สวัสดีคร้าบบเพื่อนๆ กลับมาแล้วสำหรับกระทู้ทัศนศึกษาของเรา วันนี้จะพาทุกคนไปเรียนรู้แง่มุมต่างๆของประเทศแคนาดาผ่านการท่องเที่ยว ประเทศที่ว่ากันว่าก็คล้ายกับอเมริกา จึงมักถูกมองข้ามบ่อยๆ (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น 555) แต่ช่วงนั้นแคนาดาเข้าไปเที่ยวง่ายขึ้น บวกกับเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เลยต้องหาที่เที่ยวพักผ่อนสักหน่อย คิดไปคิดมาก็อ่ะ ไปประเทศเพื่อนบ้านนี่แหละ ลองดูหน่อย เพราะดูจากรีวิวแล้วก็สวยอยู่ โดยทริปนี้ผมจะไฟ 2 เมือง คือ Ottawa เมืองหลวง กับ Quebec City เมืองยอดนิยมของชาวยุโรป เรามาดูกันว่าแคนาดามีอะไรน่าสนใจให้เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกันได้เลยคร้าบ
1. การเข้าประเทศ
โดยปกติแล้วเมื่อก่อนคนไทยต้องขอวิซ่าเพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศแคนาดา แต่ช่วงกลางปี 2023 ก็ได้มีหลักเกณฑ์ใหม่คือคนไทยที่เคยมีวิซ่าแคนาดาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กับคนทีกำลังถือวิซ่าชั่วคราวของอเมริกา เช่น ท่องเที่ยว นักเรียน ทำงาน สามารถขอ ETA เพื่อเดินทางเข้าแคนาดาได้เลย แต่ได้แค่บินเข้าเท่านั้นนะ ถ้าเราจะนั่งเรือ รถไฟ รถยนต์ เข้าไปยังต้องขอวิซ่าของแคนาดาเหมือนเดิม
2. เงินตรา
- แคนาคาใช้เงินสกุลแคเนเดียนดอลลาร์ (CAD) ซึ่งตอนนั้น 1 CAD จะประมาณ 0.7 USD หรือ 25 บาท
- การใช้จ่ายทั้งหมดจะสามารถใช้บัตรแตะจ่ายเหมือนที่อเมริกาได้เลย แทบไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งสะดวกมากเพราะเราก็ใช้ travel card ได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องแลกเงิน
3. ค่าครองชีพ
- โดยทั่วไปสมเหตุสมผล เหมือนใช้อัตราการกำหนดราคาเหมือนที่อเมริกา ดังนั้นราคาสินค้าและบริการจะถูกกว่า 30% ตามค่าเงิน เช่น ค่าตัดผมที่อเมริกาจะ 40 USD แต่ที่แคนาดาจะประมาณ 30 USD ซึ่งแพงมากอยู่ดี (จำได้ว่าผมใช้ส่วนลดนักเรียน ซึ่งใช้ได้ด้วยขนาดเราไม่ได้เรียนที่แคนาดา 5555) แต่ต้องชมว่าช่างที่แคนาดาตัดผมได้สวย เนี้ยบ สมราคาจริงๆ ส่วนค่าอาหารคิดแล้วก็จานละ 7-9 USD (11-15 CAD) ซึ่งถูกถ้าเทียบกับที่อเมริกา
- ที่แคนาดามี tipping culture นะคร้าบ และยึดติดมากด้วย ดังนั้นเวลาใช้บริการใดๆเค้าจะคาดหวังทิปประมาณ 15% จากเรา แนะนำว่าควรให้ ถึงแม้เราจะไม่คุ้นเคยหรือไม่ประทับใจการบริการก็ตาม 5555
โบสถ์ Notre Dame ข้างๆร้านตัดผม
4. อาหาร
- อาหารการกินจะแล้วแต่เมือง ที่ Ottawa จะหากินง่ายมากก มีทุกชาติ ไทย จีน เวียดนาม และด้วยราคาที่ถูกกับรสชาติอร่อยๆ ทำให้เราสนุกกินไม่หยุด แต่ที่ Quebeq City จะไม่ค่อยมีอาหารเอเชีย มีแต่อาหารฝรั่ง พวกฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน ซึ่งไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่
ผัดไทยของร้านอาหารไทยที่ Ottawa อร่อย แต่อิ่มจุก เพราะได้เยอะ กินไปก็คิดไปทำไงดี ถ้ากินเหลือก็เกรงใจ เลยต้องกินให้หมด TT
5. การเดินทาง
