อ่านเรื่องราวมาก็เยอะ เเม่ผัวลูกสะใภ้ ไม่ได้อยากให้เรื่องราวในละครเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง เเต่ทั้งลูกสาวเเละสามีต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทะเลาะกันเเน่นอน จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น เล่นเอาเราอดกลุ้มใจไม่ได้เลยค่ะ
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ตัวเราเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ เเละรู้สึกว่าเหนื่อยมาก อยากเปลี่ยนไปทำร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ร้านเล็กกำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งคาดว่าอาจจะเสร็จสิ้นเเละเปิดได้ในเวลา 4 เดือน เเต่ปัญหามันอยู่ที่ ร้านเก่ายังขายร้านไม่ได้เลย ซึ่งเราอาจจะต้องเปิดทั้งสองร้าน เเละมันคงเป็นเรื่องหนักหนามากสำหรับเรา ถ้าต้องวิ่งไปมาทั้งสองร้าน เราจึงชักชวนลูกชายให้กลับมาช่วยบริหาร
ลูกชายเราเพิ่งเรียนจบมหาลัยเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งตอนนี้เค้าก็ได้งานทำเเล้ว(ต่างเมือง) เเต่ตารางงานเค้ากับเเฟนไม่ตรงกัน เค้าคบกับเเฟนตั้งเเต่ตอนเรียนปีหนึ่ง หลังเรียนจบก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เเต่เพราะเเฟนเค้ามีปัญหาเรื่องเงินจึงหยุดเรียนตั้งเเต่ตอนปีสอง ตอนนี้ทำงานร้านอาหาร เข้างานสายเลิกงานดึก ส่วนลูกชายเราเข้างานเช้า เลิกเย็น เเละยังต้องคอยรับส่งเเฟน เวลาพักผ่อนจริงๆเลยเเทบจะไม่มี เค้าสองคนเลยตัดสินใจรับข้อเสนอของเรา
เรามีบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างจากบ้านเราประมาณห้ากิโล เราจะให้เค้าอยู่กันที่นั่น ก่อนที่ร้านเล็กจะเปิด เค้าทั้งคู่จะต้องเข้ามาเรียนรู้งานกันเราก่อนที่ร้านใหญ่ ที่เราคิดเอาไว้คือ ให้ลูกชายเรียนรู้งานเชฟ ส่วนเเฟนเรียนรู้งานจัดการต่างๆหน้าร้าน เมื่อไหร่ที่ร้านใหญ่ขายได้ เเละถ้าเค้าสามารถทำได้ เราจะมองหาร้านเล็กอีกร้านให้เค้าทำกันเอง
ตัวเราเองทำธุรกิจร้านอาหารมามากกว่า 30 ปี เรารู้ดีว่า งานนี้ทำเงินได้ดีกว่าหลายๆงาน เเละเชื่อว่า ถ้าลูกชายเรามีความตั้งใจ เค้าจะสามารถขยายกิจการเเละทำได้ดีกว่าเรา เราเป็นคนยุคโบราณ ที่ไม่ได้เก่งเรื่องการตลาดของคนยุคใหม่ ส่วนลูกชายเป็นเด็กยุคใหม่ที่เข้าถึงโลกสมัยใหม่มากกว่าเรา
