แบบว่า..บอกย้อนหลัง

11 ตุลาคม วันใช้เวลาทั้งคืนอยู่นอกบ้าน (Shine a Light Night หรือ Sleep Out)
หลายคนอาจจะแปลกใจว่ามีวันแบบนี้ด้วยหรือ อันที่จริงวันแบบนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ดี ด้วยที่ว่า เป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงคนไร้บ้าน เพราะยังมีคนอีกมากมายที่ไม่มีบ้านอันอบอุ่นได้อยู่อาศัย ไม่มีที่พักพิง ไม่มีที่พึ่งหากเมื่อเวลาที่ต้องการใครสักคน

งาน Shine A Light จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะจัดในช่วงวันศุกร์ระหว่างเดือนตุลาคม และจะเลือกใช้สถานที่แตกต่างกันออกไป โดยในปีนี้จะมีกิจกรรมหลักๆ ที่ Crescent Shopping Centre ในส่วนที่จอดรถ และมีการไลน์เพื่อให้ผู้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมได้สัมผัสถึงสิ่งที่กำลังสื่อสารออกไป

Shine a Light Night ชาวไอร์แลนด์ในหลายๆ คนจะใช้เวลาทั้งคืนในวันนี้ห่างจากความปลอดภัย และความสบายบนเตียงนอนของตนเอง และยังถือเป็นการสร้างการระดมทุนเพื่อสวัสดิการของคนไร้บ้านของ Focus Ireland (องค์กรระดับชาติที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านในไอร์แลนด์) ที่ได้ริเริ่มวันแบบนี้ด้วย ซึ่งเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012

: จากตัวเลขที่มีการสำรวจทั่วโลกตามรายงานของ The Homeless World Cup ว่ามีผู้คนราว  150 ล้านคน เป็นคนไร้บ้าน ซึ่งตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี และอีกราว 1,600 ล้านคน อาศัยอยู่ในที่พักพิงที่ไม่มีเพียงพอต่อปัจจัยพื้นฐาน

องค์กร Focus Ireland จัดกิจกรรมนี้ขึ้นทุกปีเพื่อต่อต้านปัญหาคนไร้บ้านทั่วประเทศของเขา และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนให้ออกมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (ไม่ว่าประเทศไหนก็มีคนไร้บ้านทั้งนั้น และการไร้บ้านก็มีหลากหลายสาเหตุ ยิ่งหลังผ่านช่วงเวลาโควิทมา กับยิ่งมีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น)

องค์กร Focus ได้มีการสัมภาษณ์เด็กคนนึง "ซึ่งอ่านแล้วก็สลดใจ" ไว้และนำเอาความรู้สึกของการไร้บ้านให้ผู้คนได้เข้าใจ เธอชื่อโคลอี อายุ 14 ปี ทุกวันหลังเลิกเรียน ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นกำลังกลับบ้าน เธอจะไปที่ศูนย์การค้า แล้วรออยู่จนกว่าแน่ใจแล้วว่าเพื่อนๆ จะกลับบ้านหมดทุกคนแล้ว เธอทำแบบนี้ เพื่อไม่ให้มีใครเห็นเธอในขณะที่เธอจะเดินเข้าไปที่พักที่สถานที่พักฉุกเฉิน  ที่โคลอีและครอบครัวอาศัยอยู่มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว จากที่ครอบครัวของเธอถูกบังคับให้ต้องไร้บ้าน เมื่อเจ้าของบ้านเช่าประกาศขายบ้าน และครอบครัวเธอนั้นไม่มีเงินเพียงพอจะไปเช่าบ้านในที่อื่น

เธอเขียนถึงวิธีรับมือกับความเครียดไว้ว่า การมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การปกปิดสถานะไร้บ้านของเธอ เธอแยกตัวเองออกจากเพื่อนๆ หาข้อแก้ตัวว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถออกไปเที่ยวด้วยกันได้ โซเชียลมีเดียและแม้แต่โทรศัพท์ของเธอกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวไปแล้ว

.
กล่าวถึงเรื่องราวในประเทศไอร์แลนด์ที่น่าประทับใจนี้แล้ว ซึ่งประเทศนี้มีตำนานและเรื่องเล่าต่างๆ ที่น่าสนใจอยู่มาก จะขอหยิบยกมา 1 เรื่องอย่าง เรื่องลูกกษัตริย์ลีร์ (The Children of Lir)

.
เมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรไอร์แลนด์ มีกษัตริย์ไอริชพระองค์หนึ่ง นามว่า "ลีร์" พระองค์ทรงได้สูญเสียพระราชีนีไปในขณะที่เหล่าลูกๆ ของพระองค์ทั้ง 4 ยังเล็กอยู่ แต่อาณาจักรนั้นไม่อาจสูญสิ้นราชินีได้ กษัตริย์จึงได้ทรงแต่งงานใหม่

