สวัสดีครับเพื่อน ๆ
ผมขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่เดือนแห่งความตายด้วยบทความสั้น ๆ ที่อาจจะเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความหมายครับ
“บนโลกใบนี้มีหลากหลายแนวคิดเกี่ยวกับความตาย บางคนบอกว่าความตายเป็นสิ่งน่ากลัว หรือบางคนอาจจะบอกว่าความตายเป็นสิ่งสวยงาม”
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว
แน่นอนครับเพื่อน ๆ ใคร ๆ ก็กลัวตาย กลัวความเจ็บปวด กลัวต้องแยกจากคนที่รักและครอบครัว กลัวว่ายังไม่ได้ทำตามความฝัน กลัวการจากไปโดยไม่ทันตั้งตัว มีหลากหลายเหตุผลที่มนุษย์หวาดกลัวต่อความตาย ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความปรารถนาและความผูกพันของเรากับผู้คนและสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
ความตายคือสิ่งสวยงาม
หลายคนมองว่าความตายเป็นสิ่งงดงาม เป็นแนวคิดที่มองมุมกลับ โดยเห็นว่าการระลึกถึงความตายตลอดเวลาเปรียบเสมือนแรงผลักดันให้เราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ลงมือทำในสิ่งที่รัก ตามล่าไขว่คว้าหาความฝัน และการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ทำให้เราไม่เสียดายในสิ่งที่ผ่านมา การเตรียมพร้อมและเห็นความสวยงามของชีวิตตัวเองก่อนเวลาจะหมดลง เป็นช่วงเวลาที่สะท้อนถึงความงดงามของชีวิตและความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ การจากไปอย่างพร้อมและสงบในลักษณะนี้ สำหรับผมแล้วก็เห็นด้วยในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางทีเราก็เลือกความงดงามแบบนี้ไม่ได้ทุกคน
สำหรับผมแล้ว
ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ
เป็นกฎของสรรพสิ่งที่มีเกิดขึ้นและแตกดับไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดบนโลกใบนี้หลีกหนีพ้น มันไม่ได้เป็นสิ่งน่ากลัวจนเกินไป และก็ไม่ได้สวยงามอะไรขนาดนั้น
การจะเผชิญหน้ากับความตายได้ดี
เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อมีความสุข เป็นเสาหลักของครอบครัว เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทำชีวิตให้มีคุณค่าต่อตัวเองและผู้อื่น บทสรุปนี้ก็แล้วแต่เพื่อน ๆ จะตีความหมายชีวิตของตัวเอง
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือ ลงมือทำในสิ่งที่ต้องทำ
ตามหาความฝัน ใช้ชีวิตให้มีความสุข เรียนรู้บททดสอบแห่งความทุกข์ ใช้สัญชาตญาณและปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ ทำดีต่อคนที่เรารักและครอบครัว วางแผนชีวิตหลังจากที่เราไม่อยู่แล้ว มองทุกอย่างให้เป็นกลาง และการยอมรับความจริงสำคัญที่สุด
การยอมรับความจริงโดยไม่หลอกตัวเอง จะนำมาซึ่งความสงบ เรียบง่าย และปลดปล่อย อย่าไปมองว่ามันสวยงามมากเกินไป แต่มองว่าเราพร้อมเดินทางผจญภัยอีกรอบ ด้วยสัมภาระที่จำเป็นเท่านั้น สิ่งที่เราสามารถพกใส่กระเป๋าไปด้วยคือ ศีล (ที่เราได้สร้างไว้) สมาธิ (สติและความสงบ) ปัญญา (การยอมรับและการรู้แจ้ง) และจงกล้าหาญเข้าไว้ ยอมละทิ้งความสุข ความทุกข์ และความผูกพัน ไว้เป็นเรื่องของโลกใบนี้เท่านั้น
สุดท้ายแล้วเมื่อความตายมาเยือน
ยิ้มเข้าไว้ด้วยความสงบและวางเฉย
ไม่เสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เพราะเราทำดีที่สุดแล้วในเวลาที่มี ให้อภัยกับผู้คนที่ทำไม่ดีกับเรา รวมถึงให้อภัยตัวเองด้วย และถ้าเราเป็นที่รักของผู้คนมากพอ เมื่อเราจากไป ผู้คนจะจดจำและรำลึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยทำ ชีวิตเราก็จะมีคุณค่าไม่เพียงต่อตัวเอง แต่ต่อคนอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม กฎของธรรมชาติก็ยังคงอยู่ เวลาและความทรงจำจะค่อย ๆ ลบเลือนหายไปเช่นกัน เพราะไม่มีสิ่งใดยั่งยืนชั่วนิรันดร์
"ความตายคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของเราบนโลกใบนี้"
บอมเบย์ แด่นักใช้ชีวิต
