[รีวิว] ธี่หยด 2 - สะสางแค้นผีชุดดำกับการอัพเกรดความเดือดเต็มระบบที่ได้ทั้งโหด มันส์ และฮา

เมื่อผู้กำกับ คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา รู้ดีว่าจุดขายของ “ธี่หยด” ภาคแรกนั้นอยู่ที่ตรงไหน บวกกับในปัจจุบันโลกโซเชียลทำให้ผู้คนสามารถสื่อสารกันได้ง่ายดาย นั่นก็ทำให้ “ฟีตแบ็ค” ของผู้ชมสามารถส่งถึงผู้สร้างได้ง่ายเช่นกัน จึงไม่แปลกถ้าภาคต่อของธี่หยด จะเป็นการเอาจุดขายเหล่านั้นมาขยายให้จัดเต็มมากขึ้น รวมถึงปรับปรุงข้อด้อยในภาคแรกจน “ธี่หยด 2” มีความสมบูรณ์และเต็มอรรถรสมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

.
ซึ่งจุดขายที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก “ยักษ์” (ณเดชน์ คูกิมิยะ) กับปืนลูกซองแฝดคู่ใจของเขา ที่ในภาคแรกผู้ชมต่างติดใจความห้าวหาญของเขากับการถือปืนคู่ใจลุยดงข้าวโพดสู้กับพี่ชุดดำแบบเดี่ยวๆ โดยไม่เกรงกลัวอำนาจของมัน แน่นอนในภาคนี้ตัวละครยักษ์ถูกอัพเกรดขึ้นมากลายเป็น “นักล่าผี” เต็มตัว พร้อมด้วยฝีปากจัดจ้านและกล้ามแน่นๆ ของเขา ที่ผู้กำกับคุ้ยไม่พลาดจะนำขึ้นจอแบบจงใจสุดๆ ซึ่งเวทีหลักในภาคนี้ ก็คือ ดงโขมด ที่เต็มไปด้วยผีและสิ่งเร้นลับแทบจะทุกย่างก้าว มันจึงเหมาะเหลือเกินที่เราจะได้เห็นว่ายักษ์พัฒนาขึ้นจากภาคแรกแค่ไหน (ระยะเวลาห่างกันประมาณ 3 ปี) แถมความเป็นสตาร์ของณเดชน์ยังฉายแสงมากกว่าเดิมกลบข้อครหาว่าเขาไม่เหมาะกับบทนี้จากภาคแรกจนเกลี้ยง

.
อีกคนที่กลายมาเป็นคู่หูของยักษ์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่าง “จ่าประพันธ์” (องอาจ เจียมเจริญพรกุล) หลายคนอาจจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวละครนี้จากภาคที่แล้ว และเหตุผลที่ผู้กำกับคุ้ยใช้เพื่อนำตัวละครนี้กลับมา ก็เรียกเสียงฮา(ลั่นโรง)ได้ไม่น้อย กลายเป็นว่านี่เป็นการเดินหมากที่ถูกต้องอีกครั้ง เพราะในขณะที่ยักษ์เป็นตัวละครที่มีจุดขายด้านรูปร่าง หน้าตา เป็นความห้าวหาญและดุดันของเรื่อง ตัวละครจ่าประพันธ์ก็กลายเป็นส่วนเสริมด้านความฮา อีกทั้งยังเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาให้ยักษ์โดยไม่ต้องทับทางกัน ซึ่งก็ชวนให้นึกถึงคู่หูนายตำรวจจาก Bad Boys ได้ไม่น้อยเลย

.
ในขณะที่จุดด้อยจากภาคแรกเรื่องการกระจายบทให้ตัวละครอื่นๆ ในครอบครัวตัวยอ ก็ถูกปรับให้ดีขึ้นเช่นกัน เพราะพี่น้องฝั่งผู้ชายคนอื่นๆ ทั้ง “ยศ” (กาจบัณฑิต ใจดี) และ “ยอด” (พีระกฤตย์ พชรบุณยเกียรติ) ต่างก็มีบทบาทมากขึ้น ไม่ได้มานั่งเหงาหลับและกลับบ้านเหมือนเดิมอีกต่อไป รวมถึงผู้เป็นพ่ออย่าง “เฮียฮั่ง” (ปรเมศร์ น้อยอ่ำ) และ “บุญเย็น” (อริศรา วงษ์ชาลี) ผู้เป็นแม่ ก็มีบทบาทมากขึ้นจนน่าพอใจเหมือนกัน ซึ่งก็นับว่าเป็นการแก้หมากได้ถูกจุดด้วย เพราะไอเดียหลักของธี่หยดทั้งสองภาค มันก็คือ การพูดถึงสายสัมพันธ์ของครอบครัว มันคงจะน่าน้อยใจถ้าตัวละครอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวหลักจะแทบไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย

.
แน่นอนว่าตัวละครที่ตกเป็นเป้าหมายของผีชุดดำ (มานิตา ชอบชื่น) ถัดจาก “แย้ม” (รัตนวดี วงศ์ทอง) ที่โดนกระทำอย่างหนักหน่วงในภาคแรก ก็คือ พี่สาวคนโตอย่าง “หยาด” (เดนิส เจลีลชา คัปปุน) และน้องคนสุดท้องของบ้าน “ยี่” (ณัฐชา นีน่า เจสซิกา พาโดวัน) ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าทั้งคู่จะมีบทบาทขึ้นจอมากกว่าคนอื่นๆ ด้านเดนิสสามารถทำได้ดีตามมาตรฐาน แต่ขอให้จับตามอง นีน่า หนูน้อยมหัศจรรย์ ที่เคยโชว์ฝีม้ายลายมือโดดเด่นกว่าใครใน “ตาคลี เจเนซิส” มาแล้ว และในธี่หยด 2 เธอก็มอบการแสดงที่น่าทึ่งเกินวัยอีกครั้ง

.
สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมานอกจากฉากแอคชั่นสะใจและเสียงปืนจากลูกซองแฝดคู่ใจของยักษ์แล้ว เห็นทีจะเป็นด้านอารมณ์ขันที่เพิ่มเข้ามาจนอีกนิดเดียวจะเปลี่ยนแนวหนังอยู่แล้ว เซนส์ความตลกของผู้กำกับคุ้ยมีชั้นเชิงอยู่พอตัวเลย มันไม่ใช่ตลกพร่ำเพรื่อแบบหนังตลก หรือตลกปูชงตบแบบคาเฟ่ แต่มันเป็นตลกที่ออกจะตลกร้ายหน่อยๆ เช่น ตัวละครที่อวดเก่งบอกว่าตัวเองเก่งอย่างนู้นอย่างนี้มักจะไปก่อนคนแรกเสมอ(แล้วก็ขยันเดินตัดกล้องเหลือเกิน) หรือคถาที่สั้นที่สุดของจ่าประพันธ์คือวิ่ง(ก่อนหน้านั้นก็ยิงมามุกนึงซึ่งฮาเหมือนกัน) แม้มันจะไม่ได้เป็นจังหวะที่แปลกใหม่อะไร แต่เมื่อมาอยู่ในช่วงหน้าสิ่งหน้าขวานมันก็ให้ผลดีเกินคาด แบบนี้แถวบ้านเรียกว่า ตลกไม่รู้เวล่ำเวลาเลย “ขมับยิ้ม!!!” เสียงจ่าประพันธ์

.
อันที่จริง ธี่หยด 2 มีความยาวเรื่องน้อยกว่าภาคแรกอยู่ประมาณ 10 นาทีด้วยกัน (ภาคแรกยาว 121 นาที) แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น คือ ธี่หยด 2 ให้ความรู้สึกเต็มอิ่มมากกว่า อัดแน่น และเหนื่อยมากกว่าภาคแรก ถ้าพูดกันตามตรงเนื้อเรื่องมันก็แทบจะไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงสองซีเควนซ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน คือ เหตุการณ์ที่ดงโขมดและโรงแรมที่จัดพิธีแต่งงาน ด้วยความที่ตัวหนังมันเข้าเรื่องเร็วบวกกับผู้กำกับคุ้ยทำตามปรัชญาเดิมจากภาคแรก คือการพาผู้ชมขึ้นไปนั่งบนรถไฟเหาะ เมื่อขึ้นแล้วจะลงไม่ได้จนกว่าจะถึงปลายทาง ฉากแต่ละฉากเลยถูกสร้างขึ้นเพื่อปล่อยความมันส์ ความระทึกมากกว่าจะเล่าเรื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ต้องชื่นชมว่าแม้จะดัดแปลงเนื้อหาจากนิยายเล่มจบ “สิ้นเสียงครวญคลั่ง” ไปเยอะมาก แต่ก็ยังไม่ทิ้งใจความสำคัญและหาทางลงได้หมดจดสิ้นเสียงกร่นด่าตามสายลม

