เหตุผลในการซื้อรถมอเตอร์ไซค์ซีซีสูง ๆ คืออะไร ไม่อยากใช้อารมณ์มาตัดสินแล้ว

ผมเข้าสู่วงการบิ๊กไบค์สมัยที่คาวาซากิเริ่มผลิต Ninja 650 ปี 2012 ผมไปซื้อมือสองในสมัยนั้นราคา 235,000 บาท ราคามือหนึ่งตอนนั้นอยู่ที่ 255,000 (อาจจะจำผิด ขอภัย) ตอนนั้นไมล์อยู่ที่สามพันกว่า แล้วถ้ารอมือหนึ่งก็อีกหลายเดือนกว่าจะได้รถ เพราะสมัยนั้นกับรุ่นนี้ยอดจองถล่มทลาย พอซื้อมาได้ก็ขับขี่ท่องเที่ยวใกล้ ๆ บ้าน ขี่ไปทำงานบ้าง ไม่ได้ออกทริปหรือใช้ความเร็วสูงสุดตามสมรรถนะของรถเลย แต่ก็ยังใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป ตอนนั้นรู้สึกว่ามันโดดเด่นมากเพราะรถใหญ่ยังไม่ค่อยมีใครขี่กัน รู้สึกคุ้มค่ามากกับรถใช้งานทั่วไปราคา 235,000 บาท แม้ว่าจะขี่แค่ในเมือง ตอนนั้นค่าน้ำมันก็น่าจะตกกิโลละหนึ่งบาท ก็ยอมควักกระเป๋าเงินจ่ายไปไม่บ่นอะไร จนกระทั่งผ่านไป 7  เดือน ผมไปขี่จักรยานล้มแล้วกระดูกไหปลาร้าหัก จึงประกาศขายรถคันนี้ไป ขายได้ราคา 220,000 บาท รู้สึกใจหายเล็กน้อย แต่เพราะคิดว่าคงจะขี่คันนี้ไม่ได้อีกหลายเดือน

เหมือนโชคดี พอขายรถไปได้ไม่นาน กระแสรถเริ่มตก ราคามือสองร่วง ถ้าประกาศขายตอนนี้เงินก็หายไปอีก 2-3 หมื่น คิดย้อนกลับไปว่าเหมือนได้เช่ารถขี่ 7  เดือนในราคาแค่ 15,000  บาท คุ้มมาก ๆ ช่วงเวลานี้ก็ไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์เลย พอกระดูกไหปลาร้าต่อกันหายสนิท ก็ใช้รถเล็กทั่วไปในชีวิตประจำวันแทน ไม่หวนคืนสู่วงการบิ๊กไบค์อีกต่อไปเลย จนกระทั่งปี 2014  ฮอนด้าออก Cbr 650  สี่สูบในราคาสองแสนกว่า ๆ ผมก็เริ่มหาข้อมูลดูรีวิวการใช้งาน ดูแล้วทรงมันโฉบเฉี่ยวสี่สูบเสียงเครื่องยนต์คงจะไพเราะมาก ความรู้สึกในตอนนั้นคือใครจะขี่สี่สูบได้นี่ต้องมี 4-5  แสนสำหรับรถทะเบียน หรือต้องไปเล่นรถมือสองไม่มีทะเบียนซึ่งผมไม่ถนัด อารมณ์และกิเลสกระฉูดขึ้นอีกครั้งว่าต้องออกแน่ ๆ ต้องเอาแน่ ๆ  แต่สถานการณ์ตอนจะซื้อนินจากับซีบีอาร์ต่างกันคือ ตอนจะซื้อนินจาคือมีเงินสด ในตอนนั้นเปิดดูประกาศขายรถเห็นไมล์น้อยและคนขายอยู่ใกล้ ๆ บ้าน ก็หน้ามืดถือเงินสดไปซื้อเลย แต่ตอนจะซื้อซีบีอาร์ไม่มีเงินสด ต้องคิดนานหน่อย คิดไปคิดมาทำให้นึกถึงตอนขี่นินจาว่าต้องเจออะไรบ้าง ค่าน้ำมันปีนี้แพงขึ้นด้วย สี่สูบกินน้ำมันมากกว่าสองสูบ ดีไม่ดีอัตราการบริโภคน้ำมันอาจจะตกโลละสองบาทเลยก็เป็นได้ 

