‘พิธา’ แนะ ‘นายกอิ๊งค์’ ต้องมีแผนงาน100 วัน จะได้ไม่เมาหมัด เมื่อเจอปัญหา ชี้อ่านไอแพด-พูดผิด เป็นเรื่องปกติ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4838868
‘พิธา’ แนะ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ต้องมีแผนงาน 100 วันแรก จะได้ไม่เมาหมัด เมื่อเจอปัญหา ชี้อ่านไอแพด-พูดผิด เป็นเรื่องปกติ ส่วนกระแส ปชน.ตก ต้องให้เวลาพิสูจน์ ดึงสติเป็นนักการเมืองไทยต้องยึดประโยชน์ประเทศเป็นหลักหลังทัวร์ลงเปลี่ยนชื่อพรรคประชาชนพม่า
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมแจกลายเซ็นหนังสือ “
เอาความกลัวไว้ข้างหลัง เอาความหวังไว้ข้างหน้า” ว่าช่วงนี้ยังเดินทางตลอด ไม่ต่างประเทศก็ต่างจังหวัด พยายามเดินทางเพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ให้มากขึ้น และพยายามวางแผนการลงพื้นที่ให้ทุกสัปดาห์ ยังอยากลงพื้นที่น้ำท่วมอยู่ เมื่อเวลาเหมาะสมเพื่อไปทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่ไปเกะกะใคร
เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับการทำงานของ น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นาย
พิธากล่าวว่า คงต้องเปรียบเทียบกับแผนงานว่ามีความตั้งใจอย่างไร ซึ่งตนไม่ทราบว่ามีเป้าหมายจะทำอะไร เลยไม่รู้ว่าจะต้องวิเคราะห์อย่างไร แต่คนเป็นผู้นำ ควรมีวาระ 100 วันแรก ว่าตั้งใจจะทำอะไร เพราะหากไม่มีแผน เวลาเจอปัญหาเข้ามา ก็จะเมาหมัด ไม่รู้ต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง จึงอยากให้รัฐบาลมีวาระ และความเข้าใจในการทำงาน เนื่องจากตอนนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งปัญหาภัยพิบัติ และปัญหาเศรษฐกิจ
ส่วนมองภาวะผู้นำของ น.ส.
แพทองธารอย่างไร เนื่องจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่เรื่องถือไอแพด จนกระทั่งการตอบคำถามเรื่องทางเดินน้ำผิด นาย
พิธาระบุว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องของเนื้อหาสำคัญกว่า ใครก็พูดผิดกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องดูว่ามีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ดีกว่า การอ่านไอแพดเป็นเรื่องธรรมดามากไม่ได้เป็นสาระ
เมื่อถามถึงความนิยมของพรรคประชาชนที่ลดลงตามหลังพรรคเพื่อไทย นาย
พิธากล่าวว่า ตนพูดตั้งแต่สมัยพรรคก้าวไกลแล้วว่า ‘
แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร’ จะเป็นเพชรได้ ต้องใช้ทั้งความอดทน ความกดดัน ความร้อน และเวลา เชื่อว่า นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน และเพื่อน ส.ส.ของพรรค คงจะจำบรรยากาศจากอนาคตใหม่มาเป็นก้าวไกลได้ หากเราผ่านกระบวนการนี้ไปได้ ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี และขอส่งกำลังใจให้ เพราะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลา
ส่วนกรณีที่ทุกการเคลื่อนไหวของนายณัฐพงษ์ถูกนำมาเปรียบเทียบกับตนนั้น ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะวิจารณ์ ส่วนตัวตนมั่นใจในตัวนาย
ณัฐพงษ์มาก มั่นใจว่าผ่านไปได้แน่นอน และที่กระแสหายไปนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับตน เป็นเรื่องของกระบวนการ
ส่วนมองอย่างไรในกรณีที่พรรคประชาชนโดนทัวร์ลงจนมีการตั้งชื่อพรรคให้ว่า “
พรรคประชาชนพม่า” จากการอภิปรายของ ส.ส.ของพรรค นาย
พิธากล่าวว่า เราเป็นนักการเมือง ต้องรับฟังความคิดเห็น คำติชม ของประชาชนที่เลือกเรามาเป็นธรรมดา ขณะเดียวกันก็ต้องยืนยันในข้อเท็จจริง ว่าเราเป็นนักการเมืองไทย ต้องเลือกเอาผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นหลัก แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งในประชาคมโลก จึงต้องหาจุดสมดุลให้เจอ หากเรามีความจริงใจ และสามารถอธิบายได้ ก็คงเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ต้องฟังประชาชน เพื่อเอามาปรับปรุง และแยกแยะให้ได้ว่า อันไหนเป็นเรื่องจริง
สำหรับกระแสข่าวนาย
เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด เข้าไปรับประทานอาหารที่บ้านจันทร์ส่องหล้านั้น ตนไม่ทราบเรื่องส่วนตัว ว่าคุยอะไรกัน การเมืองภาพใหญ่ประชาชนควรเป็นส่วนสำคัญในการที่จะคิดอะไร มีคนมาเล่าให้ฟังอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่จุดสำคัญที่จะต้องมาคอยโฟกัส เราควรโฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้จะดีกว่า แต่หากอยากจะฝากบอกอะไรพรรคประชาชน ตนจะบอกว่าให้เน้นที่ประชาชนเยอะๆ
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยงดออกในการลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่….) พ.ศ. … ซึ่งวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะสามารถสะท้อนได้หรือไม่ ว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล นาย
พิธากล่าวว่า เรื่องนี้ตนก็งง เพราะวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาโหวตผ่าน แต่คราวนี้งดออกเสียง ก็ต้องกลับไปถามพรรคภูมิใจไทยว่า ต้องการที่จะส่งสัญญาณอะไรกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการทำประชามติ ว่ามีเหตุผลอะไร ที่ทำให้ภายในระยะเวลาเดือนกว่าๆ มีความคิดที่แตกต่างออกไป คงต้องฝากไปถามพรรคภูมิใจไทย
สำหรับกรณีที่นาย
ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 นายพิธาระบุว่า คงเป็นการยืนยันว่า ทุกพรรคการเมืองควรช่วยกันร่วมแก้รัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม
นาย
พิธากล่าวต่อว่า จริยธรรมเป็นเรื่องดี ในสังคมควรจะมี แต่ไม่ควรใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างกัน การจะร้องอะไร ก็ควรจะมีโทษที่ได้สัดส่วนกับการร้อง ซึ่งสิ่งที่สังคมร่วมกันจรรโลง คือ การเห็นว่าจริยธรรมอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่ควรใช้เป็นลงโทษหรือตัดสิทธิทางการเมือง นี่น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองทุกพรรคร่วมกันพูดคุยเรื่องนี้ได้ว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว
ส่วนจะให้กำลังใจอย่างไรกับพรรคเพื่อไทยบ้างนั้น ตนยังยืนยันคำเดิมว่า ขอให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคสุดท้ายที่เจออะไรแบบนี้ ขอให้การกระทำแบบนี้ ถ้าเลิกไปเลยได้ก็ดี แต่หากจะให้มีอะไรแบบนี้ โทษที่ได้ต้องได้สัดส่วน ไม่ใช่ปลดนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมา หรือยุบพรรคที่ประชาชนตั้งกันมา มันไม่ควรมีอีกแล้วในการเมืองไทย การล้มล้างการปกครองในประเทศไทยมีเพียงอย่างเดียวคือการรัฐประหาร ซึ่งตนก็ไม่อยากเห็นพรรคเพื่อไทยถูกยุบ
เมื่อถามว่าการยื่นคำร้องนาย
ธีรยุทธ จะเสมือนเป็นการเปิดหน้าว่า ใครอยู่เบื้องหลังในการยุบพรรค
ก้าวไกลด้วยหรือไม่ นายพิธาระบุว่า ตนไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนั้น แต่คิดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่น่าเสียเวลา และเสียสมาธิ ซึ่ง น.ส
.แพทองธารก็ต้องมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องอะไรแบบนี้
ส่วนมีความเห็นอย่างไร ที่ข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองไม่ใช่พรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่โดน นาย
พิธากล่าวว่า ความอปกติในระบอบประชาธิปไตย จะกลายเป็นความปกติไป เหมือนที่มีการทำรัฐประหาร 12 ครั้งในประเทศไทย แล้วรู้สึกว่ามันปกติ พอมีกระบวนการเช่นนี้ ทุกคนก็จะคาดเดาว่า แย่แน่นอน แต่ไม่ควรจะมีใครต้องเสียสมาธิในเรื่องแบบนี้ ควรนำสมาธินั้นมาทำนโยบายแข่งขันกัน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
กมธ.ทหาร ซัด ทร. พลทหารตายทั้งคน ชี้แจงกระดาษแค่ 3 แผ่น ฮึ่มผิด ม.189 ร่วมกันปกปิดความผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4839235
‘กมธ.ทหาร’ ซัดทร.แจงปมพลทหารดับ ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ‘จิรัฏฐ์’ ระบุส่อผิดกม. ม.189
เมื่อว้นที่ 10 ตุลาคม ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นาย
ชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม.พรรคประชาชน และ นาย
จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทราพรรคประชาชน ในฐานะโฆษก กมธ. แถลงว่า จากกรณีที่ พลทหาร
ศิริวัฒน์ ใจดี เสียชีวิตระหว่างการฝึก ในกรมสารวัตรทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ทางกองทัพเรือได้มอบหมายให้สารวัตรทหารเรือมาให้ข้อมูล
โดยนาย
ชยพล กล่าวว่า ทาง กมธ.จึงมีข้อสังเกตในเรื่องความไม่ตรงกันของข้อมูล ซึ่งไม่มีความสมเหตุสมผล เช่น สาเหตุการเสียชีวิตมีการระบุว่าไม่ได้ฝึกหนักนาน พร้อมอธิบายว่าพลทหาร
ศิริวัฒน์ มีอาการชักในช่วงเวลาเย็น ครูฝึกจึงมีการสะกิดที่ขา 2 ครั้ง และตบที่หน้าอีก 1 ครั้ง ก่อนจะแบกไปรับประทานอาหาร
ซึ่งเพื่อนพลทหารได้ให้ข้อมูลว่าในขณะนั้นแขนขาของพลทหาร
ศิริวัฒน์ ไม่สามารถควบคุมแขนได้แล้ว จากนั้นอีก 1 ชม.จึงค่อยกลับมาเช็กอาการภายหลัง แต่เมื่อเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น จึงส่งไปที่โรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทาง กมธ.จึงสงสัยว่าทางค่ายมีวิธีเช็กอาการอย่างไรบ้าง เพราะหากเราเจอคนที่มีอาการชักคงไม่ตรวจสอบอาการโดยการเตะ รวมถึงตบหน้า และคงไม่ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น 1 ชม.ก่อนนำส่งโรงพยาบาล
นาย
ชยพลกล่าวว่า อีกประเด็นคือคำให้ปากคำของญาติ ก็ไม่ตรงกันกับกองทัพเรือหลายส่วน สาเหตุการเสียชีวิตที่ทางกองทัพเรือแจ้งมาคือ มีการล้มเหลวระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต โดยทางญาติให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามี ซี่โครงซี่ที่ 3 และ 4 หัก จึงได้ตั้งข้อสังเกตุว่า หากเกิดจากการปั๊มหัวใจไม่ควรไปหักที่บริเวณนั้นเพราะเป็นบริเวณที่อยู่ต่ำเกินไป จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกิดจากการซ้อมหรือไม่ ซึ่งชุดนี้ไม่อยู่ในรายงานของกองทัพเรือที่แจ้งที่แจ้งต่อ กมธ.
ด้านนาย
จิรัฏฐ์กล่าวว่า เอกสารที่ทางกองทัพเรือให้มาไม่มีความน่าเชื่อถือ คนตายทั้งคนชี้แจงแค่ 3 แผ่น เพื่อมาแจ้งว่าไม่รู้สาเหตุของการเสียชีวิต ตนถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ ที่ส่งคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์มาชี้แจง ทั้งนี้ ทางกองทัพเรืออาจจะเข้าข่ายกฎหมายอาญามาตรา 189 ฐานร่วมกัน ปกปิดความผิด ไม่ให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ
“
ทาง ผบ.ค่ายวันนี้ก็ไม่ได้มาเอง และไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงให้ครอบครัวทราบ ทางครอบครัวเห็นเรื่องนี้จากข่าว ได้โทรไปสอบถามแต่ได้คำตอบว่า อย่าไปเชื่อข่าว เพราะว่าคนที่ให้ข่าว เป็นผู้สมัครพรรคก้าวไกล คนแบบนี้เกลียดทหาร ไม่เป็นจริง ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวน” นาย
จิรัฏฐ์กล่าว
นาย
ชยพลกล่าวทิ้งท้ายว่า เราคาดหวังความโปร่งใสจากกองทัพมากกว่านี้ เนื่องจากมีการพูดคุยเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนด้วยกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราอยาก ผลักดันไปสู่เรื่องสมัครทหารโดยสมัครใจ แต่ถ้ากองทัพยังมีนิสัยดูแลกองทัพไม่ดีเช่นนี้ คงไม่มีทางที่จะมีคนอยากเข้ามาในกองทัพ
โรม ซัดฝ่ายมั่นคงฯ เมินกมธ.เรียกสอบ หลังถูกร้อง คุกคามพี่สาววันเฉลิม บี้ภูมิธรรมจัดการ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4838607
‘โรม’ ซัด แม้เปลี่ยน ‘รัฐบาล’ แต่หน่วยงานความมั่นคงยังไม่ให้ความร่วมมือ กมธ. ถกปมคุมคามเสรีภาพ ปชช. เหมือนเดิม เหน็บ ‘บิ๊กต่าย’ หากเข้ามาเป็น ผบ.ตร. จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ ขณะที่ ‘ชุติพงศ์’ เสนอเชิญ ‘ทักษิณ’ เข้าแจงหลัง ‘พี่สาววันเฉลิม’ ถูกคุมตัวหน้าจันทร์ส่องหล้า
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 10 ตุลาคม ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุม กมธ. กรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.
สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของ นาย
วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกคุกคามการใช้สิทธิเสรีภาพ หลังพยายามเข้าไปเรียกร้องที่บ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านพักของ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องการหายตัวไปของน้องชายในประเทศกัมพูชา ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวแบ่งเป็นประเด็นหลักๆ คือ 1.เหตุการณ์ที่ น.ส.
สิตานันเดินทางเข้าไปบริเวณบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยวันนั้นมีกำหนดการที่ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช
ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเดินทางมาเพื่อเข้าเยี่ยมนายทักษิณ เป็นการส่วนตัวด้วย แต่ปรากฏว่า น.ส.
สิตานันที่ไปคนเดียวถูกควบคุมตัวไม่ให้เดินทางไปที่ไหน และมีการเปิดตัวหนังสือที่เกี่ยวข้องกับความจริงของนาย
วันเฉลิม ซึ่งพบว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะการทำให้สิทธิเสรีภาพการแสดงออกต่างๆ ไม่สามารถทำได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นการที่อาจจะกดดันในภาคเอกชนที่ทำให้การเปิด
JJNY : 5in1 ‘พิธา’แนะ‘อิ๊งค์’│กมธ.ทหารซัดทร.│โรมซัดฝ่ายมั่นคงฯเมินกมธ.│พิษน้ำท่วมทุบศก.พัง4หมื่นล.│เวียดนามคาดส่งออกข้าว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4838868
‘พิธา’ แนะ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ต้องมีแผนงาน 100 วันแรก จะได้ไม่เมาหมัด เมื่อเจอปัญหา ชี้อ่านไอแพด-พูดผิด เป็นเรื่องปกติ ส่วนกระแส ปชน.ตก ต้องให้เวลาพิสูจน์ ดึงสติเป็นนักการเมืองไทยต้องยึดประโยชน์ประเทศเป็นหลักหลังทัวร์ลงเปลี่ยนชื่อพรรคประชาชนพม่า
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมแจกลายเซ็นหนังสือ “เอาความกลัวไว้ข้างหลัง เอาความหวังไว้ข้างหน้า” ว่าช่วงนี้ยังเดินทางตลอด ไม่ต่างประเทศก็ต่างจังหวัด พยายามเดินทางเพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ให้มากขึ้น และพยายามวางแผนการลงพื้นที่ให้ทุกสัปดาห์ ยังอยากลงพื้นที่น้ำท่วมอยู่ เมื่อเวลาเหมาะสมเพื่อไปทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่ไปเกะกะใคร
เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับการทำงานของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายพิธากล่าวว่า คงต้องเปรียบเทียบกับแผนงานว่ามีความตั้งใจอย่างไร ซึ่งตนไม่ทราบว่ามีเป้าหมายจะทำอะไร เลยไม่รู้ว่าจะต้องวิเคราะห์อย่างไร แต่คนเป็นผู้นำ ควรมีวาระ 100 วันแรก ว่าตั้งใจจะทำอะไร เพราะหากไม่มีแผน เวลาเจอปัญหาเข้ามา ก็จะเมาหมัด ไม่รู้ต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง จึงอยากให้รัฐบาลมีวาระ และความเข้าใจในการทำงาน เนื่องจากตอนนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งปัญหาภัยพิบัติ และปัญหาเศรษฐกิจ
ส่วนมองภาวะผู้นำของ น.ส.แพทองธารอย่างไร เนื่องจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่เรื่องถือไอแพด จนกระทั่งการตอบคำถามเรื่องทางเดินน้ำผิด นายพิธาระบุว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องของเนื้อหาสำคัญกว่า ใครก็พูดผิดกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องดูว่ามีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ดีกว่า การอ่านไอแพดเป็นเรื่องธรรมดามากไม่ได้เป็นสาระ
