ผู้กำกับ Final Fantasy 7 Rebirth ได้ใช้เกม The Witcher 3 มาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อสร้างโลก Open World ในภาคนี้
ในการให้สัมภาษณ์กับ Edge Magazine ทางคุณ Naoki Hamaguchi ผู้กำกับ Final Fantasy 7 Rebirth ได้ลองเล่นเกม Open World ชื่อดังของ CD Projekt Red อย่าง The Witcher 3 เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาโลกของเกมขนาดใหญ่ค่ะ
แม้ว่า Final Fantasy 7 รีเมค และ Final Fantasy 7 Rebirth จะเป็นการรีเมคจากเกมดั้งเดิมในปี 1997 เหมือนกัน แต่เกมทั้งสองกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะทีมพัฒนาหยิบแรงบันดาลใจจากเกมที่แตกต่างกันในระหว่างการสร้างค่ะ
ใน Final Fantasy 7 Remake ทีมพัฒนานำองค์ประกอบมาจากเกมแอ็กชันผจญภัยยอดนิยมในยุค PS4 อย่าง The Last of Us, God of War, และ Uncharted โดยสร้างการเดินเรื่องในเมือง Midgar ให้ตัวละคร Cloud เดินทางผ่านเส้นทางแคบ ๆ คดเคี้ยว มุดผ่านช่องทางต่าง ๆ และบางครั้งออกนอกเส้นทางหลักเพื่อสำรวจเมืองและทำเควสเสริม
แต่ใน Final Fantasy 7 Rebirth ตัวเกมมีความแตกต่างอย่างชัดเจนค่ะ ตัวละคร Cloud และเพื่อนร่วมทีมจะไม่ได้เดินในเส้นทางที่คับแคบของเมืองอีกต่อไป แต่จะได้สำรวจโลกกว้างของ Gaia ที่มีทั้งทุ่งนา ป่า และเมืองต่าง ๆ
คุณ Hamaguchi ทราบดีว่าทีมพัฒนาจะไม่สามารถใช้เทคนิคเดิมจากภาค 7 รีเมค มาใช้ใน Rebirth ได้ เขาจึงหันไปหาแรงบันดาลใจจากเกม Open World ชื่อดังอย่าง The Witcher 3 และ Horizon Zero Dawn เพื่อดูว่าผู้พัฒนารายอื่นออกแบบโลกกว้างใหญ่เหล่านี้อย่างไรนั่นเอง
“หลังจากนั้นเราก็พยายามสร้างประสบการณ์และระบบในเกมต้นฉบับปี 1997 ขึ้นมาใหม่ แต่ปรับให้มีความทันสมัยมากขึ้น” - คุณ Hamaguchi อธิบาย
ข้อมูลจาก
1 -
https://www.facebook.com/share/p/EUNAVKzxu2z9C6xL/
2 -
https://www.gamesradar.com/games/final-fantasy/final-fantasy-7-remake-director-had-to-swap-his-inspirations-from-the-last-of-us-to-the-witcher-3-to-make-rebirths-open-world/
ผู้กำกับ Final Fantasy 7 Rebirth ได้ใช้เกม The Witcher 3 มาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อสร้างโลก Open World ในภาคนี้
ผู้กำกับ Final Fantasy 7 Rebirth ได้ใช้เกม The Witcher 3 มาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อสร้างโลก Open World ในภาคนี้
ในการให้สัมภาษณ์กับ Edge Magazine ทางคุณ Naoki Hamaguchi ผู้กำกับ Final Fantasy 7 Rebirth ได้ลองเล่นเกม Open World ชื่อดังของ CD Projekt Red อย่าง The Witcher 3 เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาโลกของเกมขนาดใหญ่ค่ะ
แม้ว่า Final Fantasy 7 รีเมค และ Final Fantasy 7 Rebirth จะเป็นการรีเมคจากเกมดั้งเดิมในปี 1997 เหมือนกัน แต่เกมทั้งสองกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะทีมพัฒนาหยิบแรงบันดาลใจจากเกมที่แตกต่างกันในระหว่างการสร้างค่ะ
ใน Final Fantasy 7 Remake ทีมพัฒนานำองค์ประกอบมาจากเกมแอ็กชันผจญภัยยอดนิยมในยุค PS4 อย่าง The Last of Us, God of War, และ Uncharted โดยสร้างการเดินเรื่องในเมือง Midgar ให้ตัวละคร Cloud เดินทางผ่านเส้นทางแคบ ๆ คดเคี้ยว มุดผ่านช่องทางต่าง ๆ และบางครั้งออกนอกเส้นทางหลักเพื่อสำรวจเมืองและทำเควสเสริม
แต่ใน Final Fantasy 7 Rebirth ตัวเกมมีความแตกต่างอย่างชัดเจนค่ะ ตัวละคร Cloud และเพื่อนร่วมทีมจะไม่ได้เดินในเส้นทางที่คับแคบของเมืองอีกต่อไป แต่จะได้สำรวจโลกกว้างของ Gaia ที่มีทั้งทุ่งนา ป่า และเมืองต่าง ๆ
คุณ Hamaguchi ทราบดีว่าทีมพัฒนาจะไม่สามารถใช้เทคนิคเดิมจากภาค 7 รีเมค มาใช้ใน Rebirth ได้ เขาจึงหันไปหาแรงบันดาลใจจากเกม Open World ชื่อดังอย่าง The Witcher 3 และ Horizon Zero Dawn เพื่อดูว่าผู้พัฒนารายอื่นออกแบบโลกกว้างใหญ่เหล่านี้อย่างไรนั่นเอง
“หลังจากนั้นเราก็พยายามสร้างประสบการณ์และระบบในเกมต้นฉบับปี 1997 ขึ้นมาใหม่ แต่ปรับให้มีความทันสมัยมากขึ้น” - คุณ Hamaguchi อธิบาย
ข้อมูลจาก
1 - https://www.facebook.com/share/p/EUNAVKzxu2z9C6xL/
2 - https://www.gamesradar.com/games/final-fantasy/final-fantasy-7-remake-director-had-to-swap-his-inspirations-from-the-last-of-us-to-the-witcher-3-to-make-rebirths-open-world/