คิดถึงว่าผมเป็นคนไม่ออกทริป ไม่ขี่ไปไหนไกล ไม่ใช้ความเร็ว ใช้สมรรถนะไม่คุ้ม ถ้าผ่อนต่อเดือนก็เพิ่มค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องเหนื่อยเจียดเงินเดือนเพื่อมาผ่อนรถ โดยที่รถไม่ได้ใช้งานเลย หรือแค่ขี่ในเมืองไปนู่นมานี่ก็มีค่าใช้จ่ายต่อวันที่เกือบสองร้อยบาทแล้ว ถ้ารวมค่าผ่อนรายเดือนค่าน้ำมัน และอีกสิ่งหนี่งที่ผมยังไม่เคยเจอคือค่าเซอร์วิส ตอนขี่นินจาคือขายรถก่อนที่จะถึงรอบเข้าศูนย์ แล้วค่าเซอร์วิสและละรอบที่ศึกษามาก็หลายตังค์อยู่ แล้วพอไปดูกระทู้คนที่ขับบิ๊กไบค์อีกรุ่นนึงในสมัยนั้นคือ Ducati 795 มีคนพูดไว้ว่าหากใครขี่ดูคาติไปล้มไปชนมานี่ชีวิตเปลี่ยนเลย ล้มมาทีนึงค่าเปลี่ยนแฟริ่งต้องมีแสน แล้วคนที่เล่นรถคลาสแถว ๆ นี้คงไม่ใช้พวกมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นที่อยากจะอัพเกรดตัวเอง ออกรถมาก็มีพอจ่ายค่ารถค่าอยู่ค่ากินเดือนต่อเดือนไป หากเจอค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดแบบนี้ต้องมีผลกระทบแน่ ๆ แม้จะเป็นแค่ฮอนด้า ซีบีอาร์ 650 แต่ค่าอะไหล่ค่าซ่อมก็คงไม่หนีกันมากมั้ง 

เวลาผ่านไปจนถึงปี 2016  ก่อนหน้านี้ผมก็แวะ ๆ เวียน ๆ เข้าไปดูมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ๆ อยู่เป็นประจำ เห็นรุ่นนั้นรุ่นนี้ออกมาก็เริ่มรู้สึกว่าไม่คลิ๊ก ยี่ห้อจีนมาก็ไม่ไว้ใจ ไม่น่าเล่น รถทรงครุยเซอร์ก็ดูดีแต่ดูแล้วเทอะทะไม่ปราดเปรียว รถวิบากก็ไม่ใช่แนว สปอร์ต ทัวริ่ง ก็คิดว่าไม่ได้ไปไหนไกลแน่ ดูไปดูมาผมก็ไปเจอเจ้า Suzuki Vanvan 125 ซึ่งมีคนเล่นกลุ่มเล็ก ๆ มาสองสามปีแล้ว ผมก็เข้าไปดูไปอ่านรีวิว คนก็บ่นว่ารถคันใหญ่ ล้อใหญ่ แต่ให้มาแค่ 125 cc  มันจะไปพออะไร ผมดูทรงแล้วก็แปลกหูแปลกตาดี แต่สีของตัว 125 มันดูไม่สดใสไม่เร้าใจ และเหมือนจังหวะเวลาที่ทำให้ผมต้องควักเงิน หลังจากที่เพิ่งมารู้จักเจ้า แวนแวน 125  ได้ไม่นาน มีข่าวว่า Suzuki กำลังจะเปิดตัว Suzuki Vanvan 200  ออกมา ผมเฝ้าติดตามอย่างกระชั้นชิด เปิดเว็บดูทุกวันว่ามันจะมาหรือยังนะ ถ้า 200 cc คงจะแบกตัวรถและล้อใหญ่ให้ไม่อืดจนเกินไป จนเมื่อเห็นสีของตัว 200 ที่เป็นสีน้ำเงิน Blue Sky ผมตัดสินใจทันทีเลยว่าต้องเอามาครอบครองให้ได้ ตอนนั้นมีเงินสดในมือพอดี หากซื้อก็มีเงินพอเหลือไม่ตึงมือหรือกระทบอะไร ผมเฝ้ารอให้ศูนย์ Suzuki ใกล้บ้านเปิดในวันทำการถัดไป พอเข้าไปเห็นไปดูงานประกอบที่ Made in Japan ในตอนนั้นผมรู้สึกว่านี่หรือคืองานประกอบนอก มันช่างเนียนกริ๊บ สายไฟก็เก็บเรียบร้อย สีฟ้าดูสดใสบ่งบอกถึงแบรนด์ Suzuki  อย่างแท้จริง ผมวางเงินจองห้าพันบาทและนัดรับรถในวันถัดไป ราคาแวนแวน 200 ในตอนนั้นคือ 129,000 บาท แต่ผมซื้อศูนย์ต่างจังหวัดเลยโดนบวกไป 2,000 บาท

