"หวานรักต้องห้าม" ตอนที่ดีที่สุดในทุกตอน !!!
ว่าจะไม่เขียนถึงละครเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะเขียนถึงมาแล้วสามครั้ง รู้สึกเหมือนอวยละครให้เขา แต่มันก็อดไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่ 18 นี้ซึ่งถือว่าเป็นตอนที่ดีที่สุดตอนหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนในครอบครัว พ่อแม่และลูกได้ดูพร้อมกัน มันเป็นตอนที่ทุกคนรู้ว่า "ลี" ซึ่งเป็นที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความสับสนในชีวิต แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข อบอุ่น ไปทำผู้หญิงท้อง ทั้งสองคนอยากเอาลูกออก แต่ "ลิน"ซึ่งความจริงเป็นแม่ของลี แต่ลีไม่เคยรู้มาก่อน ไม่อยากให้ลีและคนรักไปทำแท้ง จึงเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมา
ผมว่าตอนนี้เป็นตอนที่ลงตัวที่สุด สำหรับคนเขียนบทละครที่เก็บความลับในความสัมพันธ์แม่ลูกของลีกับลินมาเปิดในจุดที่เหมาะสมที่สุด เหมือนไม่ตั้งใจ ไม่ได้จงใจ ทำให้ลีได้รู้ว่าคนที่ตนเองคิดว่าเป็น "น้า" และเขาไว้ใจที่สุด ก็คือ "แม่" ผู้ให้กำเนิดตัวเอง ที่สำคัญ บทเรียนของ "ลี" ในครั้งนี้ กับบทเรียนของ "ลิน" ที่คล้ายคลึงกัน แต่มีทางออกที่แตกต่างกัน มันคือ "บทเรียนชีวิต" ที่จะสอนเด็กรุ่นใหม่ได้ดีที่สุด ที่พ่อแม่ควรจะเอาไปสอนลูกได้ และหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้
ผมประทับใจตอนนี้ที่สุด เพราะมันคือส่วนหนึ่งใน "ชีวิตของผม" ซึ่งครั้งหนึ่ง ผมเคยทำโครงการ "เพื่อน้องท้องอย่าทิ้ง" ขึ้นมา ช่วยแก้ปัญหา รับอุปการะ เด็กผู้หญิงที่ท้องแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่ทันตั้งตัว เพื่อไม่ให้เขาทำแท้ง ไม่ให้เขาเอาลูกออก เพราะผมทนไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นซากทารกที่ถูกทิ้ง ผมจะร้องไห้เสียใจที่สุดที่เห็นคนทำเช่นนั้น
ในตอนนั้นผมยังมีเงินมากมายจากการแบ่งสมบัติจากการหย่าร้าง และในเวลานั้น ผมเลี้ยงดูน้องอาร์มมาได้สักประมาณปีหรือสองปี ลูกกำลังเติบโต และน้องอาร์มนี่แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจทำโครงการนี้ขึ้นมา เพราะเห็นลูกกับเพื่อนๆที่อยู่แถววัดกุนนที พยายามช่วยเหลือเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงคู่หนึ่งซึ่งกำลังตั้งครรภ์ เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงไม่สามารถเข้าบ้านได้ พวกเด็กวัดและเพื่อนๆน้องอาร์ม ช่วยกันล้างคอกเป็ดที่พระเลี้ยงเอาไว้กินไข่ในตอนนั้นจนมันสะอาด หาเสื่อ หาโซฟามาทำเป็นที่นอนให้สองคนนี้ เด็กวัดและพระช่วยหาข้าวให้กินเช้น กางวัน น้องอาร์มตักข้าวแกงจากคอนโดของเราที่พ่อทำให้กินในตอนเย็น ใส่ถุงไปให้รุ่นพี่ของเขาสองคนนี้ได้กินประทังชีวิต
ในตอนนั้น ผมกับเพื่อนแอบตามไปดูว่าลูกหิ้วอาหารไปให้ใคร จนได้พบความจริงที่น่าเวทนานี้ ความรู้สึกที่ดี ที่รู้สึกว่า เด็กเหล่านี้ มีหลายคนนะที่เขาไม่อยากทำแท้ง ไม่อยากเอาลูกออก แต่เขาไม่มีใครช่วยเหลือ ให้พออยู่ได้ เขาจึงตัดสินใจผิดๆ ทำลายชีวิตหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาจากความรักของพวกเขา เป็นตราบาปที่ลบไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจทำโครงการ #เพื่อน้องท้องอย่าทิ้งขึ้นมา จำได้ว่า ทำอยู่ 8 ปี จนเงินที่เก็บไว้ทั้งหมด หมดไป แม้จะมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเหล่าดารานักแสดงช่วยเหลือ แต่ผมก็แบกภาระนั้นเอาไว้ต่อไม่ไหว 8 ปีที่ทำ เราช่วยทารกเอาไว้ได้มากมายนับเป็นสิบๆคน
