JJNY : 5in1 ป๊อบ ศราวุธฟ้องชัยธวัช│ชาวบ้านร้องส.ว.│13 : 9 ส.ส.โหวตแพ้ส.ว.│“ไพศาล”ปูด!ไร้แพทย์รับ│สหรัฐปิดสถานทูตในยูเครน

ป๊อบ ศราวุธ ฟ้อง ชัยธวัช ปราศรัยกล่าวหา เมียมีเอี่ยวยาเสพติด โชว์พระเครื่องสาบานทำจริงขอให้มีอันเป็นไป
https://www.matichon.co.th/region/news_4910709

ป๊อบ ศราวุธ ฟ้อง ชัยธวัช ปราศรัยกล่าวหา เมียมีเอี่ยวยาเสพติด โชว์พระเครื่องสาบานทำจริงขอให้มีอันเป็นไป

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย จ.อุดรธานี นายศราวุธ เพชรพนมพร หรือ ส.ส.ป๊อบ อดีต ส.ส.อุดรธานี หลายสมัย ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.อุดรธานี หมายเลข 2 สังกัดพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี และอดีต ส.ส.อุดรธานีหลายสมัย ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จ.อุดรธานี กรณีถูกนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.อุดรธานี หมายเลข 1 สังกัดพรรคประชาชน กล่าวพาดพิงในหลายประเด็นขณะปราศรัยหาเสียงในพื้นที่ จ.อุดรธานี ในห้วงวันที่ 16 – 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

นายศราวุธ เปิดเผยว่า ตนได้มอบอำนาจให้ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายชัยธวัช ตุลาธน และร้องกับ กกต. ในประเด็นเรื่องจงใจปราศรัยใส่ร้ายให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ประเด็นนี้มีความผิดถึงใบแดง เนื่องจากนายชัยธวัช เป็นผู้ช่วยหาเสียงที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้สมัครฯ ตนให้ทนายไปแจ้งความในทุกเวทีที่เขาปราศรัย เพราะมีการพาดพิงถึงครอบครัวตน ที่แจ้งความไป ไม่ได้มีความโกรธแค้นส่วนตัว ตนไม่ได้รู้จักนายชัยธวัชเป็นการส่วนตัว

ผมเชื่อว่าสิ่งที่นายชัยธวัชน่าจะรู้ว่า สิ่งที่พูดไป มันมีมูลหรือมีเหตุ หรือพูดเพื่อต้องการอะไร ในการปราศรัยเขาดึงเอาครอบครัวผมเข้าไปเกี่ยวข้อง พูดถึงภรรยาผมทุกเวที บอกว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องหุ้นส่วนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เรื่องเสพติดมันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ไม่ว่าจะกับใครที่โดนกล่าวหาว่าเกี่ยวข้อง ผมว่าใครก็รับไม่ได้ ที่ผมต้องแจ้งความเพราะผมต้องปกป้องภรรยาผมและครอบครัวของผม” นายศราวุธ กล่าว

นายศราวุธ กล่าวอีกว่า ตนฝากถึงคุณชัยธวัชสั้นๆว่า ถ้าหากว่าในอดีตที่ผ่านมา ครอบครัวตน ภรรยาตน วงศ์วานว่านเครือผม เคยมีผลประโยชน์เรื่องยาเสพติดแม้แต่บาทเดียว หรือเคยสนับสนุนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่ว่าทางใดก็ตาม (ใช้มือขวาล้วงสร้อยพระเครื่องจากคอเสื้อ) ผมขอพูดต่อหน้าพระที่ผมห้อยคออยู่ ที่ปกป้องครอบครัวผมอยู่ในตอนนี้ ขอให้ครอบครัวผมมีอันเป็นไป ขอให้เกิดวิบัติ ยิ้ม กับครอบครัวผม คุณชัยธวัชมีครอบครัวหรือไม่ผมไม่ทราบ แต่คุณชัยธวัชดึงครอบครัวผมเข้ามา ผมก็เอาครอบครัวผมเป็นประกัน และผมก็จะไม่ท้ากลับด้วย แต่คุณชัยธวัชต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วย