เมื่อถามถึงความนิยมของพรรคประชาชนที่ลดลงตามหลังพรรคเพื่อไทย นายพิธากล่าวว่า ตนพูดตั้งแต่สมัยพรรคก้าวไกลแล้วว่า ‘แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร’ จะเป็นเพชรได้ ต้องใช้ทั้งความอดทน ความกดดัน ความร้อน และเวลา เชื่อว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน และเพื่อน ส.ส.ของพรรค คงจะจำบรรยากาศจากอนาคตใหม่มาเป็นก้าวไกลได้ หากเราผ่านกระบวนการนี้ไปได้ ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี และขอส่งกำลังใจให้ เพราะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลา
ส่วนกรณีที่ทุกการเคลื่อนไหวของนายณัฐพงษ์ถูกนำมาเปรียบเทียบกับตนนั้น ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะวิจารณ์ ส่วนตัวตนมั่นใจในตัวนายณัฐพงษ์มาก มั่นใจว่าผ่านไปได้แน่นอน และที่กระแสหายไปนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับตน เป็นเรื่องของกระบวนการ
ส่วนมองอย่างไรในกรณีที่พรรคประชาชนโดนทัวร์ลงจนมีการตั้งชื่อพรรคให้ว่า “พรรคประชาชนพม่า” จากการอภิปรายของ ส.ส.ของพรรค นายพิธากล่าวว่า เราเป็นนักการเมือง ต้องรับฟังความคิดเห็น คำติชม ของประชาชนที่เลือกเรามาเป็นธรรมดา ขณะเดียวกันก็ต้องยืนยันในข้อเท็จจริง ว่าเราเป็นนักการเมืองไทย ต้องเลือกเอาผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นหลัก แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งในประชาคมโลก จึงต้องหาจุดสมดุลให้เจอ หากเรามีความจริงใจ และสามารถอธิบายได้ ก็คงเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ต้องฟังประชาชน เพื่อเอามาปรับปรุง และแยกแยะให้ได้ว่า อันไหนเป็นเรื่องจริง
สำหรับกระแสข่าวนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด เข้าไปรับประทานอาหารที่บ้านจันทร์ส่องหล้านั้น ตนไม่ทราบเรื่องส่วนตัว ว่าคุยอะไรกัน การเมืองภาพใหญ่ประชาชนควรเป็นส่วนสำคัญในการที่จะคิดอะไร มีคนมาเล่าให้ฟังอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่จุดสำคัญที่จะต้องมาคอยโฟกัส เราควรโฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้จะดีกว่า แต่หากอยากจะฝากบอกอะไรพรรคประชาชน ตนจะบอกว่าให้เน้นที่ประชาชนเยอะๆ
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยงดออกในการลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่….) พ.ศ. … ซึ่งวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะสามารถสะท้อนได้หรือไม่ ว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล นายพิธากล่าวว่า เรื่องนี้ตนก็งง เพราะวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาโหวตผ่าน แต่คราวนี้งดออกเสียง ก็ต้องกลับไปถามพรรคภูมิใจไทยว่า ต้องการที่จะส่งสัญญาณอะไรกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการทำประชามติ ว่ามีเหตุผลอะไร ที่ทำให้ภายในระยะเวลาเดือนกว่าๆ มีความคิดที่แตกต่างออกไป คงต้องฝากไปถามพรรคภูมิใจไทย
สำหรับกรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 นายพิธาระบุว่า คงเป็นการยืนยันว่า ทุกพรรคการเมืองควรช่วยกันร่วมแก้รัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม
นายพิธากล่าวต่อว่า จริยธรรมเป็นเรื่องดี ในสังคมควรจะมี แต่ไม่ควรใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างกัน การจะร้องอะไร ก็ควรจะมีโทษที่ได้สัดส่วนกับการร้อง ซึ่งสิ่งที่สังคมร่วมกันจรรโลง คือ การเห็นว่าจริยธรรมอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่ควรใช้เป็นลงโทษหรือตัดสิทธิทางการเมือง นี่น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองทุกพรรคร่วมกันพูดคุยเรื่องนี้ได้ว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว
ส่วนจะให้กำลังใจอย่างไรกับพรรคเพื่อไทยบ้างนั้น ตนยังยืนยันคำเดิมว่า ขอให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคสุดท้ายที่เจออะไรแบบนี้ ขอให้การกระทำแบบนี้ ถ้าเลิกไปเลยได้ก็ดี แต่หากจะให้มีอะไรแบบนี้ โทษที่ได้ต้องได้สัดส่วน ไม่ใช่ปลดนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมา หรือยุบพรรคที่ประชาชนตั้งกันมา มันไม่ควรมีอีกแล้วในการเมืองไทย การล้มล้างการปกครองในประเทศไทยมีเพียงอย่างเดียวคือการรัฐประหาร ซึ่งตนก็ไม่อยากเห็นพรรคเพื่อไทยถูกยุบ
เมื่อถามว่าการยื่นคำร้องนายธีรยุทธ จะเสมือนเป็นการเปิดหน้าว่า ใครอยู่เบื้องหลังในการยุบพรรคก้าวไกลด้วยหรือไม่ นายพิธาระบุว่า ตนไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนั้น แต่คิดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่น่าเสียเวลา และเสียสมาธิ ซึ่ง น.ส.แพทองธารก็ต้องมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องอะไรแบบนี้
ส่วนมีความเห็นอย่างไร ที่ข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองไม่ใช่พรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่โดน นายพิธากล่าวว่า ความอปกติในระบอบประชาธิปไตย จะกลายเป็นความปกติไป เหมือนที่มีการทำรัฐประหาร 12 ครั้งในประเทศไทย แล้วรู้สึกว่ามันปกติ พอมีกระบวนการเช่นนี้ ทุกคนก็จะคาดเดาว่า แย่แน่นอน แต่ไม่ควรจะมีใครต้องเสียสมาธิในเรื่องแบบนี้ ควรนำสมาธินั้นมาทำนโยบายแข่งขันกัน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
กมธ.ทหาร ซัด ทร. พลทหารตายทั้งคน ชี้แจงกระดาษแค่ 3 แผ่น ฮึ่มผิด ม.189 ร่วมกันปกปิดความผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4839235
‘กมธ.ทหาร’ ซัดทร.แจงปมพลทหารดับ ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ‘จิรัฏฐ์’ ระบุส่อผิดกม. ม.189
เมื่อว้นที่ 10 ตุลาคม ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม.พรรคประชาชน และ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทราพรรคประชาชน ในฐานะโฆษก กมธ. แถลงว่า จากกรณีที่ พลทหารศิริวัฒน์ ใจดี เสียชีวิตระหว่างการฝึก ในกรมสารวัตรทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ทางกองทัพเรือได้มอบหมายให้สารวัตรทหารเรือมาให้ข้อมูล
โดยนายชยพล กล่าวว่า ทาง กมธ.จึงมีข้อสังเกตในเรื่องความไม่ตรงกันของข้อมูล ซึ่งไม่มีความสมเหตุสมผล เช่น สาเหตุการเสียชีวิตมีการระบุว่าไม่ได้ฝึกหนักนาน พร้อมอธิบายว่าพลทหารศิริวัฒน์ มีอาการชักในช่วงเวลาเย็น ครูฝึกจึงมีการสะกิดที่ขา 2 ครั้ง และตบที่หน้าอีก 1 ครั้ง ก่อนจะแบกไปรับประทานอาหาร
ซึ่งเพื่อนพลทหารได้ให้ข้อมูลว่าในขณะนั้นแขนขาของพลทหารศิริวัฒน์ ไม่สามารถควบคุมแขนได้แล้ว จากนั้นอีก 1 ชม.จึงค่อยกลับมาเช็กอาการภายหลัง แต่เมื่อเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น จึงส่งไปที่โรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทาง กมธ.จึงสงสัยว่าทางค่ายมีวิธีเช็กอาการอย่างไรบ้าง เพราะหากเราเจอคนที่มีอาการชักคงไม่ตรวจสอบอาการโดยการเตะ รวมถึงตบหน้า และคงไม่ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น 1 ชม.ก่อนนำส่งโรงพยาบาล
นายชยพลกล่าวว่า อีกประเด็นคือคำให้ปากคำของญาติ ก็ไม่ตรงกันกับกองทัพเรือหลายส่วน สาเหตุการเสียชีวิตที่ทางกองทัพเรือแจ้งมาคือ มีการล้มเหลวระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต โดยทางญาติให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามี ซี่โครงซี่ที่ 3 และ 4 หัก จึงได้ตั้งข้อสังเกตุว่า หากเกิดจากการปั๊มหัวใจไม่ควรไปหักที่บริเวณนั้นเพราะเป็นบริเวณที่อยู่ต่ำเกินไป จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกิดจากการซ้อมหรือไม่ ซึ่งชุดนี้ไม่อยู่ในรายงานของกองทัพเรือที่แจ้งที่แจ้งต่อ กมธ.
