่ปวดมาก วันแรกต้องนอนตรงๆ ห้ามตะแคงและล็อกหัวไว้ไม่ให้ขยับ เพราะผมที่เพิ่งปักวันแรกจะบอบบางมากครับ
หลังจากทำผมเสร็จแล้ว
--------------------------
- หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้นก็ต้องแวะเข้าไปที่คลีนิคอีกรอบ เพื่อแกะผ้าก๊อซ และให้พยาบาลสอนสระผมให้ โดยการเอาฟองมาแปะๆ เบาๆ แล้วล้างออกเบาๆ ด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ หลังจากนั้นก็กลับบ้านและไปใช้ชีวิตตามปกติครับ ช่วงนี้ก็จะปวดแผลด้านหลังหัวหน่วงๆ หน่อย ก็กินยาแก้ปวดไป แล้วก็อย่าไปโดนแดดโดนฝุ่นครับ ( ทำตามคำแนะนำของหมอได้เลย )
[ พอดีไม่ได้จดไดอารี่แบบละเอียดไว้ ก็เลยขอเล่าช่วงหลังเท่าที่นึกออกนะครับ ]
- หลังทำ ช่วงที่ลำบากที่สุด ก็คือช่วง 1-2 weeks แรกหลังทำ เพราะแผลที่หลังก็เลือดออกแถมนอนลงไปตรงๆ ก็ไม่ได้ ต้องหาหมอนมารองคอให้หัวลอยๆ จากพื้น ให้แผลไม่โดนกดครับ รวมถึงด้านหน้าที่ปักผมมาก็ต้องคอยระวังอย่าเผลอไปแกะไปเกาเด็ดขาด ไม่งั้นผมอาจจะพังได้เลย
- หลังจากผ่านไปเดือนนึงก็จะเริ่มดีขึ้น ระหว่างนั้นก็ต้องแวะเข้าไปที่คลีนิคเรื่อยๆ เพื่อให้พยาบาลสระผมและล้างแผลตามนัดครับ แต่แผลที่หลังหัวก็จะตึงมาก บางทีขยับนิดหน่อยก็จะมีอาการเลือดซึมแผลปริได้ ตรงนี้ก็จะเป็นส่วนที่ทรมานอยู่เหมือนกัน
- หลังจากนั้นพอแผลข้างหลังเริ่มสมานก็เข้าไปตัดไหมครับ หลังตัดเสร็จก็อาจจะมีเลือดซึมออกได้อีกบ้างตอนนอน แต่ก็จะพอที่จะนอนลงไปบนหมอนได้ตรงๆ แล้วครับ
- กว่าที่แผลด้านหลังจะหายค่อนข้างดีก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนครับ
- ส่วนผมด้านหน้า ช่วงแรกมันก็จะร่วงออกมาหมด ช่วง 3-4 เดือนแรกคุณส่องกระจกก็จะท้อๆ หน่อยว่า นี่ฉันทำผมมาแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย แต่ก็จะเป็นแบบนี้ทุกคนครับ กว่าจะเริ่มขึ้นอีกทีก็เดือน 5 เป็นต้นไป
- ลืมบอกไปว่า หลังจากทำก็ต้องกินยาสองตัว คือ Finasteride และ Minoxidil และมีเซรั่ม Minox ไว้หยอดผมในส่วนที่ไม่ได้ทำด้วยนะครับ เพราะถ้าเราไม่กินยา + ทายาเลี้ยงไว้ ไอ้ส่วนที่ไม่ได้ปลูก เดี๋ยวมันก็จะร่วงลงไปเองตามอายุด้วยครับ ก็ต้องกินยาตัวนี้ไปตลอดชีวิตนะ ( หรือจนกว่าจะแก่จนถึงจุดที่ปลงกับรูปร่างหน้าตาตัวเอง )
- ทุกๆ เดือนก็จะต้องแวะเข้าไปคลีนิคเพื่อให้หมอหมิงติดตามอาการ และซื้อยาทุกเดือนครับ ก็จะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ยๆ ราวๆ 780 บาท ( ค่ายากิน ) ส่วนยาทา ถ้าซื้อแบบ 4 ขวดก็จะตกขวดละ 690 บาท ขวดนึงก็ใช้ได้ราวๆ 2-3 เดือนครับ สรุปก็คือค่าใช้จ่ายต่อเนื่องตลอดไปอีกประมาณ เฉลี่ยเดือนละ 1,000 บาท
- ผมจะขึ้นแบบเห็นชัดๆ เลยก็ราวๆ เดือนที่ 7-8-9 เป็นต้นไป หลังทำมานะครับ ส่วนแผลที่หลังก็สมานกันแล้ว แต่ว่าบางทีไปจับๆ ก็แปล๊บๆ เสียวๆ นิดหน่อยครับ ก็รอดูกันไปว่าถ้าเวลาผ่านไปนานกว่านี้จะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนครับ
ทำมาแล้วพอใจไหม?