การเจอของที่ถูกใจจนต้องควักเงินซื้อโดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุการณ์รอบตัวนั้นเกิดขึ้นได้จริง ความจริงแล้วแฟนผมเพิ่งคลอดลูกเล็ก ตามหลักการแล้วควรเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น แต่ผมก็ลดเสปคของกิเลสลงมาเยอะ จากบิ๊กไบค์คันละเกือบสามแสน ลงมาเหลือแสนสามก็ฟังดูดีเมื่อคิดถึงข้อนี้ พอซื้อมาปุ๊บก็ได้แค่ขี่ใกล้ ๆ ไม่ได้ไปไหนไกลเพราะต้องดูแลครอบครัว ไป ๆ มา ๆ จำนวนวันที่รถจอดก็มากกว่าขี่ เข็มไมล์รถไม่กระดิก ผมเดินผ่านรถก็ได้แต่ถอนหายใจว่าจะรีบออกมาทำไมนะ ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเอาไว้ขี่ไปเซเว่นบ้าง ขี่ไปธุระใกล้ ๆ บ้าง ให้พอได้ใช้งาน สถานะภาพของผมในตอนนั้นก็ไม่ได้ทำงานแล้วครับเพราะว่ามาดูแลกิจการบ้านเช่าแทนพ่อที่เพิ่งเสียไป ทำให้มีเวลาว่างเยอะ จนมาวันหนึ่งมีลูกบ้านคนหนึ่งแนะนำให้ผมไปขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่งอาหาร ผมก็ลองศึกษาดูว่าระบบมันเป็นอย่างไร และเมื่อผมสมัครในระบบของ Grab เรียบร้อยหมดแล้ว ผมก็ใช้เจ้าแวนแวนทำงานหาเงินทันที ตามกระทู้ข้างล่างนี้ครับ

https://ppantip.com/topic/39860184

การใช้แวนแวนวิ่งรถส่งอาหารได้ประโยชน์สองต่อ ต่อแรกคือหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ในปีแรก ๆ ที่แกร๊บเปิดระบบการส่งอาหาร เหมือนว่าบริษัทต้องการเรียกให้คนมาขับเยอะ ๆ มีการอัดโปรโมชั่นมาให้ทั้งคนส่งอาหารและลูกค้า นั่นทำให้รายได้จากการส่งอาหารต่อวันที่ผมทำได้ก็หลักพันต่อวัน คำสั่งซื้อเริ่มต้นผมก็ได้ค่าส่งแล้ว 50 บาท บางงานใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ 50 บาท ไปส่งไกลหน่อยก็หลักร้อย ทำงานแปร๊บเดียวก็ได้พันแล้วครับ และประโยชน์ข้อที่สองคือผมได้ใช้รถ ได้สตาร์ทรถออกบ้านและได้ขี่ในเมืองนอกเมืองเหมือนได้ออกทริป เวลาขี่ไปส่งบ้านลูกค้าไกล ๆ ก็ขี่สบายเพราะทรงรถมันทำให้ขีสนุก 200 cc ก็พอเพียงกับการขี่ในเมืองกับนอกเมืองไม่ไกลมาก เข้าโค้งทีนี่อย่างมันส์ พูดตรง ๆ ว่าเวลานั้นเราขี่คันนี้ไปรับอาหารที่มีไรเดอร์อยู่รวมกันคงจะโดนหมั่นไส้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมยอมรับว่าในช่วงเวลาที่ใช้แวนแวน 200  ขี่ส่งอาหารนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก อยากออกไปทำงานทุกวัน ไม่ถูกมองจากคนในครอบครัวว่าออกไปขี่รถเล่นไร้สาระ เวลาต่อมาแกร๊บเริ่มปรับลดค่ารอบลงมาเหลือ 40 บาท แต่ผมก็ยังมองว่าคุ้มอยู่ที่จะวิ่ง ต่อมาลดลงเหลือ 28 บาทก็ยังวิ่ง จนกระทั่งลดลงมาเหลือ 21 บาทก็ยังพอวิ่งได้ไม่ขาดทุนอะไรมาก ก็ทำต่อไป ต่อมาระบบแกร๊บเริ่มบังคับให้รับงานพ่วงแล้ว คือต้องรับสองร้านแล้วไปส่งลูกค้าสองคน ผมเริ่มลำบากใจ ก็พยายามไม่รับงานพ่วง แกร๊บเริ่มมีเงื่อนไขเยอะแยะจนผมเริ่มรำคาญแล้ว และในปี 2565 หรือ ค.ศ. 2022 รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน Neta V กำลังจะมาเปิดตัว ผมดูราคาคาดการณ์แล้วก็ไม่แพงถ้าเทียบกับรถยนต์ทั่วไปในสมัยนั้น แล้วยิ่งรถไฟฟ้าด้วยมีการโฆษณาว่าจะประหยัดกว่าน้ำมันเยอะหลายเท่าตัว ผมก็เริ่มคิดว่าถ้าเอามาขับ Grab Car ก็น่าจะดี ผมเลยไปจองเนต้าวี และประกาศขายแวนแวน 200 ออกไปทันที

