JJNY : ณัฐพงษ์ชี้ราชการอุ้ยอ้าย│‘ชุติพงศ์’เหน็บด่วน แต่6ด.ยังไม่คืบ│น้ำมันถั่วเหลืองแจ้งขึ้น│ไต้หวันเตรียมรับมือกองเร็ย

พรรคประชาชนเสนอร่าง กม.จัดสรรที่ดิน กำหนดตั้งนิติบุคคลดูแลลูกบ้านภายใน 3 ปี ด้านณัฐพงษ์ชี้ ราชการอุ้ยอ้าย ขาดพลังแก้ปัญหา
https://thestandard.co/peoples-party-land-subdivision-act/
 
 
เมื่อวานนี้ (30 ตุลาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดสรรที่ดิน เสนอโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาพร้อมกับร่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งกรมที่ดินเสนอ และร่างสุดท้ายเป็นของพรรคเพื่อไทย เสนอโดย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมเป็น 3 ร่าง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงการบ้านจัดสรรที่ไม่มีการส่งมอบจากเจ้าของโครงการ และนิติบุคคลมีข้อติดขัดทางกฎหมายที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกบ้านได้
 
ธัญธร ธนินวัฒนาธร สส. กทม. พรรคประชาชน อภิปรายนำเสนอร่างของพรรคประชาชน โดยระบุว่า ที่ผ่านมาได้ติดตามปัญหาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ไปจนถึงการประชุมจัดตั้งนิติบุคคล พบว่ากฎหมายในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ การจัดตั้งนิติบุคคลยังมีความยากลำบากตามบริบทของพื้นที่ หลายพื้นที่ยังมีปัญหาสาธารณูปโภคส่วนกลาง เช่น น้ำท่วมขัง ยังต้องจัดเวรยามคอยดูแลเปิดเครื่องสูบน้ำ มีปัญหาตามมาทั้งค่าน้ำมัน มลภาวะ กลิ่น เสียง การบำรุงรักษา และภาระงานที่เพิ่มขึ้นของเจ้าหน้าที่
 
พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินนี้มีใจความหลักคือ กำหนดระยะเวลาให้ผู้จัดสรรที่ดินแจ้งหรือเรียกให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจัดตั้งนิติบุคคลให้เสร็จสิ้นภายใน 3 ปี นับตั้งแต่ที่ได้มีการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนแปลงย่อยตามแผนผังโครงการจัดสรรที่ดินแล้ว และกำหนดให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยตามแผนผังโครงการ สามารถแต่งตั้งตัวแทนเพื่อยื่นคำขอจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรได้เอง
 
ธัญธรกล่าวต่อว่า ใน พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันในมาตรา 49 ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคให้จัดเก็บเป็นรายเดือนจากที่ดินแปลงย่อยในโครงการจัดสรรที่ดินทุกแปลง ทั้งนี้ อาจกำหนดค่าใช้จ่ายในอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือขนาดพื้นที่ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางกำหนด หรือให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรที่ตนซื้อ หรือให้ผู้จัดสรรที่ดินออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินแปลงย่อยที่ยังไม่มีผู้ซื้อ
 
ส่วนในร่างของ ครม. ที่เสนอเข้ามาใหม่นี้ ได้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 49 และกำหนดให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาจัดการสาธารณูปโภคจัดเก็บเป็นรายเดือนจากที่ดินแปลงย่อยในโครงการจัดสรรที่ดินทุกแปลงหรือตามที่กำหนดในข้อบังคับของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งเห็นว่าเป็นข้อดี เป็นการเปิดโอกาสให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบันในข้อเท็จจริงที่นิติบุคคลมีความหลากหลายตามแต่พื้นที่ อาจเลือกเก็บค่าส่วนกลางได้เป็นรายเดือน ราย 6 เดือน หรือรายปี ก็สามารถทำได้
 
แนะเพิ่มโทษหากผู้จัดสรรที่ดินฝ่าฝืนคำสั่ง
 
ธัญธรอภิปรายต่อว่า ใน พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินปัจจุบันในมาตรา 65 กำหนดโทษให้ผู้ฝ่าฝืนของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมาย ให้ปฏิบัติตามคำสั่งและระวางโทษปรับอีกวันละ 1,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืน โดยร่างที่ ครม. เสนอได้เพิ่มโทษมาเป็นวันละ 2,000 บาท ซึ่งตนรู้สึกว่าค่าปรับอาจจะยังน้อยเกินไปสำหรับโครงการที่ละเมิดกฎระเบียบ อีกทั้งกฎหมายเดิมถูกบังคับใช้มาถึง 23 ปีแล้ว สภาพเศรษฐกิจและค่าเงินได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และปัจจุบันผู้จัดสรรที่ดินมีการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการเพิ่มมากขึ้นด้วย
 