แต่สาเหตุที่ผมหยุดทำโครงการนี้ ไม่ใช่เพราะเงินหมดอย่างเดียว หากแต่เพราะผมโดนพ่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นครปฐมเอาปืนจ่อหัว เพราะคิดว่า ผมไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของเขาเกินไป คิดว่า ผมเป็นญาติของผู้ชาย กว่าจะคุยกันลงตัวได้ก็เหนื่อยเหมือนกัน เคสนั้นเป็นเคสสุดท้าย และผมก็ไม่ช่วยใครอีกเลย ที่ทำสำคัญในตอนนั้น เพื่อนๆผมต่างก็เอาเคสที่ช่วยเหลือนักเรียนบ้าง เด็กปากแหว่งจมูกแหว่งบ้าง มาให้ช่วย ซึ่งผมถือว่า มันก็สำคัญเหมือนกัน ดังนั้นการช่วยเหลือจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นผมช่วยเหลือในเรื่องทุนการศึกษาให้กับเด็กในแหล่งเสื่อมโทรมที่เรียนดี แต่ไม่มีทุนเรียนอย่างที่เห็นมาจนถึงทุกวันนี้
การที่ผมทำได้ในตอนนั้น เพราะผมมีงานเยอะทั้งขายนิยายไปเป็นละคร ทั้งเขียนบทละคร ได้เงินมา ผมก็ช่วยเขาไปทั้งหมด ไม่เคยคิดที่จะเหลือเก็บเอาไว้ให้ตัวเอง เพราะคิดว่าเรามีพร้อมหมดแล้วทุกอย่าง คงไม่ลำบากอะไร จนในวันหนึ่งที่งานเริ่มน้อยลง และผมเริ่มคิดถึงอนาคตของลูก คิดถึงตัวเองบ้าง แต่ก็คิดว่า ตนเองยังพอมีทรัพย์สินที่ดินอยู่ คงไม่เป็นไร
แต่สุดท้ายผมก็ไม่เหลืออะไรเป็นของตนเอง ที่ดินผืนสุดท้าย ผมตัดสินใจยกให้กับน้องชายเพราะไม่อยากให้ญาติๆกังวลใจ ว่าถ้าหากผมตายไปแล้ว ที่ดินของผมผืนนั้นจะต้องตกเป็นของลูกๆบุญธรรมผมตามกฎหมาย แล้วเด็กๆอาจจะขายทิ้งไป ทำให้วิญญาณพ่อแม่ที่ตายไปแล้วไม่มีความสุข ทุกอย่างในชีวิตผม ยกให้ลูกไปหมดแล้ว ที่ดินผืนนั้นผมจึงยกให้กับน้องชายคนเดียวของผมไป เพราะรู้ว่า เขาและลูกชายของเขาจะสามารถรักษาที่ดินดั้งเดิมของบรรพบุรุษเอาไว้ได้ตลอดไป
ถ้าผมขาย ผมก็คงมีเงินสักก้อนเอาไว้ใช้ในตอนแก่
แต่ผมก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ผมกินน้อยใช้เงินไม่มาก
ต่อให้ผมไม่มีเงิน ลูกก็คงจะไม่ทอดทิ้งผมให้อดตาย
หรือถ้าลูกจะไม่เหลียวแลแต่ผมเชื่อว่าฟ้าคงไม่รังแกผม
ผมมีความรัก ความหวังดีให้กับทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลก
โดยไม่เคยหวังอะไรตอบแทน อยากช่วยเหลือทุกคน
แต่บางครั้ง มันก็หนักเกินไป สำหรับคนๆหนึ่งซึ่งแก่แล้ว
มีคนบอกว่า หาไม่ได้หรอกคนที่ให้ โดยไม่หวังอะไร
อยากบอกว่า "มีครับ" อย่างน้อยก็ผมที่ตรงนี้คนหนึ่งล่ะ
ผมไม่เคยหวังอะไรจากใคร ผมหวังแค่เห็นคนพ้นทุกข์
อยากเห็นพวกเขามีความสุขบ้าง อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่ง
ผมจึงเชือดเนื้อตัวเอง ช่วยเหลือจนบางครั้งผมก็บาดเจ็บ
แต่อย่างน้อย ผมก็มีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา
ในละคร "หวานรักต้องห้าม" ตอนนี้ จึงโดนใจผมที่สุด
ทั้งในแง่คิดที่ดี ที่สามารถถอดไปเป็นบทเรียนวัยรุ่นได้
และในฐานะที่ผมก็เป็นคนเขียนบทละครโทรทัศน์คนหนึ่ง
ที่มองเห็นว่า บทละครในตอนนี้ ลงตัวและเขียนดีที่สุด
" ดูละคอนแล้วย้อนดูตัว..."