ยอมรับและเข้าใจ "เพราะความตายคือกฎของธรรมชาติ"
ผมขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่เดือนแห่งความตายด้วยบทความสั้น ๆ ที่อาจจะเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความหมายครับ
“บนโลกใบนี้มีหลากหลายแนวคิดเกี่ยวกับความตาย บางคนบอกว่าความตายเป็นสิ่งน่ากลัว หรือบางคนอาจจะบอกว่าความตายเป็นสิ่งสวยงาม”
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว
แน่นอนครับเพื่อน ๆ ใคร ๆ ก็กลัวตาย กลัวความเจ็บปวด กลัวต้องแยกจากคนที่รักและครอบครัว กลัวว่ายังไม่ได้ทำตามความฝัน กลัวการจากไปโดยไม่ทันตั้งตัว มีหลากหลายเหตุผลที่มนุษย์หวาดกลัวต่อความตาย ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความปรารถนาและความผูกพันของเรากับผู้คนและสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
ความตายคือสิ่งสวยงาม
หลายคนมองว่าความตายเป็นสิ่งงดงาม เป็นแนวคิดที่มองมุมกลับ โดยเห็นว่าการระลึกถึงความตายตลอดเวลาเปรียบเสมือนแรงผลักดันให้เราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ลงมือทำในสิ่งที่รัก ตามล่าไขว่คว้าหาความฝัน และการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ทำให้เราไม่เสียดายในสิ่งที่ผ่านมา การเตรียมพร้อมและเห็นความสวยงามของชีวิตตัวเองก่อนเวลาจะหมดลง เป็นช่วงเวลาที่สะท้อนถึงความงดงามของชีวิตและความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ การจากไปอย่างพร้อมและสงบในลักษณะนี้ สำหรับผมแล้วก็เห็นด้วยในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางทีเราก็เลือกความงดงามแบบนี้ไม่ได้ทุกคน
สำหรับผมแล้ว ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ
เป็นกฎของสรรพสิ่งที่มีเกิดขึ้นและแตกดับไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดบนโลกใบนี้หลีกหนีพ้น มันไม่ได้เป็นสิ่งน่ากลัวจนเกินไป และก็ไม่ได้สวยงามอะไรขนาดนั้น
การจะเผชิญหน้ากับความตายได้ดี
เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อมีความสุข เป็นเสาหลักของครอบครัว เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทำชีวิตให้มีคุณค่าต่อตัวเองและผู้อื่น บทสรุปนี้ก็แล้วแต่เพื่อน ๆ จะตีความหมายชีวิตของตัวเอง
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือ ลงมือทำในสิ่งที่ต้องทำ
ตามหาความฝัน ใช้ชีวิตให้มีความสุข เรียนรู้บททดสอบแห่งความทุกข์ ใช้สัญชาตญาณและปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ ทำดีต่อคนที่เรารักและครอบครัว วางแผนชีวิตหลังจากที่เราไม่อยู่แล้ว มองทุกอย่างให้เป็นกลาง และการยอมรับความจริงสำคัญที่สุด
การยอมรับความจริงโดยไม่หลอกตัวเอง จะนำมาซึ่งความสงบ เรียบง่าย และปลดปล่อย อย่าไปมองว่ามันสวยงามมากเกินไป แต่มองว่าเราพร้อมเดินทางผจญภัยอีกรอบ ด้วยสัมภาระที่จำเป็นเท่านั้น สิ่งที่เราสามารถพกใส่กระเป๋าไปด้วยคือ ศีล (ที่เราได้สร้างไว้) สมาธิ (สติและความสงบ) ปัญญา (การยอมรับและการรู้แจ้ง) และจงกล้าหาญเข้าไว้ ยอมละทิ้งความสุข ความทุกข์ และความผูกพัน ไว้เป็นเรื่องของโลกใบนี้เท่านั้น
สุดท้ายแล้วเมื่อความตายมาเยือน ยิ้มเข้าไว้ด้วยความสงบและวางเฉย
ไม่เสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เพราะเราทำดีที่สุดแล้วในเวลาที่มี ให้อภัยกับผู้คนที่ทำไม่ดีกับเรา รวมถึงให้อภัยตัวเองด้วย และถ้าเราเป็นที่รักของผู้คนมากพอ เมื่อเราจากไป ผู้คนจะจดจำและรำลึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยทำ ชีวิตเราก็จะมีคุณค่าไม่เพียงต่อตัวเอง แต่ต่อคนอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม กฎของธรรมชาติก็ยังคงอยู่ เวลาและความทรงจำจะค่อย ๆ ลบเลือนหายไปเช่นกัน เพราะไม่มีสิ่งใดยั่งยืนชั่วนิรันดร์
"ความตายคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของเราบนโลกใบนี้"
บอมเบย์ แด่นักใช้ชีวิต