หลังจากประกาศขายแวนแวนได้ไม่นานก็มีคนมาซื้อต่อไปในราคาหกหมื่นกว่าบาท ผมถือว่าเจ้าแวนแวนนี่น่าจะทำให้เงินผมได้น่าจะล้านกว่าบาทแล้วนะครับ ทำเป็นเล่นไป ใช้เจ้านี่ส่งอาหารมา 5 ปี สมมุติเฉลี่ยเดือนละสองหมื่นบาท ก็ 20,000 * 12 * 5 = 1,200,000 บาท ผมว่าแวนแวนให้ทั้งรายได้และความสนุกสนานในการขับขี่คุ้มค่ามากที่สุดแล้วที่รถคันหนึ่งจะให้กับผมได้ครับ ตอนมีคนมารับไปเราก็ใจหาย แต่พอคิดถึงว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปดาวน์รถยนต์ไฟฟ้ามาทำงานหาเงินต่อ ก็พอทำให้ตัดใจได้อย่างไม่ยากลำบากจนเกินไปครับ 

เพราะว่าประกาศขายแวนแวนเร็วไป ทำให้ช่วงเวลารอรถยนต์มีช่องว่างเยอะ รถยนต์ส่งมอบช้าเพราะคนแห่ซื้อเยอะ ผมก็ไปออก Suzuki Raider J Crossover มาใช้งานส่งอาหารไปก่อน ซึ่งเจครอสพอได้ลองขี่จริง ๆ กลับกลายเป็นว่าเป็นรถที่ขี่ง่ายและขี่สนุกพอ ๆ กับแวนแวน 200  เลยครับ ไม่น่าเชื่อว่ารถคนละคลาสกันแต่ให้ความพึงพอใจใกล้เคียงกัน ฟิลลิ่งรู้สึกเบาสบายแรงบิดพอ ๆ กันเพราะเจครอสคันเล็กแม้ซีซีจะน้อยแต่ก็พุ่งระดับหนึ่ง แวนแวน 200 ค่อนข้างเทอะทะพลิกรถยาก เจครอสขี่ทางไกลก็ยังรู้สึกนิ่ง เข้าโค้งวิ่งซ่อกแซ่กก็ยังดูมั่นคง และแน่นอนว่าใครก็ตามที่ขี่ซู คนคนนั้นจะเป็นคนที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะรถพวกกลุ่มเฉพาะ ผมขี่เจครอสไปจอดกลางดงไรเดอร์ก็มีแต่คนมองไม่ต่างกันกับตอนขี่แวนแวน และเมื่อผมได้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วผมจะส่งมองเจ้าเจครอสไปให้แม่ของผมใช้ต่อ เพราะ PCX รุ่นแรกที่แม่ผมใช้อยู่มันก็เสื่อมลงไปตามกาลเวลาแล้วจึงขายคันนี้ไปแล้วให้แม่ใช้เจครอสแทน แล้วแม่ผมก็ชอบมาเล่าให้ฟังว่าเวลาขี่เจครอสไปจอดติดไฟแดงที่ไหนก็จะมีแต่คนทักว่าซื้อที่ไหน รถแต่งหรือเปล่า แม่ก็บอกว่าเป็นรถของลูกชาย ดูตอนนี้แม่ของผมกลายเป็นป้าซิ่งไปเลยครับ