ไม่รู้ว่าใครเคยกล่าวเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ละครตอนนี้ คือตอนที่เป็นกระจกเงาสะท้อนชีวิตคนในปัจจุบันได้ดีที่สุด
ที่สุดท้าย ผมจึงต้องเอามาเขียนถึงอีกครั้ง
เพราะเป็นละครเรื่องเดียวที่ทำให้ผมติดตาม
ทั้งๆที่ในชีวิตผม ชอบละครที่ต้อง บู๊ แอ็คชั่น
แต่วันนี้ ผมติดละครดราม่า บอกได้เลยว่า....
คนเขียนบทละคร นักแสดง ผู้กำกับ ทีมงานทุกคน
พวกคุณเก่งมากครับที่ถ่ายทอดละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุด
ผมหวังว่าจะได้ละครดีเด่นในปีนี้
แล้วผมจะจับตาดูว่า สมปรารถนาไหม
อาร์ม อิสระ
อาคม อาษาชำนาญ
#หวานรักต้องห้าม #ตอนที่18 #Ch3plus #Ch3Thailand
#ถอดบทเรียนชีวิต #ปัญหาวัยรุ่น #ตั้งท้องในวัยเรียน #ปัญหาสังคม
#ขอแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ชม #แก้ปัญหาในครอบครัว
คนเขียนบทละคร นักแสดง ผู้กำกับ ทีมงานทุกคน
พวกคุณเก่งมากครับที่ถ่ายทอดละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุด
ผมหวังว่าจะได้ละครดีเด่นในปีนี้
แล้วผมจะจับตาดูว่า สมปรารถนาไหม
อาร์ม อิสระ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใส่ข้อความ
อ่านบทความเต็มได้ที่
เครดิต
https://www.facebook.com/share/p/19WNNcXuUG/
คุณอาร์ม อิสระ(คนเขียนบทละคร ช่อง7) ลุ้นละคร หวานรักต้องห้าม ได้ละครดีเด่นในปีนี้ พร้อม แชร์ประสบการณ์ ปัญหาการ ทำแท้ง
ว่าจะไม่เขียนถึงละครเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะเขียนถึงมาแล้วสามครั้ง รู้สึกเหมือนอวยละครให้เขา แต่มันก็อดไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่ 18 นี้ซึ่งถือว่าเป็นตอนที่ดีที่สุดตอนหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนในครอบครัว พ่อแม่และลูกได้ดูพร้อมกัน มันเป็นตอนที่ทุกคนรู้ว่า "ลี" ซึ่งเป็นที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความสับสนในชีวิต แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข อบอุ่น ไปทำผู้หญิงท้อง ทั้งสองคนอยากเอาลูกออก แต่ "ลิน"ซึ่งความจริงเป็นแม่ของลี แต่ลีไม่เคยรู้มาก่อน ไม่อยากให้ลีและคนรักไปทำแท้ง จึงเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมา
ผมว่าตอนนี้เป็นตอนที่ลงตัวที่สุด สำหรับคนเขียนบทละครที่เก็บความลับในความสัมพันธ์แม่ลูกของลีกับลินมาเปิดในจุดที่เหมาะสมที่สุด เหมือนไม่ตั้งใจ ไม่ได้จงใจ ทำให้ลีได้รู้ว่าคนที่ตนเองคิดว่าเป็น "น้า" และเขาไว้ใจที่สุด ก็คือ "แม่" ผู้ให้กำเนิดตัวเอง ที่สำคัญ บทเรียนของ "ลี" ในครั้งนี้ กับบทเรียนของ "ลิน" ที่คล้ายคลึงกัน แต่มีทางออกที่แตกต่างกัน มันคือ "บทเรียนชีวิต" ที่จะสอนเด็กรุ่นใหม่ได้ดีที่สุด ที่พ่อแม่ควรจะเอาไปสอนลูกได้ และหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้