คำพูดที่คุณชัยธวัชพูด คุณอยากได้คะแนน คุณมาพูดสิ่งต่างๆ มันกระทบกับครอบครัวผม ผมต้องปกป้อง ผมยืนยันเลยว่าถ้าผมทำสิ่งเหล่านั้นจริง ขอให้สิ่งที่ผมพูดไปมันเกิดขึ้นจริง ประเด็นนี้เอาแค่นี้พอ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เอาแค่สิ่งที่มันออกมาจากหัวใจผม คุณชัยธวัชพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือเปล่า ผมเชื่อว่าคุณชัยธวัชรู้อยู่แก่ใจว่าผมเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็พยายามดึงผมและครอบครัวเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ไม่เป็นไร แต่ขอพูดจากหัวใจผมเลย ถ้าผมมีส่วนเกี่ยวข้องจริง ก็ขอให้เป็นอย่างที่พูดไป” นายศราวุธ กล่าว

ต่อคำถามเรื่องการหาเสียง นายศราวุธ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงนี้ก็ลงพื้นที่หาเสียงตามปกติ เดินตลาดขอคะแนนเสียง ขึ้นรถแห่ไปตามพื้นที่ต่างๆ พรรคเพื่อไทยคงจะไม่มีส่งใครลงมาในพื้นที่อีกแล้ว เพราะเหลือเวลาแค่ 2 – 3 วัน ก่อนเลือกตั้ง เรื่องการขึ้นเวทีหาเสียงของนายทักษิณ มีการโยงไปถึงเรื่องยุบพรรค ผมว่ามันไม่เกี่ยวกัน นายทักษิณอยากมาพบชาวอุดรฯอยู่แล้ว นายทักษิณบอกตั้งแต่ก่อนตนลงสมัครเลือกตั้งแล้ว ว่าอยากมานอนอุดรฯ อยากมาเจอพี่น้องชาวอุดรฯ มันเป็นจังหวะที่ตนลงสมัครพอดีก็เท่านั้น

คนก็ถามว่าไม่กลัวหรือที่ท่านทักษิณมาแล้วจะถูกยุบพรรค แล้วท่านมีความผิดอะไร ที่จะโยงไปถึงการยุบพรรค คนโดนตัดสิทธิ์เขาก็ยังมาหาเสียงกันอยู่ ท่านทักษิณไม่ได้โดนตัดสิทธิ์ ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไรกัน และหลังจากที่ท่านทักษิณกลับไปแล้ว เชื่อว่ามีผลทางจิตใจแน่นอน เพราะท่านทักษิณกับชาวอุดรฯ มีความผูกพันกัน ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ท่านก็มาแก้ปัญหาให้พี่น้องชาวอุดรฯมาตลอด ส่วนเรื่องคะแนนเสียงในช่วงนี้ ถือเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว การเมืองระดับนี้ ผมเชื่อว่าทุกพรรคเขาทำโพลกัน แต่ผมจะไม่ขอพูดถึง แต่ละคนรู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะแพ้หรือชนะ แต่ที่สุดแล้วผมมั่นใจในสนามนี้”.



ชาวบ้านบุกสภา ร้อง ส.ว.วุฒิสภา ถูกกรมธนารักษ์ ฮุบที่ทำกิน ในเกาะเต่า เกือบ 15,000 ไร่.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4910188

ทนายอนันต์ชัย พาชาวบ้าน ร้อง ส.ว.วุฒิสภา ตรวจสอบ กรมธนารักษ์ หลังไม่ยอมคืนที่ดินให้ชาวบ้าน เกือบ 15,000 ไร่