ด้านนายจิรัฏฐ์กล่าวว่า เอกสารที่ทางกองทัพเรือให้มาไม่มีความน่าเชื่อถือ คนตายทั้งคนชี้แจงแค่ 3 แผ่น เพื่อมาแจ้งว่าไม่รู้สาเหตุของการเสียชีวิต ตนถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ ที่ส่งคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์มาชี้แจง ทั้งนี้ ทางกองทัพเรืออาจจะเข้าข่ายกฎหมายอาญามาตรา 189 ฐานร่วมกัน ปกปิดความผิด ไม่ให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ
“ทาง ผบ.ค่ายวันนี้ก็ไม่ได้มาเอง และไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงให้ครอบครัวทราบ ทางครอบครัวเห็นเรื่องนี้จากข่าว ได้โทรไปสอบถามแต่ได้คำตอบว่า อย่าไปเชื่อข่าว เพราะว่าคนที่ให้ข่าว เป็นผู้สมัครพรรคก้าวไกล คนแบบนี้เกลียดทหาร ไม่เป็นจริง ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวน” นายจิรัฏฐ์กล่าว
นายชยพลกล่าวทิ้งท้ายว่า เราคาดหวังความโปร่งใสจากกองทัพมากกว่านี้ เนื่องจากมีการพูดคุยเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนด้วยกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราอยาก ผลักดันไปสู่เรื่องสมัครทหารโดยสมัครใจ แต่ถ้ากองทัพยังมีนิสัยดูแลกองทัพไม่ดีเช่นนี้ คงไม่มีทางที่จะมีคนอยากเข้ามาในกองทัพ
โรม ซัดฝ่ายมั่นคงฯ เมินกมธ.เรียกสอบ หลังถูกร้อง คุกคามพี่สาววันเฉลิม บี้ภูมิธรรมจัดการ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4838607
‘โรม’ ซัด แม้เปลี่ยน ‘รัฐบาล’ แต่หน่วยงานความมั่นคงยังไม่ให้ความร่วมมือ กมธ. ถกปมคุมคามเสรีภาพ ปชช. เหมือนเดิม เหน็บ ‘บิ๊กต่าย’ หากเข้ามาเป็น ผบ.ตร. จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ ขณะที่ ‘ชุติพงศ์’ เสนอเชิญ ‘ทักษิณ’ เข้าแจงหลัง ‘พี่สาววันเฉลิม’ ถูกคุมตัวหน้าจันทร์ส่องหล้า
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 10 ตุลาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุม กมธ. กรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกคุกคามการใช้สิทธิเสรีภาพ หลังพยายามเข้าไปเรียกร้องที่บ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านพักของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องการหายตัวไปของน้องชายในประเทศกัมพูชา ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวแบ่งเป็นประเด็นหลักๆ คือ 1.เหตุการณ์ที่ น.ส.สิตานันเดินทางเข้าไปบริเวณบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยวันนั้นมีกำหนดการที่ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเดินทางมาเพื่อเข้าเยี่ยมนายทักษิณ เป็นการส่วนตัวด้วย แต่ปรากฏว่า น.ส.สิตานันที่ไปคนเดียวถูกควบคุมตัวไม่ให้เดินทางไปที่ไหน และมีการเปิดตัวหนังสือที่เกี่ยวข้องกับความจริงของนายวันเฉลิม ซึ่งพบว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะการทำให้สิทธิเสรีภาพการแสดงออกต่างๆ ไม่สามารถทำได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นการที่อาจจะกดดันในภาคเอกชนที่ทำให้การเปิด