เเต่ปัญหาที่ทำให้เรานอนคิดจนปวดขมับคือ เราจะทำยังไงให้เป็นว่าที่เเม่สามีที่ดี ตัวเราเองก็ดื้อกับเเม่สามีเเละไม่ได้อยากให้รุ่นลูกต้องเป็นเเบบเรา การเเยกบ้านกันอยู่ อาจจะช่วยได้ระดับนึง เเต่การทำงานร่วมกัน เราไม่อยากให้เค้าอึดอัด เราเคยคิดไม่ดีว่า เป็นเพราะเค้าขับรถไม่ได้ ลูกเราเลยต้องเสียเวลารับส่ง เรารู้สึกว่า เค้าไม่ได้ช่วยส่งเสริมเเต่กลับคอยถ่วง (เเว๊ปนึงที่คิดเเบบนี้ เราก็รู้สึกเเย่นะ) ครั้งนึงเราเคยเสนอให้ยืมเงินเพื่อซื้อรถ เเต่เค้าปฎิเสธ อาจจะเค้ามีรายจ่ายเงินที่เคยกู้มาเรียนเลยยังซื้อรถไม่ได้ (เราอยู่อเมริกา รถนั้นสำคัญมากสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองเล็ก มันไม่ได้มีรถโดยสารเหมือนเมืองใหญ่)
เราขอคำเเนะนำในการวางตัว การพูดคุย การรับมือ การปรับเปลี่ยนวิธีการคิด เมื่อวานสามีเข้ามาคุยกับเราถึงเรื่องนี้ เค้ากลัวว่าเราจะทะเลาะกับลูกชายเเละเเฟนเค้า เพราะนิสัยเราเป็นคนเเรง (เเม่ค้าปากตลาดดีๆนี่เเอง) เราก็รู้ตัวเเหละ เเต่นิสัยคนเรามันปรับกันยากนะ เราเคยเสนอเงินค่าเทอมให้เค้ายืมเเต่เค้าก็เลือกที่จะปฎเสธเเละหยุดเรียน เพราะไม่อยากรับความช่วยเหลือจากเรา เราเคยเสนอเงินซื้อรถให้เค้า เพราะไม่อยากให้ลูกชายเราเสียเวลารับส่ง เเต่เค้าก็ปฎิเสธอีก เราเลยอดคิดลบไม่ได้ว่า ทำไมหยิ่งจังวะ
เพราะเราเคยคิดลบ เลยไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านั้นมันทำลายความสัมพันธ์ เรารักลูกชายเรามาก เเละเราก็นับถือในความเป็นผู้ใหญ่ของเค้า เราไม่ก้าวก่ายในการใช้ชีวิตของเค้า เราไม่อยากพูดหรือทำผิด ให้เค้ารู้สึกไม่ดี เราอยากเป็นเเม่สามีที่ดี ช่วยเเนะนำเราทึว่า อะไรที่เราควรทำ เเละอะไรที่เราไม่ควรทำ
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ
เมื่อลูกย้ายกลับมาอยู่ไกล้ๆ พร้อมว่าที่สะใภ้
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ตัวเราเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ เเละรู้สึกว่าเหนื่อยมาก อยากเปลี่ยนไปทำร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ร้านเล็กกำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งคาดว่าอาจจะเสร็จสิ้นเเละเปิดได้ในเวลา 4 เดือน เเต่ปัญหามันอยู่ที่ ร้านเก่ายังขายร้านไม่ได้เลย ซึ่งเราอาจจะต้องเปิดทั้งสองร้าน เเละมันคงเป็นเรื่องหนักหนามากสำหรับเรา ถ้าต้องวิ่งไปมาทั้งสองร้าน เราจึงชักชวนลูกชายให้กลับมาช่วยบริหาร
ลูกชายเราเพิ่งเรียนจบมหาลัยเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งตอนนี้เค้าก็ได้งานทำเเล้ว(ต่างเมือง) เเต่ตารางงานเค้ากับเเฟนไม่ตรงกัน เค้าคบกับเเฟนตั้งเเต่ตอนเรียนปีหนึ่ง หลังเรียนจบก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เเต่เพราะเเฟนเค้ามีปัญหาเรื่องเงินจึงหยุดเรียนตั้งเเต่ตอนปีสอง ตอนนี้ทำงานร้านอาหาร เข้างานสายเลิกงานดึก ส่วนลูกชายเราเข้างานเช้า เลิกเย็น เเละยังต้องคอยรับส่งเเฟน เวลาพักผ่อนจริงๆเลยเเทบจะไม่มี เค้าสองคนเลยตัดสินใจรับข้อเสนอของเรา
เรามีบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างจากบ้านเราประมาณห้ากิโล เราจะให้เค้าอยู่กันที่นั่น ก่อนที่ร้านเล็กจะเปิด เค้าทั้งคู่จะต้องเข้ามาเรียนรู้งานกันเราก่อนที่ร้านใหญ่ ที่เราคิดเอาไว้คือ ให้ลูกชายเรียนรู้งานเชฟ ส่วนเเฟนเรียนรู้งานจัดการต่างๆหน้าร้าน เมื่อไหร่ที่ร้านใหญ่ขายได้ เเละถ้าเค้าสามารถทำได้ เราจะมองหาร้านเล็กอีกร้านให้เค้าทำกันเอง
ตัวเราเองทำธุรกิจร้านอาหารมามากกว่า 30 ปี เรารู้ดีว่า งานนี้ทำเงินได้ดีกว่าหลายๆงาน เเละเชื่อว่า ถ้าลูกชายเรามีความตั้งใจ เค้าจะสามารถขยายกิจการเเละทำได้ดีกว่าเรา เราเป็นคนยุคโบราณ ที่ไม่ได้เก่งเรื่องการตลาดของคนยุคใหม่ ส่วนลูกชายเป็นเด็กยุคใหม่ที่เข้าถึงโลกสมัยใหม่มากกว่าเรา
เเต่ปัญหาที่ทำให้เรานอนคิดจนปวดขมับคือ เราจะทำยังไงให้เป็นว่าที่เเม่สามีที่ดี ตัวเราเองก็ดื้อกับเเม่สามีเเละไม่ได้อยากให้รุ่นลูกต้องเป็นเเบบเรา การเเยกบ้านกันอยู่ อาจจะช่วยได้ระดับนึง เเต่การทำงานร่วมกัน เราไม่อยากให้เค้าอึดอัด เราเคยคิดไม่ดีว่า เป็นเพราะเค้าขับรถไม่ได้ ลูกเราเลยต้องเสียเวลารับส่ง เรารู้สึกว่า เค้าไม่ได้ช่วยส่งเสริมเเต่กลับคอยถ่วง (เเว๊ปนึงที่คิดเเบบนี้ เราก็รู้สึกเเย่นะ) ครั้งนึงเราเคยเสนอให้ยืมเงินเพื่อซื้อรถ เเต่เค้าปฎิเสธ อาจจะเค้ามีรายจ่ายเงินที่เคยกู้มาเรียนเลยยังซื้อรถไม่ได้ (เราอยู่อเมริกา รถนั้นสำคัญมากสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองเล็ก มันไม่ได้มีรถโดยสารเหมือนเมืองใหญ่)
เราขอคำเเนะนำในการวางตัว การพูดคุย การรับมือ การปรับเปลี่ยนวิธีการคิด เมื่อวานสามีเข้ามาคุยกับเราถึงเรื่องนี้ เค้ากลัวว่าเราจะทะเลาะกับลูกชายเเละเเฟนเค้า เพราะนิสัยเราเป็นคนเเรง (เเม่ค้าปากตลาดดีๆนี่เเอง) เราก็รู้ตัวเเหละ เเต่นิสัยคนเรามันปรับกันยากนะ เราเคยเสนอเงินค่าเทอมให้เค้ายืมเเต่เค้าก็เลือกที่จะปฎเสธเเละหยุดเรียน เพราะไม่อยากรับความช่วยเหลือจากเรา เราเคยเสนอเงินซื้อรถให้เค้า เพราะไม่อยากให้ลูกชายเราเสียเวลารับส่ง เเต่เค้าก็ปฎิเสธอีก เราเลยอดคิดลบไม่ได้ว่า ทำไมหยิ่งจังวะ
เพราะเราเคยคิดลบ เลยไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านั้นมันทำลายความสัมพันธ์ เรารักลูกชายเรามาก เเละเราก็นับถือในความเป็นผู้ใหญ่ของเค้า เราไม่ก้าวก่ายในการใช้ชีวิตของเค้า เราไม่อยากพูดหรือทำผิด ให้เค้ารู้สึกไม่ดี เราอยากเป็นเเม่สามีที่ดี ช่วยเเนะนำเราทึว่า อะไรที่เราควรทำ เเละอะไรที่เราไม่ควรทำ
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