พระราชินีองค์ใหม่เป็นผู้หญิงที่หมายปองบัลลังก์มาโดยตลอด
พระองค์ทรงมีนิสัยเจ้าเล่ห์ ทั้งยังช่ำชองในการใช้เวทมนตร์

พระราชินีได้มองว่าลูกๆของพระองค์ทั้ง 4 ที่เกิดจากพระราชินีองค์ก่อนนั้นเป็นภัยต่อแผนการของเธอ จึงได้คิดแผนการขึ้นมา โดยพาเหล่าเด็กๆ ไปที่ทะเลสาบเพื่อสอนว่ายน้ำ แต่เมื่อเด็กๆ ลงไปในน้ำแล้ว ราชินีผู้ชั่วร้ายก็สาปพวกเขาให้กลายเป็นหงส์

เป็นเวลากว่า 900 ปี ลูกของกษัตริย์ลีร์ ได้ใช้ชีวิตเป็นหงส์ในตอนกลางวันมาโดยตลอด แต่สามารถแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างเท่านั้น พวกเขาอาศัยอยู่บนทะเลสาบดาวรา ทะเลมอยล์ และทะเลสาบเกาะกลอราในมายอ ก่อนที่คำสาปของพวกเขาจะถูกทำลายลงด้วยการมาถึงของศาสนาคริสต์ในไอร์แลนด์

โดยคำสาปนี้ได้ถูกทำลายลงจากที่เหล่าหงส์ทั้ง 4 ได้ยินเสียงของระฆังที่ดังออกมาจากโบสถ์ และบินลงมาดู เมื่อพวกเขาเข้าไปในโบสถ์ ขนก็ค่อยๆ หลุดออกมาจากร่างกาย จนกลับคืนเป็นมนุษย์อีกครั้ง

.
ตำนาน และนิทานพื้นบ้านมากมายของไอร์แลนด์เป็นพื้นฐานของประวัติศาสตร์ไอริชยุคแรก และยังเป็นโครงสร้างทางสังคมเกลิก (Gaelic society) อย่างไรก็ตาม ต่างจากตำนานเซลติกส่วนใหญ่ ตำนานและนิทานพื้นบ้านของไอร์แลนด์ได้ผ่านการทดสอบของเวลาและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไอริชตลอดประวัติศาสตร์

ไอร์แลนด์นั้นแบ่งตำนานออกเป็น 4 วัฏจักร ได้แก่ วัฏจักรแห่งตำนาน (the Mythological Cycle) วัฏจักรอัลสเตอร์ (the Ulster Cycle) วัฏจักรเฟเนียน (the Fenian Cycle) และวัฏจักรประวัติศาสตร์ (the Historical Cycle) ซึ่งวัฏจักรเหล่านี้กำหนดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์เข้าด้วยกัน ตั้งแต่การรุกรานไอร์แลนด์โดยชนเผ่าเซลติกต่างๆ ไปจนถึงการแบ่งประเทศออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ Ulster, Leinster, Meath, Connacht and Munster

.
ประเทศนี้มีชื่อที่หลายคนอาจจะสับสนกันอยู่บ้าง เพราะอ่านออกเสียงคล้ายกัน เรื่องราวที่กล่าวนี้อยู่ที่ประเทศ ไอร์แลนด์ (Ireland) หรือสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ประเทศเป็นเกาะ มีเมืองหลวงคือ ดับลิน (Dublin) 

ส่วน ไอซ์แลนด์ (Iceland) เป็นประเทศนอร์ติกในยุโรปเหนือตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีเมืองหลวงคือ เรคยาวิก (Reykjavík)

.
มาดูสถานที่น่าท่องเที่ยวในไอร์แลนด์กัน (Ireland)

1. Cliffs of Moher
หน้าผาโมเฮอร์ เบอร์เรน ที่สวยราวกับดวงจันทร์ และเที่ยวต่อที่เมองกัลเวย์ (Galway)

2. Giants Causeway
เส้นทางเดินที่สวยสะดุดตา และเป็นเส้นทางที่เดินไปปราสาท Dunluce และ Dark Hedges หรือทางเดินต้นบีช

3. Dunluce
ปราสาท Dunluce สร้างขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 1400 

4. Cork
เมืองคอร์ก (Cork) เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศไอร์แลนด์

5. Dublin
เมืองหลวงดับลิน



.
ปล. เนื่องจากผ่านมาหลายวันแล้ว แต่การที่เพิ่งนำมาลงวันนี้ เพราะว่า .. ลืมลงครับผม (ขออภัยครับผม) แต่อยากลงให้อ่านเพราะวันแบบนี้ ในความรู้สึกส่วนตัว ถือเป็นการรณรงค์ที่ดีในรูปแบบหนึ่ง
อมยิ้ม07
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: องค์กร Focus Ireland 
https://joinus.focusireland.ie/event/shine-a-light/home
: discoveringireland
.
On This Day

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่