สวัสดีค่า วันนี้เราอยากมาแชร์เรื่องการปรับทัศนคติตัวเองให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น คัดกรองคนในชีวิต และรักตัวเองค่ะ เราพยายามทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองตั้งแต่เด็ก ตั้งเป้าหมายในชีวิตตลอด แต่พอเริ่มเข้ามอปลายก็กลายเป็นคนไม่มีความสุขซะอย่างงั้น เรามีเพื่อนที่คอยรับฟัง เพื่อนที่แชร์ปัญหาส่วนตัวกันได้ทุกเรื่องอยู่คนนึง เราเคยคิดว่าเขาคือสิ่งเดียวในชีวิตที่เราใช้คำว่าโชคดีได้เต็มปาก
จนกระทั่งช่วงที่เราเข้ามหาวิทยาลัย เขากับเรามีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น เราต้องทนกับการถูกลืม การไม่ตรงต่อเวลา ยืมเงินเล็กน้อยแล้วไม่คืน การพูดจาหยาบคาย และสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเสียเวลาที่สุดคือ การพูดถึงทุกอย่างที่ตัวเองมีในแง่ลบ เช่น "คนนี้วาดรูปสวยมากเพราะพ่อแม่เขาสนับสนุนเลยมีอุปกรณ์เยอะ เขาไม่ดังเพราะเขาไม่ได้รับการสนับสนุนแบบนี้" ไม่ว่าจะเจอ อะไรในชีวิต ถ้าสิ่งนั้นดีกว่าเขาจะพูดเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้โอกาสนี้ ถ้าเจอสิ่งที่แย่กว่าเขาเขาจะด่าว่าทำไมทำแบบเขาไม่ได้ เราอยู่กับเพื่อนคนนี้ด้วยความไม่สบายใจมาหลายปีเพราะในมุมที่เขารับฟังเวลาเรามีความทุกข์มันเยอะมากๆ แต่ในวันที่เราประสบความสำเร็จเขาเลือกที่จะหายไป ไม่ตอบแชทเราแล้วก็จะโผล่มาพูดประเด็นดราม่าอื่นๆ แทนหลังจากที่หายไป
จากที่เราเป็นคนอะไรก็ได้ เราเริ่มสงสัยว่าทำไมเราต้องเป็นคนอะไรก็ได้ เราเริ่มที่จะฝึกไปไหนมาไหนคนเดียว กินข้าวในโรงอาหารคนเดียว ไปต่างประเทศคนเดียวแล้วค้นพบว่า มันง่ายสำหรับเรามากที่จะกินอะไรก็กิน ไปที่ไหนก็ไป
เราฟังพอร์ดแคสเยอะมากจนเจอประโยคที่ว่า 'เราควรตัดสิ่งแย่ๆ ออกเพื่อให้ได้มีพื้นที่สำหรับสิ่งที่ดี' หลังจากนั้นเราบอกเขาเลยค่ะ ว่าเราไม่ทนกับอะไรทั้งนั้น เมื่อวานเราโอเคแต่วันนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราเดินออกมาพร้อมกับลบช่องทางการติดต่อของเขา และเพื่อนทุกคนที่ทัศนคติไม่ดีออก
ช่วงแรกเราฝันถึงเขาตลอด เพราะสนิทกันมาหลายปีแล้วเรายอมรับว่าผูกพันกันมากๆ เราตัดสินใจอยู่แค่เดือนเดียวเลยแอบคิดว่าอาจจะใจร้ายไปไหมที่ไม่ให้โอกาสเขาเปลี่ยนตัวเอง แต่เราคิดว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้จริงๆหรอก เราพยายามรักษาความรู้สึกโดดเดี่ยวด้วยการทำกิจกรรมที่ดี ฝึกสกิลใหม่ๆ จนได้ไปรู้จักกับเพื่อนกลุ่มปัจจุบันของเรา
เราไม่มีความคิดที่จะหาเพื่อนใหม่แต่สุดท้ายเราก็เจอกลุ่มคนที่แนะนำสิ่งดีๆ ให้กับเรา ทั้งการเรียนจนไปถึงวัยทำงาน เราไม่มีปัญหาเพื่อนยืมเงิน ปัญหาเพื่อนท็อคซิค ทุกคนจัดการชีวิตตัวเองได้ดี ไม่นินทาว่าร้าย เรารู้ได้จากตอนที่เขาอยู่กับเรา เค้าชอบฮีล ชอบคุยเรื่องพัฒนาตัวเอง สนับสนุนไอเดียของกันและกัน