ผมประทับใจตอนนี้ที่สุด เพราะมันคือส่วนหนึ่งใน "ชีวิตของผม" ซึ่งครั้งหนึ่ง ผมเคยทำโครงการ "เพื่อน้องท้องอย่าทิ้ง" ขึ้นมา ช่วยแก้ปัญหา รับอุปการะ เด็กผู้หญิงที่ท้องแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่ทันตั้งตัว เพื่อไม่ให้เขาทำแท้ง ไม่ให้เขาเอาลูกออก เพราะผมทนไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นซากทารกที่ถูกทิ้ง ผมจะร้องไห้เสียใจที่สุดที่เห็นคนทำเช่นนั้น
ในตอนนั้นผมยังมีเงินมากมายจากการแบ่งสมบัติจากการหย่าร้าง และในเวลานั้น ผมเลี้ยงดูน้องอาร์มมาได้สักประมาณปีหรือสองปี ลูกกำลังเติบโต และน้องอาร์มนี่แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจทำโครงการนี้ขึ้นมา เพราะเห็นลูกกับเพื่อนๆที่อยู่แถววัดกุนนที พยายามช่วยเหลือเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงคู่หนึ่งซึ่งกำลังตั้งครรภ์ เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงไม่สามารถเข้าบ้านได้ พวกเด็กวัดและเพื่อนๆน้องอาร์ม ช่วยกันล้างคอกเป็ดที่พระเลี้ยงเอาไว้กินไข่ในตอนนั้นจนมันสะอาด หาเสื่อ หาโซฟามาทำเป็นที่นอนให้สองคนนี้ เด็กวัดและพระช่วยหาข้าวให้กินเช้น กางวัน น้องอาร์มตักข้าวแกงจากคอนโดของเราที่พ่อทำให้กินในตอนเย็น ใส่ถุงไปให้รุ่นพี่ของเขาสองคนนี้ได้กินประทังชีวิต
ในตอนนั้น ผมกับเพื่อนแอบตามไปดูว่าลูกหิ้วอาหารไปให้ใคร จนได้พบความจริงที่น่าเวทนานี้ ความรู้สึกที่ดี ที่รู้สึกว่า เด็กเหล่านี้ มีหลายคนนะที่เขาไม่อยากทำแท้ง ไม่อยากเอาลูกออก แต่เขาไม่มีใครช่วยเหลือ ให้พออยู่ได้ เขาจึงตัดสินใจผิดๆ ทำลายชีวิตหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาจากความรักของพวกเขา เป็นตราบาปที่ลบไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจทำโครงการ #เพื่อน้องท้องอย่าทิ้งขึ้นมา จำได้ว่า ทำอยู่ 8 ปี จนเงินที่เก็บไว้ทั้งหมด หมดไป แม้จะมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเหล่าดารานักแสดงช่วยเหลือ แต่ผมก็แบกภาระนั้นเอาไว้ต่อไม่ไหว 8 ปีที่ทำ เราช่วยทารกเอาไว้ได้มากมายนับเป็นสิบๆคน
แต่สาเหตุที่ผมหยุดทำโครงการนี้ ไม่ใช่เพราะเงินหมดอย่างเดียว หากแต่เพราะผมโดนพ่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นครปฐมเอาปืนจ่อหัว เพราะคิดว่า ผมไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของเขาเกินไป คิดว่า ผมเป็นญาติของผู้ชาย กว่าจะคุยกันลงตัวได้ก็เหนื่อยเหมือนกัน เคสนั้นเป็นเคสสุดท้าย และผมก็ไม่ช่วยใครอีกเลย ที่ทำสำคัญในตอนนั้น เพื่อนๆผมต่างก็เอาเคสที่ช่วยเหลือนักเรียนบ้าง เด็กปากแหว่งจมูกแหว่งบ้าง มาให้ช่วย ซึ่งผมถือว่า มันก็สำคัญเหมือนกัน ดังนั้นการช่วยเหลือจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นผมช่วยเหลือในเรื่องทุนการศึกษาให้กับเด็กในแหล่งเสื่อมโทรมที่เรียนดี แต่ไม่มีทุนเรียนอย่างที่เห็นมาจนถึงทุกวันนี้
การที่ผมทำได้ในตอนนั้น เพราะผมมีงานเยอะทั้งขายนิยายไปเป็นละคร ทั้งเขียนบทละคร ได้เงินมา ผมก็ช่วยเขาไปทั้งหมด ไม่เคยคิดที่จะเหลือเก็บเอาไว้ให้ตัวเอง เพราะคิดว่าเรามีพร้อมหมดแล้วทุกอย่าง คงไม่ลำบากอะไร จนในวันหนึ่งที่งานเริ่มน้อยลง และผมเริ่มคิดถึงอนาคตของลูก คิดถึงตัวเองบ้าง แต่ก็คิดว่า ตนเองยังพอมีทรัพย์สินที่ดินอยู่ คงไม่เป็นไร