.
แต่ก็ใช่ว่า “ธี่หยด 2” จะไร้ที่ติเลยซะทีเดียว กลับกันตัวหนังมีแผลในเรื่องของงานสร้าง (จะเห็นได้ชัดมากหากดูในโรง IMAX) แม้ว่าตามข้อมูลธี่หยด 2 ขยับทุนสร้างจาก ภาคแรกที่ 20 ล้านบาท มาเป็น 100 ล้านบาท แต่ความรู้สึกของงานสร้างมันยังไม่ “อลัง” (Epic) ในความเป็นภาพยนตร์ หมายความว่าอะไร หมายความว่า หลายๆ ฉาก มันดู “เซ็ทง่ายๆ” จนขาดความน่าเชื่อถือ เช่น ฉากในดงโขมด มันควรจะเป็นฉากที่น่าขนหัวลุก หรือเห็นแล้วก็รู้สึกว่าความตายกำลังเข้ามาใกล้ได้ทันที

.
แต่สิ่งที่ได้ คือ ประตูซุ้มเก่าๆ ที่เดินเข้าไปแล้วเหมือนมีเลือดที่เพิ่งทาไว้ประมาณ 10 นาทีที่แล้วตามโขดหินแค่นั้น หรืออย่างช่วงโรงแรมตอนท้ายเรื่องหากเปลี่ยนฉากที่หยาดจมแทงค์น้ำสีแดง(ซึ่งแทบไม่มีผลอะไรต่อเรื่อง) เป็นการเพิ่มฉากการไล่ล่าที่มีลูกเล่นมากกว่าแค่วิ่งไล่จับกันก็น่าจะดีกว่านี้มาก แต่ส่วนที่ทำดีแล้ว เช่น การแต่งหน้า หรือ ช็อต CGI จำพวกอวัยวะฉีกขาดได้ถึงใจดีนักแล ก็ถือว่าอยู่ในส่วนที่น่าชื่นชม

.
หลายๆ “ช็อต” ก็ดูเหมือนจะถ่ายง่ายๆ เข้าใจได้ว่า บางอย่างมันถ่ายไม่ได้ก็ต้องใช้มุมกล้องเลี่ยง แต่ฉากที่ไม่ให้ผ่านเลย คือ ช็อตผีชุดดำล้วงคอปอบตาพวง(ยะสะกะ ไชยสร) มันเป็นช็อตที่ดูปลอมอย่างไม่น่าให้อภัย (คิดภาพว่าถ่ายด้านข้างแล้วเอามือล้วงอากาศอยู่ข้างหลัง) ตรงนี้เสียคะแนนเยอะมาก ยังไม่นับรวมเรื่องของฉากแอคชั่นที่ดู “เขินๆ” เป็นกำแพงที่หนังไทยยังข้ามยากอยู่ หากอยากเอาดีด้านแอคชั่นแล้ว อาจจะต้องให้ดารานำออกแอคชั่นที่ “หนักแน่น” จนเข้าเส้นมากกว่านี้

.
ระบบเสียง 12 channels ของโรง IMAX (ตัวหนังทำไว้รองรับโดยเฉพาะ) มีผลในการช่วยเพิ่มอรรถรสความดุเดือดของฉากแอคชั่นได้มาก แล้วยังช่วยกลบแผลเรื่องงานสร้างได้พอสมควร ยังคิดอยู่ว่าหากเป็นโรงธรรมดาอรรถรสตรงนี้จะหายไปมากน้อยเพียงใด แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ธี่หยด 2 ทิ้งเอาไว้เป็นใบเบิกทาง ที่หลังจากนี้เราอาจจะได้เห็นภาพยนตร์จากจักรวาลนี้ออกมาอีกหลายเรื่อง กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์กระแสหลักของบ้านเราที่ฉีกแนวทางหนังผีเดิมๆ แล้วเน้นที่ความบันเทิงสาแก่ใจผู้ชมก็ได้

Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่