และในตอนนี้ผมก็ทำงานใช้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งขับแกร๊บ และออกรถยนตไฟฟ้ามาอีกคันให้แฟนมาขับด้วย ทำให้ตอนนี้ไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์เลยครับ ใจหนึ่งก็อยากขี่อยู่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้มอเตอร์ไซค์เอามาวิ่งงานเริ่มไม่ค่อยคุ้มแล้วครับ ค่ารอบต่ำลง ค่าน้ำมันแพงขึ้น ขนาดใช้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งงานเฉลี่ยแล้วยังแค่พอประครองตัวไปได้ เพราะค่ารอบรถยนต์ก็เริ่มถูกปรับลดลงมาเยอะ ลูกค้าได้ประโยชน์เต็ม ๆ คนขับก็ไม่อู้ฟู่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็คงต้องทำไปเรื่อย ๆ ครับ ทุกวันนี้ผมก็เข้าไปดูรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ๆ ที่ทะยอยเปิดตัว รถจีนก็ดูมีมาตรฐานน่าเล่น ราคารถต่อซีซีก็ถูกลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ มีมอเตอร์ไซค์แนวแปลก ๆ แตกไลน์หลายรุ่นไม่ซ้ำใคร แต่มอเตอร์ไซค์ทรงใหม่ ๆ หรือกึ่งเก่ากึ่งใหม่ก็ไม่โดนใจผมเลยครับ ที่โดนใจผมก็มี Kawasak W 250, 800 ที่ผมเห็นแล้วชอบมาก แต่ 800 ซีซีก็เยอะไป ค่าตัวค่าบำรุงค่าซ่อมไม่ไหวแน่ 250 ก็ Made in Japan ราคาแรงอีก จะไปเอา W 175 ก็เล็กไป ผมว่า 175 เก็บไว้มูลค่าคงลงเยอะแน่ ๆ ดูแล้วไม่น่าเล่น

แล้วก็เริ่มมีข่าว Kawasaki w 230 ผมนี่หูผึ่งเลย เข้าไปเก็บข้อมูลในเว็บในยูทูปแทบจะทุกคลิปที่มีการพูดถึงเจ้า w 230 ผมคิดว่ารถคันนี้มันเกิดมาเพื่อผม หรืออาจจะเป็นผมเองก็ได้ที่เกิดมาเพื่อมัน ทรง Classic ไม่ใช่ Neo Classic หรือ Modern Classic ไฟหน้ากลม กระจกมองหลังทรงกลม ท่อทรงคลาสสิกจริง ๆ ล้อซี่ลวด ล้อมียางในให้ความรู้สึกการขับขี่นุ่นนวลกว่า เรือนไมล์ทรงกลมคู่ ไม่ต้องมีเกจ์น้ำมัน ไม่ต้องมีไฟบอกเกียร์ ไม่ต้องมีระบบช่วยขับอะไรทั้งนั้น มีเบรก ABS ท๊อปสปีดไม่เกิน 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรับได้ เพราะกะว่าจะขับที่ 80 พอแล้ว ตอนขี่แวนแวนก็ไม่เคยเกิน 80 แรงต้นกับกลางดี อันนี้ชอบ เห็นรีวิวว่ารถไม่สั่น ถึงขนาดที่ไม่ต้องใส่ตุ้มปลายแฮน รถก็ไม่สั่น เสียงท่อไม่ดัง รถน้ำหนักเบา ดูแล้วคงประหยัดน้ำมัน ค่าบำรุง ค่าซ่อมคงไม่แพงมากเพราะผลิตในไทย งานประกอบดีมาก

ตอนนี้ผมรู้สึกดีใจที่เจอรถที่ใช่ แต่ความหนักใจก็ตามมาคือว่า ผมจะใช้อะไรตัดสินใจดีระหว่างอารมณ์หรือเหตุผลในการไปซื้อเจ้า w 230 หากใช้อารมณ์ผมก็เข้าไปดูรถที่ศูนย์เลย และคงโดนสะกดจิตจากเซลให้จองได้ภายในวันนั้นเลย (ซึ่งตอนนี้ผมไม่กล้าเข้าไปดูตัวจริงของรถ กลัวห้ามใจไม่ได้) หรือผมต้องหาเหตุผลมารองรับก่อนที่จะซื้อ คงหมดยุคที่จะใช้มอเตอร์ไซค์ทำเงินล้านแล้ว ซื้อมาก็ต้องหาเวลาไปขี่เที่ยวเล่นไร้สาระ เป็นภาระให้ครอบครัวอีก หนักใจจริง ๆ เลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่