--------------------------
- ก็คงบอกได้คำเดียวว่า “พอใจมากกกกกก” เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ ที่ส่องกระจกแล้วก็เห็นลุงแก่ๆ หัวล้าน ตอนนี้ก็พอส่องแล้วก็รู้สึกว่าเด็กขึ้นมาอีกเป็น 10 ปีเลยครับ
- ใครที่ลังเลอยู่ ผมก็ขอแนะนำให้เก็บตังแล้วไปทำเลยครับ เพราะชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วก็บางทีอย่าไปเชื่อแฟนมาก เพราะบางทีแฟนเราอาจจะบ่นว่า “จะไปทำทำไม เป็นแบบนี้ก็หล่ออยู่แล้ว” หรือ “ถ้าโล้นก็โกนไปเลยสิ” อย่าไปเชื่อครับ ถ้าเราส่องกระจกแล้วเศร้า ก็ไปทำเหอะ หน้าเรา มันต้องอยู่กับเราตลอดเวลาครับ ความมั่นใจของลูกผู้ชายจะกลับมาแบบเยอะขึ้นมากจริงๆ นะ
- ส่วนที่อยากเตือนทิ้งท้ายไว้ก็คือ… อย่า “Cheap out” นะครับ เพราะช่วงหลังๆ หมอทำผมเปิดกันเยอะมากๆ บางคนก็ฝีมือไม่ถึง ก็มาเปิดคลีนิคแล้ว โดยเฉพาะพวกคลีนิคแบบกราฟบุฟเฟต์ หรือแบบถูกๆ ผมแนะนำว่า เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่าครับ
- เพราะนอกจากว่าจะทำมาแล้วไม่ขึ้นแล้ว เสียผมที่เราเหลือน้อยไปฟรีๆ บางทีทำแล้วขึ้น แนวผมก็ออกมาไม่เป็นธรรมชาติ หรือแผลเป็นด้านหลังก็ดูไม่ดีอีกนะครับ ก่อนผมจะทำผมก็หาข้อมูลเยอะ เจอพวกเคสพังๆ เยอะเลย เห็นแล้วก็สงสารคนที่โดน แต่จุดเริ่มต้นคือ การ cheap out เน้นถูกไว้ก่อนนั่นเองแหละครับ … แนะนำว่า ถ้ายังไม่มีตัง ก็เก็บตังต่อไปอีกสักนิดดีกว่า อย่าไปเน้นถูกเลยครับ ได้ไม่คุ้มเสีย
- ก็เลยมาแนะนำหมอหมิง Ultima Hair Center ไว้ ใครสนใจลองติดต่อนัดไปคุยกับหมอหมิงดูก่อนได้เลย เพื่อประเมินค่าใช้จ่าย ไม่เสียค่าปรึกษาใดๆ ครับ ลองคุยเยอะๆ หลายๆ ที่ แล้วเลือกที่เหมาะสมกับงบประมาณของเรา + ดูเคสย้อนหลังเยอะๆ นะครับ และที่สำคัญ..อย่าเห็นแก่ของถูกครับ
รูป progress 8 เดือน
เพจ Ultima Hair Center ปลูกผมถาวร
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม