ที่จะมาเล่านี้เป็นประสบการณ์ตรงนะ
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 2 ปีก่อน
เรารักษาโรคร้ายโรคนึงตั้งแต่เป็นเด็ก
ประมาณช่วงป.3 เราเคยโดนรถชน แล้วหัวกระแทกพื้น ตอนนั้นยังไม่ออกอาการอะไร อาการที่รู้คือ แก้วหูแตก ในตอนนั้นเราไปรักษาโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง เขาบอกว่า หูไม่มีเลือดอะไร ไม่เป็นไรหรอก หลังจากนั้น ตอนเป็นเด็ก เนาะ แล้วก็บอกแม่ว่าได้ยินแต่เสียงลม จน แม่ต้องพาไปโรงพยาบาลเอกชน ก็เสียเป็นหมื่น หมอถึงตรวจพบว่าแก้วหูเราแตกแล้วเราหูดับไปไหนข้างๆก็รักษาจนกลับมาได้ยินเหมือนเดิม ตอนนั้นอาการยังไม่ส่งผลอะไร เพราะหูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งช่วงประมาณป.5 หรือป.6 เราเคยช็อคจนตายครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคือหยุดหายใจเลย ตอนนั้นคือหมอคิดว่าไม่น่าจะฟื้นแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณหมอที่ไม่ยอมแพ้ เพราะถูกปั๊มหัวใจจนตื่นขึ้นมา อาการคร่าวๆตอนเด็กก็จะประมาณนี้
มาตอนโต เราต้องไปโรงพยาบาลแทบจะทุกเดือน และสิ่งที่เกิดขึ้น คือช่วงประมาณสองปีก่อน โรคที่เราเป็นแทบจะไม่ดีขึ้นเลยซ้ำร้ายอาการกำเริบเกือบทุก เราสามารถช็อคตายได้เหมือนคนเป็นโรคหัวใจ จนมีช่วงนึงเรารู้สึกหมดหวังกับโรคนี้แล้ว บวกกับสถานการณ์ชีวิตที่มีแต่เรื่องถาโถมเข้ามา บอกตรงๆเลยตอนนั้นเรารู้สึกแย่มาก เราได้รู้จักกับพี่คนนึงที่เป็นมือกีต้าร์แบ็คอัพของวงดนตรีวงนึง ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าเขาเป็นกีตาร์แบ็คอัพของวงร็อคชื่อดัง เรารู้จักเขาในฐานะมือกีต้าร์ที่มาไลฟ์สดเล่นดนตรีแล้วก็ร้องเพลงให้กับคนอื่นฟังไปเรื่อย ก็คือรู้จักกันมาประมาณ 4-5 ปี เราถึงรู้ว่าเขาได้เป็นมือกีต้าร์แบ็คอัพให้กับวงดนตรีวงนี้ เพราะเหมือนเขาได้พูดมาว่าเขาเป็นมือกีต้าร์ให้กับวงนี้อยู่ ผ่านไปช่วงนึงเราก็เลยนัดเจอกันเพราะเขามีมาเล่นงานในจังหวัดของเรา บอกตรงๆเราก็เคยมาดูคอนเสิร์ตของวงนี้นะ แต่ก็ดูแบบไกลๆ แต่เราไม่เคยสังเกตเห็นพี่เขาเลยอาจจะเป็นเพราะว่าพี่เขายืนอยู่ข้างหลังด้วย ช่วงประมาณ 2-3 ปีก่อนแล้วก็นัดเจอกับพี่เขาในงานคอนเสิร์ตนั้นเป็นคอนเสิร์ตเฟสขนาดใหญ่ฟรีประจำจังหวัด ก็คือไปเจอไปถ่ายรูปไปทักทายกันในฐานะคนรู้จัก หลังจากนั้นเราก็เริ่มติดตามวงนี้ เขามีงานในจังหวัดแล้วก็จะไปทักทายเขา จนเราเริ่มสนิทกับนกดนตรีแบ็คอัพของวงนี้ก่อน ถ้าได้เจอกันก็คือมีแวะพูดคุยถ่ายรูปอะไรกันตามภาษาเพื่อนพี่น้อง ทั้ง 3 คนก่อน ตอนกินผ่านไประยะนึงที่เราเริ่มติดตามวงนี้ จนสนิทกับนักดนตรี วงนี้จะทั้งวง ก็เป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เรา รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไร คือเรารู้สึกว่าชีวิตดาวน์ลงเรื่อยๆ จนบางครั้งรู้สึกดิ่ง เพราะคิดว่าไอ้โรคที่เป็นอยู่ก็ไม่หาย บวกกับเรื่องที่เจอในชีวิต สถานการณ์ทุกอย่างมันแย่ลงเรื่อยๆ ในปีแรกที่รู้จักกันก็ยังไม่สนิทขนาดที่เราจะพูดทุกอย่างกับพวกพี่เขาได้ แต่ก็เหมือนมี พี่คนนึงที่เป็นนักดนตรีของวงนั้นเขาสังเกตเรา ว่าเรามีอาการแปลกๆ เขาก็เลยชวนให้มาดูคอนเสิร์ตของวงเขา เวลาที่เขามาจังหวัดเรา บอกเลยตอนแรกที่ไปเราไม่ได้รู้สึกมีความสุขเวลาดูคอนเสิร์ตเลย ถามว่าสนุกไหมเวลาดูแล้วก็สนุกแค่ตามสถานการณ์ ขอจบคอนเสิร์ตก็กลายเป็นว่าเราดิ่งเหมือนเดิม รู้สึกว่าไม่เหลืออะไร รู้สึกว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่มันก็ค่าเท่ากัน แล้วไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพี่เขาหรอก จะมีอยู่ครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคือพี่เขาเข้ามาทัก แล้วเราก็เริ่มพูดคุยกัน หลังไมค์เรื่อยๆ มีอะไรแล้วก็จะปรึกษาพี่เขา
ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ เราเคยตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตาย และกรีดแขนตัวเอง แต่ก็อาจจะเป็นโชคดี เพราะเรารอดมาจากเหตุการณ์ทั้งพวกนั้นทั้งหมด จะบอกว่าดนตรีช่วยชีวิตเราก็ไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะพี่เขา ที่สังเกตุรอยแผลบนแขนของเรา และคอยมาคุยเป็นเพื่อนเราอยู่ตลอดด้วย มันทำให้เราเริ่มติดตามวงนี้มากขึ้น เราเริ่มหาเพลงของวงนี้มาฟัง ทั้งๆที่ตอนแรกเรารู้สึกเฉยๆกับวงนี้มาก จนตอนนี้เรารู้สึกว่าเราเองก็เป็นแฟนคลับของวงนี้เหมือนกัน เริ่มตามทั้งในจังหวัดและตามไปจังหวัดใกล้เคียง ถ้ามีโอกาสบางครั้งเราก็ตามเขาเข้าไปในกรุงเทพฯด้วย แล้วช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 1 เดือน เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างเครียดทำให้ผมร่วง ร่วงเยอะพอๆกับคนเป็นมะเร็งเลย แล้วก็เลยโพสต์เล่นๆ ถ่ายรูปผมให้ร่วงลงใน IG ก็ พวกพี่ๆส่วนหนึ่งก็พอเราไว้ เขาก็มาถามทั้งเรื่องเข้าโรงพยาบาลแล้วก็เรื่องผมที่ร่วง เขามีพี่คนหนึ่งคิดว่าเราเป็นมะเร็งเหมือนกัน เพราะผมร่วงเยอะมาก อันนี้ต้องบอกก่อนว่าเราเคยคิดฆ่าตัวตายมากกว่า 2 ครั้ง แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้งอาจจะเป็นเพราะครอบครัวเข้ามาเห็น หรือคนข้างบ้าน ที่เข้ามาช่วย และพาไปโรงพยาบาลทันเกือบทุกครั้ง หรือบางครั้งที่พยายามฆ่าตัวตายแล้วไม่ตาย มีหลายๆครั้งที่เราคิดทำร้ายตัวเอง ก็คือมีแผลที่แขนไปเรื่อยๆ และแผลนั้นก็เลยเป็นแผลเป็นที่แขนซึ่งตอนแรกก็เห็นค่อนข้างชัด แต่ตอนนี้ก็คือเบาบางลงแล้ว แล้วก็มีพี่คนที่เราบอกในตอนแรกเขาก็คอยให้คำปรึกษาค่อยคุยเล่นเป็นเพื่อน เวลาไปคอนเสิร์ต เขาก็จะทำของขวัญมาให้ เราไม่รู้หรอกว่าเขาทำเองหรือว่า มีคนคอยทำให้ แต่มันก็เป็นกำลังใจที่ดี ที่ทำให้เรารู้สึกว่า อย่างน้อย ก็มีคน ที่ไม่ใช่ครอบครัวยังคอยเป็นห่วงเรา จนตอนนี้ความรู้สึกที่ว่าเราจะฆ่าตัวตาย มันแทบไม่เหลือ กลายเป็นว่าเรารู้สึกว่า เราอยากเจอ วงดนตรีวงนี้แทน เพื่อที่จะเจอกับพวกพี่เขา เพื่อที่จะได้เจอพวกพี่เขา ตอนนี้เราเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา พี่เขาปกติจะให้พวงกุญแจ 1 ชิ้นต่อแฟนคลับ 1 คน แต่ตอนนี้ หลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้ทำให้ทุกครั้งที่เจอกัน ตอนแรกเอาก็นึกว่าเขาทำให้เป็นของขวัญเพราะออกจากโรงพยาบาล แต่ล่าสุดที่ไปเจอกันเขาก็ทำมาให้ตลอดทุกครั้งที่เจอ มันทำให้เรามีแรงอยากเจอพวกเขา แล้วจะได้คุยกัน หลังไมค์ ทั้งเรื่องอาการป่วย แล้วก็เรื่องชีวิตประจำวัน พวกพี่เขาก็จะคอยถามอยู่เรื่อยๆ เราไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องที่เราเล่าจะเป็นประสบการณ์ ที่ดีหรือเปล่า หรือสามารถจะช่วยอะไรคนอื่นได้ไหม แต่อยากให้ลองคิดว่า คนที่ คิดจะทำร้ายตัวเอง ลองหันไปมองย้อนกลับไปดู ว่าอย่างน้อยคุณน่ะ ยังมีครอบครัว ที่เคยเป็นห่วง หรืออาจจะมีคนที่ แทบจะไม่รู้จักกันเลยแบบเราที่เจอกับพวกพี่เขา คอยเป็นห่วงอยู่ มันอาจจะเป็นโชคดีของเราที่ได้รู้จักพวกเขา ตอนนี้ถามว่าอาการปวดของเราดีขึ้นไหม มันไม่ได้ดีขึ้นหรอก แต่เราก็ ไม่ได้คิดจะทำร้ายตัวเองอีก เราเอาเวลาตรงนั้น กลับไปทำอย่างอื่น หรือ คอยมองตารางงานของพวกพี่ๆแล้วก็นัดเจอกันเวลาเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ มันช่วยเราได้เยอะ ที่ทำให้เราคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อ ถามว่ายังมีอาการดาวน์หรือดิ่งอยู่ไหม มันก็มี แต่เราก็ ปรึกษาพวกพี่ๆเขา บางครั้ง เขาก็ไม่ได้ว่างมาคุยกับเราตลอด แต่พอว่างเมื่อไหร่ เขาก็เลือกที่จะมา ตอบ ข้อความของเรา เอาจริงๆเราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พวกพี่ๆเขาฟัง เพราะเราไม่กล้าเล่า แต่เราก็อยากขอบคุณพวกพี่ๆเขา ที่เป็นศิลปิน มายาวนานแบบนี้ แล้วค่อยถามค่อยเป็นห่วงอยู่แบบนี้ จะบอกว่าส่วนหนึ่งที่เขาช่วยชีวิตให้เราอยากอยู่ต่อและหยุดทำร้ายตัวเองก็ว่าได้
มีใครเคยถูกดนตรีช่วยชีวิตเหมือนเราบ้าง?
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 2 ปีก่อน
เรารักษาโรคร้ายโรคนึงตั้งแต่เป็นเด็ก
ประมาณช่วงป.3 เราเคยโดนรถชน แล้วหัวกระแทกพื้น ตอนนั้นยังไม่ออกอาการอะไร อาการที่รู้คือ แก้วหูแตก ในตอนนั้นเราไปรักษาโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง เขาบอกว่า หูไม่มีเลือดอะไร ไม่เป็นไรหรอก หลังจากนั้น ตอนเป็นเด็ก เนาะ แล้วก็บอกแม่ว่าได้ยินแต่เสียงลม จน แม่ต้องพาไปโรงพยาบาลเอกชน ก็เสียเป็นหมื่น หมอถึงตรวจพบว่าแก้วหูเราแตกแล้วเราหูดับไปไหนข้างๆก็รักษาจนกลับมาได้ยินเหมือนเดิม ตอนนั้นอาการยังไม่ส่งผลอะไร เพราะหูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งช่วงประมาณป.5 หรือป.6 เราเคยช็อคจนตายครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคือหยุดหายใจเลย ตอนนั้นคือหมอคิดว่าไม่น่าจะฟื้นแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณหมอที่ไม่ยอมแพ้ เพราะถูกปั๊มหัวใจจนตื่นขึ้นมา อาการคร่าวๆตอนเด็กก็จะประมาณนี้
มาตอนโต เราต้องไปโรงพยาบาลแทบจะทุกเดือน และสิ่งที่เกิดขึ้น คือช่วงประมาณสองปีก่อน โรคที่เราเป็นแทบจะไม่ดีขึ้นเลยซ้ำร้ายอาการกำเริบเกือบทุก เราสามารถช็อคตายได้เหมือนคนเป็นโรคหัวใจ จนมีช่วงนึงเรารู้สึกหมดหวังกับโรคนี้แล้ว บวกกับสถานการณ์ชีวิตที่มีแต่เรื่องถาโถมเข้ามา บอกตรงๆเลยตอนนั้นเรารู้สึกแย่มาก เราได้รู้จักกับพี่คนนึงที่เป็นมือกีต้าร์แบ็คอัพของวงดนตรีวงนึง ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าเขาเป็นกีตาร์แบ็คอัพของวงร็อคชื่อดัง เรารู้จักเขาในฐานะมือกีต้าร์ที่มาไลฟ์สดเล่นดนตรีแล้วก็ร้องเพลงให้กับคนอื่นฟังไปเรื่อย ก็คือรู้จักกันมาประมาณ 4-5 ปี เราถึงรู้ว่าเขาได้เป็นมือกีต้าร์แบ็คอัพให้กับวงดนตรีวงนี้ เพราะเหมือนเขาได้พูดมาว่าเขาเป็นมือกีต้าร์ให้กับวงนี้อยู่ ผ่านไปช่วงนึงเราก็เลยนัดเจอกันเพราะเขามีมาเล่นงานในจังหวัดของเรา บอกตรงๆเราก็เคยมาดูคอนเสิร์ตของวงนี้นะ แต่ก็ดูแบบไกลๆ แต่เราไม่เคยสังเกตเห็นพี่เขาเลยอาจจะเป็นเพราะว่าพี่เขายืนอยู่ข้างหลังด้วย ช่วงประมาณ 2-3 ปีก่อนแล้วก็นัดเจอกับพี่เขาในงานคอนเสิร์ตนั้นเป็นคอนเสิร์ตเฟสขนาดใหญ่ฟรีประจำจังหวัด ก็คือไปเจอไปถ่ายรูปไปทักทายกันในฐานะคนรู้จัก หลังจากนั้นเราก็เริ่มติดตามวงนี้ เขามีงานในจังหวัดแล้วก็จะไปทักทายเขา จนเราเริ่มสนิทกับนกดนตรีแบ็คอัพของวงนี้ก่อน ถ้าได้เจอกันก็คือมีแวะพูดคุยถ่ายรูปอะไรกันตามภาษาเพื่อนพี่น้อง ทั้ง 3 คนก่อน ตอนกินผ่านไประยะนึงที่เราเริ่มติดตามวงนี้ จนสนิทกับนักดนตรี วงนี้จะทั้งวง ก็เป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เรา รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไร คือเรารู้สึกว่าชีวิตดาวน์ลงเรื่อยๆ จนบางครั้งรู้สึกดิ่ง เพราะคิดว่าไอ้โรคที่เป็นอยู่ก็ไม่หาย บวกกับเรื่องที่เจอในชีวิต สถานการณ์ทุกอย่างมันแย่ลงเรื่อยๆ ในปีแรกที่รู้จักกันก็ยังไม่สนิทขนาดที่เราจะพูดทุกอย่างกับพวกพี่เขาได้ แต่ก็เหมือนมี พี่คนนึงที่เป็นนักดนตรีของวงนั้นเขาสังเกตเรา ว่าเรามีอาการแปลกๆ เขาก็เลยชวนให้มาดูคอนเสิร์ตของวงเขา เวลาที่เขามาจังหวัดเรา บอกเลยตอนแรกที่ไปเราไม่ได้รู้สึกมีความสุขเวลาดูคอนเสิร์ตเลย ถามว่าสนุกไหมเวลาดูแล้วก็สนุกแค่ตามสถานการณ์ ขอจบคอนเสิร์ตก็กลายเป็นว่าเราดิ่งเหมือนเดิม รู้สึกว่าไม่เหลืออะไร รู้สึกว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่มันก็ค่าเท่ากัน แล้วไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพี่เขาหรอก จะมีอยู่ครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคือพี่เขาเข้ามาทัก แล้วเราก็เริ่มพูดคุยกัน หลังไมค์เรื่อยๆ มีอะไรแล้วก็จะปรึกษาพี่เขา
ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ เราเคยตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตาย และกรีดแขนตัวเอง แต่ก็อาจจะเป็นโชคดี เพราะเรารอดมาจากเหตุการณ์ทั้งพวกนั้นทั้งหมด จะบอกว่าดนตรีช่วยชีวิตเราก็ไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะพี่เขา ที่สังเกตุรอยแผลบนแขนของเรา และคอยมาคุยเป็นเพื่อนเราอยู่ตลอดด้วย มันทำให้เราเริ่มติดตามวงนี้มากขึ้น เราเริ่มหาเพลงของวงนี้มาฟัง ทั้งๆที่ตอนแรกเรารู้สึกเฉยๆกับวงนี้มาก จนตอนนี้เรารู้สึกว่าเราเองก็เป็นแฟนคลับของวงนี้เหมือนกัน เริ่มตามทั้งในจังหวัดและตามไปจังหวัดใกล้เคียง ถ้ามีโอกาสบางครั้งเราก็ตามเขาเข้าไปในกรุงเทพฯด้วย แล้วช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 1 เดือน เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างเครียดทำให้ผมร่วง ร่วงเยอะพอๆกับคนเป็นมะเร็งเลย แล้วก็เลยโพสต์เล่นๆ ถ่ายรูปผมให้ร่วงลงใน IG ก็ พวกพี่ๆส่วนหนึ่งก็พอเราไว้ เขาก็มาถามทั้งเรื่องเข้าโรงพยาบาลแล้วก็เรื่องผมที่ร่วง เขามีพี่คนหนึ่งคิดว่าเราเป็นมะเร็งเหมือนกัน เพราะผมร่วงเยอะมาก อันนี้ต้องบอกก่อนว่าเราเคยคิดฆ่าตัวตายมากกว่า 2 ครั้ง แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้งอาจจะเป็นเพราะครอบครัวเข้ามาเห็น หรือคนข้างบ้าน ที่เข้ามาช่วย และพาไปโรงพยาบาลทันเกือบทุกครั้ง