- การเดิน ทั้งสองเมืองที่ผมไปสามารถเดินได้ เดินสนุก ทางเท้าดี แต่บางทีก็ต้องเดินขึ้นๆลงๆเนิน เพราะเป็นเมืองที่ตั้งริมแม่น้ำ อยู่บนหน้าผา
- รถบัส ที่ Ottawa การเดินทางสะดวกทีเดียว มีรถบัสครอบคลุม วิ่งถี่ ป้ายกับเสียงประกาศชัดเจน รถบัสที่นี่จะเป็นแบบเดียวกับที่ลอนดอนเลย เป็นสีแดง สองชั้น แต่ๆๆ ขับรถซิ่งมาก เหมือนรีบทำรอบ แซงหมดไม่สนคันไหน เป็นสิ่งที่ทำผมอึ้งไปเลย ส่วนที่ Quebeq City ไม่มีรถวิ่งในเขตเมืองเก่า ต้องออกจากกำแพงเมืองมา จึงจะมีรถบัส
- รถไฟ แคนาดาจะมีรถไฟระหว่างเมืองที่เรียกว่า Via train วิ่งทั่วประเทศ รถไฟก็มีการแบ่งชั้น ชั้น 1 ชั้นปกติ ราคาก็โอเคนะ จาก Ottawa ไป Quebeq City 60 CAD มั้ง จำไม่ได้เหมือนกัน สามารถเอาของกินขึ้นไปได้ แล้วก็มีบริการขายข้างบน
- รถบัสใน Ottawa จะมีบัตรให้ใช้แตะ เติมเงินเข้าบัตรแล้วใช้ได้เลย แต่ที่ Quebeq City จะใช้แอพ โหลดแอพ เติมเงิน แล้วสแกนขึ้นรถ สะดวกมากๆ
รถบัสแดงสองชั้น วิ่งครอบคลุม มาถี่ เบาะนุ่ม นั่งสบายมากก แต่ขับเร็วสุดๆ
6. แหล่งท่องเที่ยว
แคนาดาเหมือนเป็นจุดนัดพบระหว่างยุคสมัยเก่ากับสมัยใหม่ ยุโรปกับอเมริกา คือมีทั้งเมืองเก่ากับเมืองใหม่อยู่ด้วยกัน
- Quebec City สวย เก่า คล้ายยุโรป เพราะก่อตั้งมานานได้ 400 ปีแล้ว อาคารบ้านเรือนก็จะเก่าๆ สร้างด้วยหิน ถนนหนทางก็ปูด้วยหิน ตั้งอยู่บนหน้าผา มีกำแพงเมืองเก่าล้อมรอบ มีแม่น้ำไหลผ่าน
Petit Champlain ใน Quebec City สวยลืม
- Ottawa เป็นเมืองหลวง อายุไม่เก่ามาก ร้อยกว่าปี มีความเป็นเมือง มีคลอง มีแม่น้ำไหลผ่าน อาคารจะทันสมัยขึ้นมาหน่อย เป็นที่ตั้งของหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ พิพิธภัณฑ์ สถานศึกษา ส่วนตัวผมชอบเมืองนี้มากกว่า ครบ จบ เดินก็ได้ นั่งรถก็ดี มีทุกอย่างที่ต้องการ แถมผู้คนเป็นมิตรด้วย
Rideau Canal คลองที่ตัดผ่านการเมือง มีระบบนำเรือเข้าออกแบบคลองปานามา คือเพิ่มหรือลดระดับน้ำเป็นด่านๆ โชคดีมากที่ตอนที่ผมเดินผ่านเขากำลังจะเอาเรือเข้ามาพอดี เลยได้ดู และก็มีโอกาสเดินบนประตูน้ำเพื่อข้ามไปอีกฝั่งด้วย ตื่นเต้นดี กลัวตก 5555
7. ผู้คน
พบว่าผู้คนไม่หลากหลายเท่าอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นคนขาว รองลงมาเป็นเอเชียน คนที่นี่ก็ใจดี เป็นมิตรนะ แต่รู้สึกยังมีความเงียบ ไม่ขี้เล่นเท่าคนอเมริกัน โดยรวมก็ปกติ ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร ส่วนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนขาว มาจากยุโรปกัน นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นยังไม่ค่อยเจอ
8. ภาษา
- คนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้นสบายใจหายห่วง
- ภูมิภาคที่ผมไปจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาประจำรัฐ ป้ายทุกป้ายจะมีภาษาฝรั่งเศสกำกับด้วย แม้ว่าหน้าเราจะเอเชียมาเลย แต่ภาษาแรกที่เขาคุยกับเราคือภาษาฝรั่งเศส! ประมาณว่าคุณพูดฝรั่งเศสไหม นี่ต้องคอยบอกว่า English please ตลอด ก็น่าจะเป็นที่มาว่าทำไมคนยุโรปมาเยอะ แน่นอนว่าโดยเฉพาะคนฝรั่งเศส เดินๆอยู่ในเมืองนึกว่าตัวเองอยู่ฝรั่งเศส 5555
ดูป้ายหยุดนั่นสิ!