ทั้งนี้ จึงเห็นด้วยในหลักการในร่าง พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินทั้ง 3 ฉบับที่มีการพิจารณาอยู่ และขอสนับสนุนให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษา ผลักดัน และแก้ไขให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง มาแก้ไขปัญหาหน้าบ้านของประชาชนที่พบเจออยู่ทั่วประเทศด้วยกัน
 
24 ปี ราชการอุ้ยอ้าย-การเมืองล้มเหลว ขาดพลังแก้ปัญหาประชาชน
 
ขณะที่ณัฐพงษ์ได้อภิปรายสรุปก่อนการลงมติว่า ปัญหาของหมู่บ้านจัดสรรตลอด 20 กว่าปีคือภาพสะท้อนปัญหาของรัฐราชการที่มีความอุ้ยอ้ายและระบบการเมืองไทยที่มีความล้มเหลว ความอุ้ยอ้ายของระบบรัฐราชการสะท้อนผ่านการที่ 2 ใน 3 ของโครงการหมู่บ้านจัดสรรในประเทศขณะนี้ยังไม่มีนิติบุคคล
 
ร่างของกรมที่ดินที่ส่งมาประกบนี้แม้จะมีความครอบคลุม แต่เมื่อกรมที่ดินเห็นปัญหาเหล่านี้มาตั้งแต่ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2543 ทำไมผ่านไป 24 ปีเพิ่งจะมีการแก้ไข ด้วยระบบแบบนี้เองที่ทำให้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ หน้าบ้านประชาชนยังไม่มีการแก้ไข ถ้าเป็นแบบนี้หลายปัญหาใหญ่จะได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในกรมที่ดินรู้ดีแต่ไม่ชงเรื่องว่ากฎหมายต้องแก้ไข ข้าราชการหลายคนรู้ปัญหาว่าเพราะระบบรัฐราชการเป็นแบบนี้จึงขาดพลังในการริเริ่มสร้างสรรค์แก้ไขปัญหาให้ประชาชน
 
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนระบบการเมืองที่ล้มเหลวสะท้อนผ่านการที่ทั้งร่างของตนและร่างที่ธีรรัตน์เสนอมาประกบล้วนถูก ครม. อุ้มกลับไปพิจารณาก่อนถึง 8 เดือน ระบบการเมืองที่ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งที่ ครม. เห็นระเบียบวาระการประชุมสภามาตลอด ไม่จำเป็นต้องรอขนาดนี้เลย ถ้า ครม. เห็นระเบียบวาระแล้วส่งร่างกฎหมายไปให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาก่อนเข้าสภาก็จะสามารถร่นเวลารอแบบนี้ได้อีกมาก
 
โครงสร้างระบบราชการที่อุ้ยอ้ายและระบบการเมืองที่ทำให้ดีกว่านี้ได้ หลายอย่างเราผลักดันร่วมกันได้ การทำให้ระบบรัฐราชการและการเมืองมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีความเป็นประชาธิปไตย และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง คือทางออกที่จะนำปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เฉพาะในกรณี พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน แต่ทุกเรื่องที่ทำให้ประชาชน ได้รับการตอบสนองอย่างดียิ่งขึ้นในอนาคต” ณัฐพงษ์กล่าว
 
หลังการอภิปรายเสร็จสิ้น สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเสียงข้างมากเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินทั้ง 3 ฉบับ และจะมีการพิจารณาร่างดังกล่าวในชั้นกรรมาธิการวิสามัญต่อไป
 


‘ชุติพงศ์’ จี้ รบ. เร่งแก้สารพิษ รง.วินโพรเสส เหน็บ บอกเป็นเรื่องด่วน แต่ 6 เดือนแล้ว ยังไม่คืบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4874812

‘ชุติพงศ์’ กระทุ้งรบ. เร่งแก้สารพิษ รง.วินโพรเสส เหน็บ บอกเป็นเรื่องด่วน แต่ 6 เดือนแล้ว ยังไม่คืบข้องใจตร.ทำคดีล่าช้า ไม่เหมือนดิไอคอน ลั่นเปิดสภาสมัยหน้าเจอกระทู้แน่
 