แต่สุดท้ายผมก็ไม่เหลืออะไรเป็นของตนเอง ที่ดินผืนสุดท้าย ผมตัดสินใจยกให้กับน้องชายเพราะไม่อยากให้ญาติๆกังวลใจ ว่าถ้าหากผมตายไปแล้ว ที่ดินของผมผืนนั้นจะต้องตกเป็นของลูกๆบุญธรรมผมตามกฎหมาย แล้วเด็กๆอาจจะขายทิ้งไป ทำให้วิญญาณพ่อแม่ที่ตายไปแล้วไม่มีความสุข ทุกอย่างในชีวิตผม ยกให้ลูกไปหมดแล้ว ที่ดินผืนนั้นผมจึงยกให้กับน้องชายคนเดียวของผมไป เพราะรู้ว่า เขาและลูกชายของเขาจะสามารถรักษาที่ดินดั้งเดิมของบรรพบุรุษเอาไว้ได้ตลอดไป
ถ้าผมขาย ผมก็คงมีเงินสักก้อนเอาไว้ใช้ในตอนแก่
แต่ผมก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ผมกินน้อยใช้เงินไม่มาก
ต่อให้ผมไม่มีเงิน ลูกก็คงจะไม่ทอดทิ้งผมให้อดตาย
หรือถ้าลูกจะไม่เหลียวแลแต่ผมเชื่อว่าฟ้าคงไม่รังแกผม
ผมมีความรัก ความหวังดีให้กับทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลก
โดยไม่เคยหวังอะไรตอบแทน อยากช่วยเหลือทุกคน
แต่บางครั้ง มันก็หนักเกินไป สำหรับคนๆหนึ่งซึ่งแก่แล้ว
มีคนบอกว่า หาไม่ได้หรอกคนที่ให้ โดยไม่หวังอะไร
อยากบอกว่า "มีครับ" อย่างน้อยก็ผมที่ตรงนี้คนหนึ่งล่ะ
ผมไม่เคยหวังอะไรจากใคร ผมหวังแค่เห็นคนพ้นทุกข์
อยากเห็นพวกเขามีความสุขบ้าง อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่ง
ผมจึงเชือดเนื้อตัวเอง ช่วยเหลือจนบางครั้งผมก็บาดเจ็บ
แต่อย่างน้อย ผมก็มีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา
ในละคร "หวานรักต้องห้าม" ตอนนี้ จึงโดนใจผมที่สุด
ทั้งในแง่คิดที่ดี ที่สามารถถอดไปเป็นบทเรียนวัยรุ่นได้
และในฐานะที่ผมก็เป็นคนเขียนบทละครโทรทัศน์คนหนึ่ง
ที่มองเห็นว่า บทละครในตอนนี้ ลงตัวและเขียนดีที่สุด
" ดูละคอนแล้วย้อนดูตัว..."
ไม่รู้ว่าใครเคยกล่าวเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ละครตอนนี้ คือตอนที่เป็นกระจกเงาสะท้อนชีวิตคนในปัจจุบันได้ดีที่สุด
ที่สุดท้าย ผมจึงต้องเอามาเขียนถึงอีกครั้ง
เพราะเป็นละครเรื่องเดียวที่ทำให้ผมติดตาม
ทั้งๆที่ในชีวิตผม ชอบละครที่ต้อง บู๊ แอ็คชั่น
แต่วันนี้ ผมติดละครดราม่า บอกได้เลยว่า....
คนเขียนบทละคร นักแสดง ผู้กำกับ ทีมงานทุกคน
พวกคุณเก่งมากครับที่ถ่ายทอดละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุด
ผมหวังว่าจะได้ละครดีเด่นในปีนี้
แล้วผมจะจับตาดูว่า สมปรารถนาไหม
อาร์ม อิสระ
อาคม อาษาชำนาญ
#หวานรักต้องห้าม #ตอนที่18 #Ch3plus #Ch3Thailand
#ถอดบทเรียนชีวิต #ปัญหาวัยรุ่น #ตั้งท้องในวัยเรียน #ปัญหาสังคม
#ขอแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ชม #แก้ปัญหาในครอบครัว
พวกคุณเก่งมากครับที่ถ่ายทอดละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุด
ผมหวังว่าจะได้ละครดีเด่นในปีนี้
แล้วผมจะจับตาดูว่า สมปรารถนาไหม
อาร์ม อิสระ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านบทความเต็มได้ที่
เครดิต
https://www.facebook.com/share/p/19WNNcXuUG/