9. สภาพอากาศ
ช่วงที่ผมไปเป็นกลางหน้าร้อนเลย อากาศก็เย็นสบายนะ ไม่ได้ร้อนมาก มีแดดเป็นส่วนใหญ่ ฟ้าครึ้มบ้าง ฝนตกนิดหน่อย แต่ช่วงฝนตกนี่แหละ หนาวมาก
National Gallery มีโอกาสได้เจอกับลูกชายของศิลปินที่ออกแบบแมงมุมตัวนี้ด้วย เขามาเป็นไกด์นำทางในสถานที่แห่งหนึ่ง
10. ร้านค้า
- ห้างสรรพสินค้าพบได้บ้าง ขายสินค้าทั่วไป เสื้อผ้า ของกินเล่น เครื่องสำอาง
- ซุปเปอร์มาเก็ตมีของขายเยอะ ที่ผมไปเจอมาเป็นซุปเปอร์เล็กๆ แต่ของครบ ราคาดี สามารถไปซื้อของมาเก็บไว้กินที่โรงแรมได้
- ร้านโชห่วยก็มีน้าา เล็กๆ มีพวกขนมกับของใช้ขาย ใช้บัตรแตะได้เลย ผมแวะซื้อมีดโกนหนวดเพราะลืมพกมาด้วย
11. โบนัส
- หากบินจากแคนาดาเข้าอเมริกาผ่าน Toronto คือดีมากกก มี US Terminal คือผ่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินนี้ แล้วพอถึงอเมริกาคือไปต่อได้เลย ไม่ผ่าน ตม. อีก คือมันเปิดโลกผมมาก ก็ตั้ง ตม. ไว้ที่เมืองนอกไปเลยสิ
- ที่บอกว่าเขาซีเรียสเรื่องทิปคือเรื่องจริง! โดยเฉพาะที่ Quebec City ผมเข้าร้านอาหารอิตาเลียนซึ่งราคาแพง เลยทิปไป 10% เพราะเห็นว่าราคาอาหารแรงแล้ว (ที่จริงการบริการก็ไม่ดีเท่าไหร่ด้วย) พอจ่ายเสร็จพนักงานก็กระซิบบอกว่าทิปขั้นต่ำของเมืองนี้คือ 15% นะ ซึ่งผมงงมากว่าทำอย่างนี้ได้เลยหรอ เลยได้รู้ว่าบางร้านเขาจริงจังเรื่องนี้พอสมควร
- ขนม Beaver tails คือความดีงาม ต้องกินให้ได้ เป็นแป้งทอดทรงแบนๆคล้ายหางของบีเวอร์ เหนียว นุ่ม หอมหวาน
- น้ำเชื่อมเมเปิลมีขายทั่วไปทั้งตามร้านค้าและร้านของฝาก มีให้เลือกหลายรูปแบบ หลายขนาด ถูกบ้าง แพงบ้าง ผมซื้อขวดเล็กๆมาเป็นของฝากให้เพื่อน เพราะส่วนตัวก็ไม่กินอยู่แล้ว
จบแล้วกับการบอกเล่าสิ่งที่ผมได้เห็น ชิม สัมผัส กับเรียนรู้ที่แคนาดาในทริปฤดูร้อนปี 2023 ผมมองว่าแม้จะอยู่ติดกับอเมริกาแต่แคนาดาไม่เหมือนอเมริกาซะทีเดียว ผมประทับใจในความสะดวกสบายที่ Ottawa มาก จนขนาดกลับมาแล้วก็คิดถึงอยู่นาน แคนาดาก็เป็นประเทศที่ใหญ่ มีอีกหลายเมืองที่น่าไปเยี่ยมชม แถมยังมีครบทั้งเมืองและธรรมชาติ หากเพื่อนๆที่ยังลังเลอยู่ว่าจะไปแคนาดาดีไหม แนะนำให้ไปเลยครับ เพื่อนๆอาจจะประทับใจเหมือนผมก็ได้ ผมขอจบทริปแคนาดาไว้เท่านี้ก่อน เพื่อนๆท่านใดมีข้อสงสัยหรือความคิดเห็นอย่างไรก็เชิญร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ ไปแล้วคร้าบ
ทัศนศึกษาที่แคนาดา (Ottawa, Quebec City) เรียนรู้แง่มุมต่างๆของแดนน้ำเชื่อมเมเปิลผ่านการท่องเที่ยวในปี 2023
1. การเข้าประเทศ