วันที่ 20 พฤศจิกายน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ พร้อมนายกิตติศักดิ์ บุญชัย และชาวบ้านเกาะเต่ากว่า 20 คน ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา กรณีกรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนพื้นที่กว่า 15,000 ไร่ เกินกว่าที่ครอบครองจริงเพียง 25 ไร่ ในเกาะเต่าเป็นพื้นที่ราชพัสดุทำให้ชาวบ้านบนเกาะจำนวนมากและธุรกิจบนเกาะไม่สามารถจดแจ้งทะเบียนขึ้นได้ สร้างความเดือดร้อน เพราะชาวบ้านอยู่มาก่อน

โดยขอให้ช่วยการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับงานในหน้าที่ และควบคุม ตรวจสอบ ติดตามการทำงานของฝ่ายบริหารในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อพิพาทที่ดินเกาะเต่า ตามอำนาจหน้าที่ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 150 บัญญัติไว้ เพื่อทราบผลการดำเนินงาน

เนื่องจากชาวบ้านเกาะเต่า เคยร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน มาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และขอให้ร่วมผลักดันพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติอีกทางหนึ่งด้วย

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ในอดีตชาวบ้านในเกาะเต่าอาศัยอยู่มานานตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2480 ก่อนที่ราชทัณฑ์จะมาสร้างเรือนจำปี พ.ศ. 2485 พอเรือนจำไม่ได้ใช้งานกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ได้แจ้งสิทธิการครอบครอง ส.ค.1

และขึ้นทะเบียนเกาะเต่าเป็นที่ราชพัสดุทั้งเกาะจำนวน 15,000 ไร่ หรือประมาณ 21 ตารางกิโลเมตร ซี่งความจริงแล้ว เรือนจำ มีเนื้อที่เพียง 25 ไร่เท่านั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในปี พ.ศ.2497 ประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ

และในปี พ.ศ.2498 ราษฎรเกาะเต่าที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินไปขึ้นทะเบียนสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) แต่ไม่สามารถแจ้งสิทธิการครอบครองได้ เพราะนายครรชิต พัฒนศรีสรรพากรอำเภอเกาะสมุย ในฐานะตัวแทนกระทรวงการคลังได้แจ้งการครอบครองที่ดินบริเวณเกาะเต่า เนื้อที่ 15,000 ไร่ เกินกว่า 25 ไร่ ที่กรมราชทัณฑ์ครอบครอง ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนโดยความผิดพลาดคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ชาวบ้านยังคงครอบครองและทำกินในที่ดินดังกล่าวต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2529 – 2565 ราษฏรเกาะเต่าได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปหลายแห่ง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย, ผู้ตรวจการแผ่นดิน, คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษย์ชน, ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี แม่ทัพภาค 4 ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดิน ซึ่งมี พล.อ.เกรียงไกรศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่งเป็นประธาน

ทุกหน่วยงาน พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมธนารักษ์ ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและ ส.ค. 1 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย การขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ จำนวน 15,000 ไร่ เกินกว่า 25 ไร่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้กรมธนารักษ์คืนที่ดินให้กับชาวบ้านเกาะเต่า แต่กรมธนารักษ์ก็เพิกเฉย

วันนี้ จึงพาชาวบ้านกว่า 20 คน มายื่นเรื่องให้ รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ช่วยดำเนินการตรวจสอบ และติดตามสอบถามความคืบหน้าการดำเนินการต่อรัฐสภา และช่วยพลักดันแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 43 ปี 2537 ขัดหรือแย้งกับ ประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 มาตรา 59ทวิ

กรณีข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านเกาะเต่า กับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อให้ชาวบ้านเกาะเต่าได้รับความเป็นธรรม และยุติปัญหาข้อพิพาทให้ได้รับการแก้ไขเร็ววัน โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของชาวบ้านเกาะเต่าได้รับมาอย่างยาวนาน

