เวลาที่ลูกศิษย์ของสำนักพุทธวจนะท่องบทสวดไตรสรณคมณ์ ถึงท่อนที่ว่า "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" พวกคุณนึกถึงอะไร?

หรือว่า ท่องไปอย่างนั้น ไม่มีความหมาย  ไม่สนใจ  เพราะพวกลูกศิษย์สำนักนี้ไม่สนใจที่จะพึ่งปัญญาของพระอริยสงฆ์อยู่แล้ว

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ >>> แปลว่า  ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นทึ่พึ่ง (พระสงฆ์ในความหมายนี้ หมายถึง พระอริยสงฆ์ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ซึ่งรวมถึง นางขุชุตตรา ที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่มิได้บวช หรือท่านจิตตคหบดี ที่บรรลุเป็นพระอนาคามีโดยมิได้บวช แต่ทั้งสองท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเลิศทางด้านการแสดงธรรมในฝ่ายอุบาสกและอุบาสิกา)

การพึ่งพระอริยสงฆ์ของชาวพุทธ   พระพุทธเจ้าคงจะมิได้มุ่งหมายให้ชาวพุทธพึ่งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของพระอริยสงฆ์ ให้ท่านช่วยใบ้หวย บอกเลข หรือหวังให้ท่านช่วยให้ร่ำรวยๆ หรือแม้แต่จะหวังให้ท่านคุ้มครองให้ปลอดภ้ยจากภยันตราย หรืออาราธนาท่านเหล่านั้นมาประทับอยู่ตรงตำแหน่งต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่หน้าผาก ขมับ บ่า ไหล่ หน้าอก สะดือ หน้าแข้ง ฯลฯ สวดไปเพื่ออะไร? หวังพึ่งท่านในแบบนี้ก็ได้หรือ? เป็นการดึงท่านลงมาสู่เบื้องต่ำหรือเปล่า?

แต่การพึ่งพระอริยสงฆ์  ที่ถูกแล้ว ควรที่จะเป็นการพึ่งปัญญาของท่านด้วยอรรถกถาที่ท่านได้รจนาไว้ในอดีตกาลและบรรพชนสงฆ์ได้สวดท่องสืบทอดรักษากันมาเป็นพันๆ ปี

ทำไมต้องพึ่งปัญญาของท่านพระอริยสงฆ์

ลองคิดดูว่า ในชั้นเรียนของนักศึกษาปริญญาเอก ปริญญาโท ปริญญาตรี  อาจารย์ผู้สอนไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดตั้งแต่เบื้องต้น แต่สามารถชี้เข้าเป้า สอนตรงเป้าได้เลย ไม่ต้องเกริ่นมาก เพราะนักศึกษาเหล่านี้ได้สะสมปัญญาความรู้พื้นฐานตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถมต้น ประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย มาเป็นอย่างดีแล้ว มีความรู้เพียงพอ จนอาจารย์ผู้สอนไม่ต้องอธิบายยาวเลย

เหมือนอย่างเช่นในเวลาที่ท่านพระพาหิยะ ได้ฟังพระคาถาสั้นๆ จากพระพุทธเจ้า ว่า "ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

             ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ"

เพียงเท่านี้ ท่านพาหิยะซึ่งได้สะสมอบรมปัญญาความรู้ในพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาเป็นเวลานับแสนกัป ซึ่งยาวนานเหลือเกิน  จึงได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ทันทีเพียงเมื่อฟังคาถาสั้นๆ จบ

จะเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิต้องทรงเสียเวลาอธิบายให้ยืดยาวเลย

แต่กับพวกเราซึ่งไม่ได้สะสมปัญญามามากเพียงพอเหมือนอย่างท่านพาหิยะ  จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยปัญญาของอรรถกถาที่พระอริยสงฆ์ในครั้งโบราณได้ช่วยกันอรรถาธิบายด้วยจิตอนุเคราะห์เกื้อกูล 

แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัญญาของท่านพระอริยสงฆ์เหล่านี้หรอกเหรอ?

อย่างพระพุทธเจ้า ยังทรงยกย่องท่านพระสารีบุตรให้เป็นเลิศทางด้านปัญญา  พระพุทธองค์คงจะมิได้ยกย่องเฉยๆ แต่มุ่งให้พวกเราพึ่งปัญญาของท่านพระสารีบุตรด้วย เช่น คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ก็เป็นผลจากปัญญาของพระสารีบุตรที่พวกเราชาวพุทธมิควรดูหมิ่นว่าเป็นเพียงคำของสาวก มิใช่พระพุทธพจน์

ทำไมลูกศิษย์สำนักพุทธวจนะ  จะต้องดึงดันจะเอาแต่ต้องฟังพระพุทธพจน์อย่างเดียวเท่านั้น โดยพากันเหยียบย่ำลบหลู่ดูหมิ่นคัมภีร์อรรกถาที่บรรดาพระอริยสงฆ์สาวกในครั้งโบราณได้เสียสละเวลาและแรงกายในการรจนาคัมภีร์อรรถกถาเหล่านี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกเราชาวพุทธในรุ่นหลังได้เข้าใจพระพุทธพจน์ได้อย่างแจ่มแจ้งมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้น คำถามในกระทู้นี้ที่อยากจะให้พวกคุณที่เป็นลูกศิษย์สำนักพุทธวจนะ ได้ช่วยกันตอบให้ตรงประเด็น  อย่าพยายามแถ หลีกเลี่ยงที่จะตอบ

ช่วยกันตอบให้ตรงประเด็นคำถามว่า เวลาคุณสวดบทไตรสรณคมณ์ ถึงท่อนที่ว่า "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"

- พวกคุณนึกถึงอะไรเวลาที่ท่อง "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" ?
- พวกคุณมีพระอริยสงฆ์สาวกเป็นที่พึ่งจริงหรือไม่ ?
- พวกคุณพึ่งพระอริยสงฆ์ในรูปแบบใด? >>> พึ่งปัญญาของท่าน? หรือพึ่งอะไรจากท่าน?  หรือไม่มีท่านพระอริยสงฆ์เป็นทึ่พึ่งเลย แค่ท่องไปอย่างนั้นแหละ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่