อาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายน ข่าวเฮอริเคนจะเข้าเมืองที่เราอยู่เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง เค้าว่ามันจะรุนเเรงที่สุดในรอบร้อยปี วันพฤหัสสุดท้ายของเดือน หลังเลิกงาน เราเอารถไปเติมน้ำมัน เเล้วก็กลับมาเตรียมไฟฉาย เพื่อไว้ว่าไฟจะดับ ส่วนอื่นๆ เราไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย เพราะเรามีพร้อมเกือบทั้งหมดเเล้ว อาหารเเห้ง ยา สิ่งฉุกเฉินต่างๆ คืนนั้นตอนตีสามเศษ เราได้ยินเสียงตัดไม้ที่ถนนหน้าบ้าน สัญญาณไฟสว่างไสว หน่วยงานรัฐกำลังตัดต้นไม้ที่หักโค่นปิดถนน
เช้าวันศุกร์ ไฟดับตอนเจ็ดโมงเช้า พายุเริ่มเข้ามาตอนประมาณเเปดโมง บ้านตรงข้ามเรามีคลองตัดผ่านที่หลังบ้าน น้ำล้นตลิ่งเข้ามาในบริเวณสวน เเละเริ่มเข้ามาไกล้บ้านเข้าทุกที ส่วนบ้านเรานั้นอยู่ที่สูง จึงไม่ได้ผลกระทบอะไร
หลังจากที่ไฟดับ น้ำก็หยุดไหล อินเตอร์เนตก็ล่ม โทรศัพย์มือถือใช้ไม่ได้ โทรศัพย์บ้านก็ล่ม เราจึงเมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในทันที พอสายๆพายุเริ่มซา เราออกไปสำรวจบริเวณไกล้เคียง เรามีเครื่องตัดไม้ติดไปด้วย เพราะเรารู้อยู่เเล้วว่า ถนนหลายสายคงต้องมีต้นไม้ขวางทางอยู่เป็นเเน่ เเละมันก็จริงอย่างที่เราคิด เราเเละสามีช่วยกันตัดกิ่งไม้ ตัดเท่าที่ตัดได้ เพียงเเค่ต้องการให้รถผ่านไปได้
เราไม่เคยเห็นถนนหนทางเละเทะขนาดนี้ หลายจุดน้ำขังบนถนน รถผ่านไปไม่ได้ เราต้องขับอ้อมเเล้วอ้อมอีก เเละที่น่าทึ่งคือ ชาวบ้านชนบทเหล่านั้น ออกมาช่วยกันตัดกิ่งไม้ที่ขวางทาง โดยที่ไม่รอหน่วยงาน ถ้าไม่ทำเเบบนั้น อาจจะต้องติดอยู่ในบ้านหลายวัน เพราะหน่วยงานก็คงจะยุ่ง นั่นเป็นครั้งเเรกที่เราทึ่งกับชีวิตคนชนบท ส่วนในเขตเมือง ต้นไม้ล้มอยู่ยังไงก็อยู่ยังงั้น ไม่มีใครออกมาจากบ้านเพื่อทำอะไรเลย เค้าต่างรอความช่วยเหลือ บางหมู่บ้าน ผ่านไปสามวันก็ยังออกมาจากบ้านกันไม่ได้
เรามีเตาถ่าน เรามีเตาเเก๊ส ในวันที่ขาดไฟฟ้า เรายังทำอาหารนอกบ้านกันกินได้ ไฟฟ้าที่บ้านเราดับไปสองวัน เเต่หลังจากที่ไฟฟ้ากลับมา น้ำเราก็มีใช้ เพราะเราใช้น้ำบาดาล ก่อนหน้านี้เรามีเครื่องปั่นไฟสำหรับน้ำ นี่เป็นครั้งเเรกที่เครื่องพังเเละเราลืมคิดที่จะซ่อมเเซม เลยเป็นครั้งเเรกที่เราไม่มีน้ำใช้ ส่วนอีกหลายบ้านที่ใช้น้ำปะปา เพราะอ่างเก็บน้ำเสียหายอย่างหนัก จนป่านนี้ เข้าวันที่ 12 เเล้ว เค้าก็ยังไม่มีน้ำไช้ ต้องไปรอน้ำที่หน่วยงานนำมาให้ คนเมืองส่วนมากใช้รถเก๋ง เค้าจะขนน้ำกันได้สักเท่าไหร่เชียว ส่วนเรามีรถกระบะ เราขนน้ำไปช่วยเหลือญาติพี่น้องเเละเพื่อนพ้องที่เรารู้จักได้ครั้งละมากๆ
ความเสียหายในครั้งนี้ใหญ่หลวง ในตัวเมืองหลายจุดจมบาดาล บ้างถูกพัดหายไปกับสายน้ำ บ้านทั้งหลังพังลงเพราะลมพายุ เเละทีน่าสลดใจกว่านั้นคือ ชาวบ้านพบศพหลายสิบศพ บ้างจมอยู่กับโคลน บ้างติดอยู่บนต้นไม้
เมืองทั้งเมืองไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ คาดว่าคงใช้เวลาหลายอาทิตย์ หรืออาจจะหลายเดือน ร้านอาหารของเรายังเปิดไม่ได้ เพราะยังไม่มีน้ำ ต้องเรียกว่าร้านอาหารเเทบจะทุกร้านทั้งเมืองจะถูกกว่า หลายที่เปิดในเวลาที่จำกัด เพราะเราต้องประหยัดทรัพยากร ปั๊มน้ำมันรับเงินสดเท่านั้น เรารู้เเล้วว่า สังคมไร้เงินสด มันไม่เคยมีอยู่จริง วันเเรกที่ตู้เอทีเอ็มเปิด ผู้คนต่างเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อกดเงินสดออกมาใช้จ่าย
เราไม่อยากจะเชื่อว่า เราจะเจอชีวิตเเบบนี้ในอเมริกา ประเทศที่เจริญเป็นอันดับต้นๆของโลก เรารู้สึกถึงความโชคดีที่บ้านเราไม่ได้รับความเสียหาย เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่เราไม่ได้เดือนร้อนในวันที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ร้านเราอาจจะเปิดไม่ได้เป็นเวลานาน เเต่ก็ไม่เป็นไร เรายอมรับเเละปรับตัว เเต่เราคงไม่อยู่เฉยๆ ตอนนี้เรากำลังเก็บกวาดร้าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ครั้งนึงเราเคยคิดที่จะเเบ่งที่ดินบริเวณบ้านเพื่อทำบ้านขาย สามีไม่เห็นด้วย เค้าอยากทิ้งมันไว้เเบบนั้นเพื่อปล่อยให้มันเป็นป่า วันนี้เรารู้เเล้วว่าป่านั้นสำคัญมากขนาดไหน บางครั้งเราก็อดคิดไม่ได้ว่า ความเจริญที่เราสร้างกันนั้น มันคือความเจริญจริงๆ หรือว่าเรากำลังทำลายธรรมชาติกันเเน่
ขอบคุณพื้นที่สำหรับการเเบ่งปันประสพการณ์ค่ะ
ในวันที่เฮอริเคนเข้า ชีวิตต้องย้อนกลับไปเหมือนสี่สิบปีก่อน
เช้าวันศุกร์ ไฟดับตอนเจ็ดโมงเช้า พายุเริ่มเข้ามาตอนประมาณเเปดโมง บ้านตรงข้ามเรามีคลองตัดผ่านที่หลังบ้าน น้ำล้นตลิ่งเข้ามาในบริเวณสวน เเละเริ่มเข้ามาไกล้บ้านเข้าทุกที ส่วนบ้านเรานั้นอยู่ที่สูง จึงไม่ได้ผลกระทบอะไร
หลังจากที่ไฟดับ น้ำก็หยุดไหล อินเตอร์เนตก็ล่ม โทรศัพย์มือถือใช้ไม่ได้ โทรศัพย์บ้านก็ล่ม เราจึงเมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในทันที พอสายๆพายุเริ่มซา เราออกไปสำรวจบริเวณไกล้เคียง เรามีเครื่องตัดไม้ติดไปด้วย เพราะเรารู้อยู่เเล้วว่า ถนนหลายสายคงต้องมีต้นไม้ขวางทางอยู่เป็นเเน่ เเละมันก็จริงอย่างที่เราคิด เราเเละสามีช่วยกันตัดกิ่งไม้ ตัดเท่าที่ตัดได้ เพียงเเค่ต้องการให้รถผ่านไปได้