ด้าน สว.นันทนา กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาคุกรุกคน และหลายหน่วยงานก็ได้พิสูจน์สิทธ์แล้วว่าเป็นสิทธ์ของชาวบ้าน เพราะมีการเข้ามาอยู่อาศัยก่อน หลังจากนี้ต้องมีการตรวจสอบข้อมูล แต่ช่วงนี้เป็นเวลาปิดสมัยประชุมสภา เรื่องเร่งด่วนที่จะทำได้ในตอนนี้คือการรวบรวมข้อมูลไปสอบถามเรื่องคืนสิทธิ์ให้ชาวบ้านที่กรมธนารักษ์โดยตรง แต่หากยืดเยื้อก็นำเข้ากระทู้ถามรัฐมนตรีการคลังในสมัยเปิดประชุมสภา

ส่วนกรณีที่เกิดทนายอนันต์ชัย ยืนยันว่า ยังไม่มีการดำเนินการในชั้นศาลถึงที่สุด ชาวบ้านพึ่งยืนเรื่องไปยังศาลปกครองเมื่อประมาณ3เดือนที่ผ่านมา และศาลยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่ หากศาลปกครองไม่รับก็ไปยื่นที่ศาลยุคิธรรมต่อไป.



แตกหัก! 13 : 9 ส.ส.โหวตแพ้ส.ว. ผนึกยึดเกณฑ์ 2 ชั้น ทำกม.ประชามติ ส่อค้างเติ่ง 180 วัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4910431

ตามคาด 13 ต่อ 9 สส.แพ้โหวตใน กมธ.ร่วม พ.ร.บ.ประชามติ 13 เสียงสว.ผนึกกำลังลงมติหนุนเสียงข้างมาก 2 ชั้น ขณะที่ 2 สส.ภท. งดออกเสียง ส่อแตกหักยื้ออีก 180 วัน

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา นายกฤช เอื้อวงศ์ ส.ว. พร้อมด้วย นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ส.ว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ แถลงผลการประชุม กมธ. ครั้งที่ 3 เพื่อหาข้อยุติในมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 2564 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎร กับวุฒิสภาเห็นแย้งกัน โดยวุฒิสภาเสนอให้แก้ไขเป็นหลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จนนำมาสู่การตั้ง กมธ.ร่วมกันเพื่อหาข้อยุติดังกล่าว

โดย นายกฤชกล่าวว่า การประชุมวันนี้น่าจะเป็นการประชุมก่อนครั้งสุดท้าย โดยผลลงมติเสียงส่วนใหญ่ให้คงไว้ตามที่วุฒิสภาแก้ไข 13 เสียง และ 9 เสียง ลงมติให้แก้ไขเพิ่มเติมตามที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอ และงดออกเสียง 3 เสียง จากองค์ประชุมทั้งหมด 25 คน หลังจากนี้ จะนำร่างกฎหมายกลับเข้าสู่แต่ละสภาเพื่อพิจารณาความเห็น หากสภาใดไม่เห็นชอบ สามารถลงมติยับยั้งร่างกฎหมาย และเสนอกลับเข้ามาใหม่ ทั้งนี้เชื่อว่า ส.ส.คงไม่เห็นด้วยการแก้ไขของ ส.ว.ทำให้ต้องพักร่างกฎหมายดังกล่าวไว้ 180 วัน แล้วจึงจะเสนอเข้ามาใหม่ได้

นายกฤชกล่าวว่า การประชุม กมธ.ครั้งต่อไป คือวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อรับรองรายงานการประชุม จากนั้นวันที่ 6 ธันวาคม จะยื่นร่างกฎหมายเข้าสู่แต่ละสภา โดยหลังจากเปิดสมัยประชุมแล้ว คาดว่า วันที่ 16 ธันวาคม จะเข้าสู่วาระการประชุมวุฒิสภา และวันที่ 18 ธันวาคม จะเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

สำหรับกรรมาธิการที่งดออกเสียง 3 คน นั้น นายกฤชกล่าวว่า พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว. ในฐานะประธาน กมธ. และกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคภูมิใจไทย ทั้ง 2 คน คือ นายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรค และ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่