หรือบางครั้งที่พยายามฆ่าตัวตายแล้วไม่ตาย มีหลายๆครั้งที่เราคิดทำร้ายตัวเอง ก็คือมีแผลที่แขนไปเรื่อยๆ และแผลนั้นก็เลยเป็นแผลเป็นที่แขนซึ่งตอนแรกก็เห็นค่อนข้างชัด แต่ตอนนี้ก็คือเบาบางลงแล้ว แล้วก็มีพี่คนที่เราบอกในตอนแรกเขาก็คอยให้คำปรึกษาค่อยคุยเล่นเป็นเพื่อน เวลาไปคอนเสิร์ต เขาก็จะทำของขวัญมาให้ เราไม่รู้หรอกว่าเขาทำเองหรือว่า มีคนคอยทำให้ แต่มันก็เป็นกำลังใจที่ดี ที่ทำให้เรารู้สึกว่า อย่างน้อย ก็มีคน ที่ไม่ใช่ครอบครัวยังคอยเป็นห่วงเรา จนตอนนี้ความรู้สึกที่ว่าเราจะฆ่าตัวตาย มันแทบไม่เหลือ กลายเป็นว่าเรารู้สึกว่า เราอยากเจอ วงดนตรีวงนี้แทน เพื่อที่จะเจอกับพวกพี่เขา เพื่อที่จะได้เจอพวกพี่เขา ตอนนี้เราเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา พี่เขาปกติจะให้พวงกุญแจ 1 ชิ้นต่อแฟนคลับ 1 คน แต่ตอนนี้ หลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้ทำให้ทุกครั้งที่เจอกัน ตอนแรกเอาก็นึกว่าเขาทำให้เป็นของขวัญเพราะออกจากโรงพยาบาล แต่ล่าสุดที่ไปเจอกันเขาก็ทำมาให้ตลอดทุกครั้งที่เจอ มันทำให้เรามีแรงอยากเจอพวกเขา แล้วจะได้คุยกัน หลังไมค์ ทั้งเรื่องอาการป่วย แล้วก็เรื่องชีวิตประจำวัน พวกพี่เขาก็จะคอยถามอยู่เรื่อยๆ เราไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องที่เราเล่าจะเป็นประสบการณ์ ที่ดีหรือเปล่า หรือสามารถจะช่วยอะไรคนอื่นได้ไหม แต่อยากให้ลองคิดว่า คนที่ คิดจะทำร้ายตัวเอง ลองหันไปมองย้อนกลับไปดู ว่าอย่างน้อยคุณน่ะ ยังมีครอบครัว ที่เคยเป็นห่วง หรืออาจจะมีคนที่ แทบจะไม่รู้จักกันเลยแบบเราที่เจอกับพวกพี่เขา คอยเป็นห่วงอยู่ มันอาจจะเป็นโชคดีของเราที่ได้รู้จักพวกเขา ตอนนี้ถามว่าอาการปวดของเราดีขึ้นไหม มันไม่ได้ดีขึ้นหรอก แต่เราก็ ไม่ได้คิดจะทำร้ายตัวเองอีก เราเอาเวลาตรงนั้น กลับไปทำอย่างอื่น หรือ คอยมองตารางงานของพวกพี่ๆแล้วก็นัดเจอกันเวลาเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ มันช่วยเราได้เยอะ ที่ทำให้เราคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อ ถามว่ายังมีอาการดาวน์หรือดิ่งอยู่ไหม มันก็มี แต่เราก็ ปรึกษาพวกพี่ๆเขา บางครั้ง เขาก็ไม่ได้ว่างมาคุยกับเราตลอด แต่พอว่างเมื่อไหร่ เขาก็เลือกที่จะมา ตอบ ข้อความของเรา เอาจริงๆเราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พวกพี่ๆเขาฟัง เพราะเราไม่กล้าเล่า แต่เราก็อยากขอบคุณพวกพี่ๆเขา ที่เป็นศิลปิน มายาวนานแบบนี้ แล้วค่อยถามค่อยเป็นห่วงอยู่แบบนี้ จะบอกว่าส่วนหนึ่งที่เขาช่วยชีวิตให้เราอยากอยู่ต่อและหยุดทำร้ายตัวเองก็ว่าได้