โดยปกติแล้วเมื่อก่อนคนไทยต้องขอวิซ่าเพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศแคนาดา แต่ช่วงกลางปี 2023 ก็ได้มีหลักเกณฑ์ใหม่คือคนไทยที่เคยมีวิซ่าแคนาดาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กับคนทีกำลังถือวิซ่าชั่วคราวของอเมริกา เช่น ท่องเที่ยว นักเรียน ทำงาน สามารถขอ ETA เพื่อเดินทางเข้าแคนาดาได้เลย แต่ได้แค่บินเข้าเท่านั้นนะ ถ้าเราจะนั่งเรือ รถไฟ รถยนต์ เข้าไปยังต้องขอวิซ่าของแคนาดาเหมือนเดิม
2. เงินตรา
- แคนาคาใช้เงินสกุลแคเนเดียนดอลลาร์ (CAD) ซึ่งตอนนั้น 1 CAD จะประมาณ 0.7 USD หรือ 25 บาท
- การใช้จ่ายทั้งหมดจะสามารถใช้บัตรแตะจ่ายเหมือนที่อเมริกาได้เลย แทบไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งสะดวกมากเพราะเราก็ใช้ travel card ได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องแลกเงิน
3. ค่าครองชีพ
- โดยทั่วไปสมเหตุสมผล เหมือนใช้อัตราการกำหนดราคาเหมือนที่อเมริกา ดังนั้นราคาสินค้าและบริการจะถูกกว่า 30% ตามค่าเงิน เช่น ค่าตัดผมที่อเมริกาจะ 40 USD แต่ที่แคนาดาจะประมาณ 30 USD ซึ่งแพงมากอยู่ดี (จำได้ว่าผมใช้ส่วนลดนักเรียน ซึ่งใช้ได้ด้วยขนาดเราไม่ได้เรียนที่แคนาดา 5555) แต่ต้องชมว่าช่างที่แคนาดาตัดผมได้สวย เนี้ยบ สมราคาจริงๆ ส่วนค่าอาหารคิดแล้วก็จานละ 7-9 USD (11-15 CAD) ซึ่งถูกถ้าเทียบกับที่อเมริกา
- ที่แคนาดามี tipping culture นะคร้าบ และยึดติดมากด้วย ดังนั้นเวลาใช้บริการใดๆเค้าจะคาดหวังทิปประมาณ 15% จากเรา แนะนำว่าควรให้ ถึงแม้เราจะไม่คุ้นเคยหรือไม่ประทับใจการบริการก็ตาม 5555
4. อาหาร
- อาหารการกินจะแล้วแต่เมือง ที่ Ottawa จะหากินง่ายมากก มีทุกชาติ ไทย จีน เวียดนาม และด้วยราคาที่ถูกกับรสชาติอร่อยๆ ทำให้เราสนุกกินไม่หยุด แต่ที่ Quebeq City จะไม่ค่อยมีอาหารเอเชีย มีแต่อาหารฝรั่ง พวกฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน ซึ่งไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่
- การเดิน ทั้งสองเมืองที่ผมไปสามารถเดินได้ เดินสนุก ทางเท้าดี แต่บางทีก็ต้องเดินขึ้นๆลงๆเนิน เพราะเป็นเมืองที่ตั้งริมแม่น้ำ อยู่บนหน้าผา
- รถบัส ที่ Ottawa การเดินทางสะดวกทีเดียว มีรถบัสครอบคลุม วิ่งถี่ ป้ายกับเสียงประกาศชัดเจน รถบัสที่นี่จะเป็นแบบเดียวกับที่ลอนดอนเลย เป็นสีแดง สองชั้น แต่ๆๆ ขับรถซิ่งมาก เหมือนรีบทำรอบ แซงหมดไม่สนคันไหน เป็นสิ่งที่ทำผมอึ้งไปเลย ส่วนที่ Quebeq City ไม่มีรถวิ่งในเขตเมืองเก่า ต้องออกจากกำแพงเมืองมา จึงจะมีรถบัส