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 31 ตุลาคม ที่รัฐสภา นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีการดำเนินการเกี่ยวกับ โรงงานวินโพรเสส ที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า จนถึงขณะนี้ รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผ่านมากว่า 2 เดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทั้งที่รัฐบาล และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ระบุว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ไม่มีการนำสารเคมีไปกำจัดอย่างถูกต้องเพราะเท่าที่ทราบมีเพียงการทำระบบระบายน้ำ ไม่ให้นำจากแหล่งน้ำธรรมชาติไหลรวมไปอยู่ในบ่อดำ เป็นบ่อที่เรากังวลว่า ถ้าบ่อแตกจะไหลเข้าชุมชน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามผันน้ำไม่ให้เข้าสู่ชุมชนได้สำเร็จ แต่เรากังวลสารเคมีที่ส่งกลิ่นเหม็น เป็นพิษกับระบบทางเดินหายใจ ประชาชนโดยพื้นที่รอบๆ ยังคงได้รับกลิ่นเหม็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
 
ตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันนี้ ผ่านมา 6 เดือนแล้ว กากสารเคมีนอกจากที่เคยมีการขนเอาออกไปได้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งเหลือเพียงการขออนุมัติงบกลาง เพื่อเคลื่อนย้าย กากสารพิษไปกำจัด จึงสงสัยว่ารัฐบาลของน.ส.แพทองธาร เหตุใดจึงยังไม่มีการนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อหาทางแก้ไข ทั้งที่รัฐบาลบอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่กลับทำเหมือนไม่เป็นเรื่องเร่งด่วน”นายชุติพงศ์ กล่าว
 
นายชุติพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินคดี ได้ดำเนินการและขยายผลไปถึงไหนแล้ว รวมถึงการตรวจสอบว่าสารเคมีที่ถูกลักลอบฝังทั้งหมดจะทำอย่างไรต่อ จึงขอถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้รับผิดชอบคดี ว่าจะมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำให้คดีรวดเร็ว ก็สามารถทำได้ ดูได้จากคดี ดิไอคอนกรุ๊ป ที่ทำได้อย่างรวดเร็ว เหตุใดพอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน กลับยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
 
นายชุติพงศ์ กล่าวด้วยว่าวันนี้ (31 ต.ค.) ซึ่งปิดสมัยประชุมสภาแล้ว แต่เป็นวันแรกที่ให้ยื่นกระทู้ถาม ถามรัฐมนตรีได้ ซึ่งตนได้ยื่นกระทู้ถามได้เป็นกระทู้ที่สอง เพื่อที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และขอให้ รมว.อุตสาหกรรม ทำการบ้านไว้ล่วงหน้าได้เลย เพราะเมื่อเปิดสมัยประชุมมาในเดือนธันวาคม ตนจะสามารถถามกระทู้ได้ในสัปดาห์แรก



น้ำมันถั่วเหลือง แจ้งขึ้นราคาขวดละ 5 บาท ค้าภายในขอให้ตรึง โชห่วยห่วงของขาด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4874661

น้ำมันถั่วเหลือง แจ้งขึ้นราคาขวดละ 5 บาท ค้าภายในขอให้ตรึง โชห่วยห่วงของขาด
 
น้ำมันถั่วเหลือง – เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ได้มีโอกาสร่วมประชุมกับกรมการค้าภายใน และผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่ เพื่ออัพเดตสถานการณ์สต๊อกและราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลืองแบบบรรจุขวด หลังจากน้ำมันปาล์มมีการปรับราคาขายขึ้นประมาณ 10 บาทต่อขวด และน้ำมันถั่วเหลืองก็จะปรับขึ้นตามเช่นกัน ซึ่งที่ร้านได้รับแจ้ง

จากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง จะปรับราคาขายขึ้นอีก 5 บาทต่อขวดลิตร ภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้ราคาขายส่งปรับขึ้นจากเดิม 48 บาท เป็น 53 บาทต่อขวดลิตร หากร้านค้านำไปขายปลีกต่อคาดว่าราคาจะขยับเป็น 60-65 บาทต่อขวดลิตร

นายมิลินทร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากการประชุม ทางกรมการค้าภายในขอความร่วมมือให้ร้านค้าและห้างร้านตรึงราคาขายที่เป็นสต๊อกเดิมไว้ก่อน ทั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะสามารถตรึงได้นานแค่ไหน เนื่องจากสต๊อกเดิมของแต่ละรายยังเหลือแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้นและน่าเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะของขาดตลาดหรือไม่ เนื่องจากผู้ผลิตเองก็ไม่เปิดรับออร์เดอร์เช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่