เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่าทาง กกพ. เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ที่จะเรียกเก็บในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้:
กรณีที่ 1
คำนวณค่า Ft ตามสูตร โดยคำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงและภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ค่า Ft ที่กำหนดไว้คือ 170.71 สตางค์ต่อหน่วย
เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.78 บาทต่อหน่วย จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 5.49 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 31% จากอัตราปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย
กรณีที่ 2
คำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft โดยไม่มีการรวมต้นทุนคงค้างบางส่วนของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ
ค่า Ft ที่กำหนดไว้คือ 147.53 สตางค์ต่อหน่วย
เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 26% จากอัตราปัจจุบัน
กรณีที่ 3 (ข้อเสนอจาก กฟผ.)
ตรึงค่า Ft ไว้ที่อัตราปัจจุบัน ที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยชำระคืนหนี้ที่สะสมอยู่แทน
เมื่อรวมค่า Ft นี้กับค่าไฟฟ้าฐาน จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ย คงที่เท่ากับ 4.18 บาทต่อหน่วย เหมือนอัตราปัจจุบัน

ดร.พูลพัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมว่าแม้ค่าเชื้อเพลิงจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกปรับลดลงเล็กน้อย และปริมาณการผลิตพลังน้ำในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีภาระหนี้สะสมจากค่าเชื้อเพลิงของ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งต้องทยอยชำระเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ดังนั้น แนวทางการปรับค่า Ft ในช่วงต้นปี 2568 อาจจะต้องอยู่ในช่วง 147.53 ถึง 170.71 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟรวมเพิ่มขึ้นเป็
น 5.26 ถึง 5.49 บาทต่อหน่วย
แหล่งที่มา
https://www.khaosod.co.th/economics/news_9496373
กกพ.เปิด 3 ทางเลือก ขึ้นค่าไฟ งวด ม.ค.-เม.ย.68 แพงสุด 5.49 บาท/หน่วย
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่าทาง กกพ. เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ที่จะเรียกเก็บในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้:
กรณีที่ 1
คำนวณค่า Ft ตามสูตร โดยคำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงและภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ค่า Ft ที่กำหนดไว้คือ 170.71 สตางค์ต่อหน่วย
เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.78 บาทต่อหน่วย จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 5.49 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 31% จากอัตราปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย
กรณีที่ 2
คำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft โดยไม่มีการรวมต้นทุนคงค้างบางส่วนของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ
ค่า Ft ที่กำหนดไว้คือ 147.53 สตางค์ต่อหน่วย
เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 26% จากอัตราปัจจุบัน
กรณีที่ 3 (ข้อเสนอจาก กฟผ.)
ตรึงค่า Ft ไว้ที่อัตราปัจจุบัน ที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยชำระคืนหนี้ที่สะสมอยู่แทน
เมื่อรวมค่า Ft นี้กับค่าไฟฟ้าฐาน จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ย คงที่เท่ากับ 4.18 บาทต่อหน่วย เหมือนอัตราปัจจุบัน
ดร.พูลพัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมว่าแม้ค่าเชื้อเพลิงจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกปรับลดลงเล็กน้อย และปริมาณการผลิตพลังน้ำในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีภาระหนี้สะสมจากค่าเชื้อเพลิงของ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งต้องทยอยชำระเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ดังนั้น แนวทางการปรับค่า Ft ในช่วงต้นปี 2568 อาจจะต้องอยู่ในช่วง 147.53 ถึง 170.71 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟรวมเพิ่มขึ้นเป็
น 5.26 ถึง 5.49 บาทต่อหน่วย
แหล่งที่มา https://www.khaosod.co.th/economics/news_9496373