เราไม่เคยเห็นถนนหนทางเละเทะขนาดนี้ หลายจุดน้ำขังบนถนน รถผ่านไปไม่ได้ เราต้องขับอ้อมเเล้วอ้อมอีก เเละที่น่าทึ่งคือ ชาวบ้านชนบทเหล่านั้น ออกมาช่วยกันตัดกิ่งไม้ที่ขวางทาง โดยที่ไม่รอหน่วยงาน ถ้าไม่ทำเเบบนั้น อาจจะต้องติดอยู่ในบ้านหลายวัน เพราะหน่วยงานก็คงจะยุ่ง นั่นเป็นครั้งเเรกที่เราทึ่งกับชีวิตคนชนบท ส่วนในเขตเมือง ต้นไม้ล้มอยู่ยังไงก็อยู่ยังงั้น ไม่มีใครออกมาจากบ้านเพื่อทำอะไรเลย เค้าต่างรอความช่วยเหลือ บางหมู่บ้าน ผ่านไปสามวันก็ยังออกมาจากบ้านกันไม่ได้
เรามีเตาถ่าน เรามีเตาเเก๊ส ในวันที่ขาดไฟฟ้า เรายังทำอาหารนอกบ้านกันกินได้ ไฟฟ้าที่บ้านเราดับไปสองวัน เเต่หลังจากที่ไฟฟ้ากลับมา น้ำเราก็มีใช้ เพราะเราใช้น้ำบาดาล ก่อนหน้านี้เรามีเครื่องปั่นไฟสำหรับน้ำ นี่เป็นครั้งเเรกที่เครื่องพังเเละเราลืมคิดที่จะซ่อมเเซม เลยเป็นครั้งเเรกที่เราไม่มีน้ำใช้ ส่วนอีกหลายบ้านที่ใช้น้ำปะปา เพราะอ่างเก็บน้ำเสียหายอย่างหนัก จนป่านนี้ เข้าวันที่ 12 เเล้ว เค้าก็ยังไม่มีน้ำไช้ ต้องไปรอน้ำที่หน่วยงานนำมาให้ คนเมืองส่วนมากใช้รถเก๋ง เค้าจะขนน้ำกันได้สักเท่าไหร่เชียว ส่วนเรามีรถกระบะ เราขนน้ำไปช่วยเหลือญาติพี่น้องเเละเพื่อนพ้องที่เรารู้จักได้ครั้งละมากๆ
ความเสียหายในครั้งนี้ใหญ่หลวง ในตัวเมืองหลายจุดจมบาดาล บ้างถูกพัดหายไปกับสายน้ำ บ้านทั้งหลังพังลงเพราะลมพายุ เเละทีน่าสลดใจกว่านั้นคือ ชาวบ้านพบศพหลายสิบศพ บ้างจมอยู่กับโคลน บ้างติดอยู่บนต้นไม้
เมืองทั้งเมืองไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ คาดว่าคงใช้เวลาหลายอาทิตย์ หรืออาจจะหลายเดือน ร้านอาหารของเรายังเปิดไม่ได้ เพราะยังไม่มีน้ำ ต้องเรียกว่าร้านอาหารเเทบจะทุกร้านทั้งเมืองจะถูกกว่า หลายที่เปิดในเวลาที่จำกัด เพราะเราต้องประหยัดทรัพยากร ปั๊มน้ำมันรับเงินสดเท่านั้น เรารู้เเล้วว่า สังคมไร้เงินสด มันไม่เคยมีอยู่จริง วันเเรกที่ตู้เอทีเอ็มเปิด ผู้คนต่างเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อกดเงินสดออกมาใช้จ่าย
เราไม่อยากจะเชื่อว่า เราจะเจอชีวิตเเบบนี้ในอเมริกา ประเทศที่เจริญเป็นอันดับต้นๆของโลก เรารู้สึกถึงความโชคดีที่บ้านเราไม่ได้รับความเสียหาย เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่เราไม่ได้เดือนร้อนในวันที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ร้านเราอาจจะเปิดไม่ได้เป็นเวลานาน เเต่ก็ไม่เป็นไร เรายอมรับเเละปรับตัว เเต่เราคงไม่อยู่เฉยๆ ตอนนี้เรากำลังเก็บกวาดร้าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ครั้งนึงเราเคยคิดที่จะเเบ่งที่ดินบริเวณบ้านเพื่อทำบ้านขาย สามีไม่เห็นด้วย เค้าอยากทิ้งมันไว้เเบบนั้นเพื่อปล่อยให้มันเป็นป่า วันนี้เรารู้เเล้วว่าป่านั้นสำคัญมากขนาดไหน บางครั้งเราก็อดคิดไม่ได้ว่า ความเจริญที่เราสร้างกันนั้น มันคือความเจริญจริงๆ หรือว่าเรากำลังทำลายธรรมชาติกันเเน่
ขอบคุณพื้นที่สำหรับการเเบ่งปันประสพการณ์ค่ะ