- รถไฟ แคนาดาจะมีรถไฟระหว่างเมืองที่เรียกว่า Via train วิ่งทั่วประเทศ รถไฟก็มีการแบ่งชั้น ชั้น 1 ชั้นปกติ ราคาก็โอเคนะ จาก Ottawa ไป Quebeq City 60 CAD มั้ง จำไม่ได้เหมือนกัน สามารถเอาของกินขึ้นไปได้ แล้วก็มีบริการขายข้างบน
- รถบัสใน Ottawa จะมีบัตรให้ใช้แตะ เติมเงินเข้าบัตรแล้วใช้ได้เลย แต่ที่ Quebeq City จะใช้แอพ โหลดแอพ เติมเงิน แล้วสแกนขึ้นรถ สะดวกมากๆ
แคนาดาเหมือนเป็นจุดนัดพบระหว่างยุคสมัยเก่ากับสมัยใหม่ ยุโรปกับอเมริกา คือมีทั้งเมืองเก่ากับเมืองใหม่อยู่ด้วยกัน
พบว่าผู้คนไม่หลากหลายเท่าอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นคนขาว รองลงมาเป็นเอเชียน คนที่นี่ก็ใจดี เป็นมิตรนะ แต่รู้สึกยังมีความเงียบ ไม่ขี้เล่นเท่าคนอเมริกัน โดยรวมก็ปกติ ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร ส่วนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนขาว มาจากยุโรปกัน นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นยังไม่ค่อยเจอ
- คนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้นสบายใจหายห่วง
- ภูมิภาคที่ผมไปจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาประจำรัฐ ป้ายทุกป้ายจะมีภาษาฝรั่งเศสกำกับด้วย แม้ว่าหน้าเราจะเอเชียมาเลย แต่ภาษาแรกที่เขาคุยกับเราคือภาษาฝรั่งเศส! ประมาณว่าคุณพูดฝรั่งเศสไหม นี่ต้องคอยบอกว่า English please ตลอด ก็น่าจะเป็นที่มาว่าทำไมคนยุโรปมาเยอะ แน่นอนว่าโดยเฉพาะคนฝรั่งเศส เดินๆอยู่ในเมืองนึกว่าตัวเองอยู่ฝรั่งเศส 5555
ช่วงที่ผมไปเป็นกลางหน้าร้อนเลย อากาศก็เย็นสบายนะ ไม่ได้ร้อนมาก มีแดดเป็นส่วนใหญ่ ฟ้าครึ้มบ้าง ฝนตกนิดหน่อย แต่ช่วงฝนตกนี่แหละ หนาวมาก
- ห้างสรรพสินค้าพบได้บ้าง ขายสินค้าทั่วไป เสื้อผ้า ของกินเล่น เครื่องสำอาง
- ซุปเปอร์มาเก็ตมีของขายเยอะ ที่ผมไปเจอมาเป็นซุปเปอร์เล็กๆ แต่ของครบ ราคาดี สามารถไปซื้อของมาเก็บไว้กินที่โรงแรมได้
- ที่บอกว่าเขาซีเรียสเรื่องทิปคือเรื่องจริง! โดยเฉพาะที่ Quebec City ผมเข้าร้านอาหารอิตาเลียนซึ่งราคาแพง เลยทิปไป 10% เพราะเห็นว่าราคาอาหารแรงแล้ว (ที่จริงการบริการก็ไม่ดีเท่าไหร่ด้วย) พอจ่ายเสร็จพนักงานก็กระซิบบอกว่าทิปขั้นต่ำของเมืองนี้คือ 15% นะ ซึ่งผมงงมากว่าทำอย่างนี้ได้เลยหรอ เลยได้รู้ว่าบางร้านเขาจริงจังเรื่องนี้พอสมควร
- ขนม Beaver tails คือความดีงาม ต้องกินให้ได้ เป็นแป้งทอดทรงแบนๆคล้ายหางของบีเวอร์ เหนียว นุ่ม หอมหวาน