เรามีเพื่อนสนิทโดยที่พลังงานส่วนใหญ่ของเราหมดไปกับเรื่องเครียดในวัยทำงานของตัวเอง ไม่ต้องมาฟังเรื่องลบๆ จากใครอีก คนไหนเราไม่โอเคเราก็ตัดออกแบบไม่ลงเล
สิ่งที่แปลกอีกอย่างคือพอสุขภาพจิตเราดีขึ้นเยอะมาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานก็ดีไปด้วย เราสดใสมากกว่าเดิมเยอะมากๆ สุขภาพกายก็ดีไปด้วยเพราะเราบริหารความคิดตัวเองได้แล้ว บังคับให้ตัวเองกินอาหารที่ดีได้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ก่อนเรานอนจมในห้องมืดๆ คนเดียวตลอด แต่ตอนนี้เราได้เป็นคนที่เราอยากจะเป็น และตื่นเต้นกับเรื่องท้าทายมากกว่ากลัว แค่เพราะว่าสังคมใหม่ของเราเปลี่ยนให้เราเป็นคนกล้า
ถ้าใครที่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจไม่ถูก ลองหลับตาแล้วถามตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ถามตัวเองในเวอร์ชั่นที่เราอยากเป็นว่าคนคนนี้ หรือสิ่งสิ่งนี้มันดีกับเราจริงหรือไม่ ตัวเราคนเดียวมีเรื่องให้จัดการมากมาย อย่าเอาตัวเองไปอยู่กับคนที่วิ่งหาปัญหาใส่ตัวเลยค่ะ
บางครั้งเราต้องกลับมาคิดว่าปัญหาที่เรามีอยู่มันเป็นของเราจริงหรือไม่ เราอาจจะเป็นคนที่โชคดีมากๆ แต่กำลังถูกใครบางคนปิดตาเราไว้
ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านนะคะ
รีวิวการเลิกคบเพื่อนสนิท แล้วสุขภาพจิตดีเหมือนเป็นคนใหม่
จนกระทั่งช่วงที่เราเข้ามหาวิทยาลัย เขากับเรามีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น เราต้องทนกับการถูกลืม การไม่ตรงต่อเวลา ยืมเงินเล็กน้อยแล้วไม่คืน การพูดจาหยาบคาย และสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเสียเวลาที่สุดคือ การพูดถึงทุกอย่างที่ตัวเองมีในแง่ลบ เช่น "คนนี้วาดรูปสวยมากเพราะพ่อแม่เขาสนับสนุนเลยมีอุปกรณ์เยอะ เขาไม่ดังเพราะเขาไม่ได้รับการสนับสนุนแบบนี้" ไม่ว่าจะเจอ อะไรในชีวิต ถ้าสิ่งนั้นดีกว่าเขาจะพูดเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้โอกาสนี้ ถ้าเจอสิ่งที่แย่กว่าเขาเขาจะด่าว่าทำไมทำแบบเขาไม่ได้ เราอยู่กับเพื่อนคนนี้ด้วยความไม่สบายใจมาหลายปีเพราะในมุมที่เขารับฟังเวลาเรามีความทุกข์มันเยอะมากๆ แต่ในวันที่เราประสบความสำเร็จเขาเลือกที่จะหายไป ไม่ตอบแชทเราแล้วก็จะโผล่มาพูดประเด็นดราม่าอื่นๆ แทนหลังจากที่หายไป
จากที่เราเป็นคนอะไรก็ได้ เราเริ่มสงสัยว่าทำไมเราต้องเป็นคนอะไรก็ได้ เราเริ่มที่จะฝึกไปไหนมาไหนคนเดียว กินข้าวในโรงอาหารคนเดียว ไปต่างประเทศคนเดียวแล้วค้นพบว่า มันง่ายสำหรับเรามากที่จะกินอะไรก็กิน ไปที่ไหนก็ไป
เราฟังพอร์ดแคสเยอะมากจนเจอประโยคที่ว่า 'เราควรตัดสิ่งแย่ๆ ออกเพื่อให้ได้มีพื้นที่สำหรับสิ่งที่ดี' หลังจากนั้นเราบอกเขาเลยค่ะ ว่าเราไม่ทนกับอะไรทั้งนั้น เมื่อวานเราโอเคแต่วันนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราเดินออกมาพร้อมกับลบช่องทางการติดต่อของเขา และเพื่อนทุกคนที่ทัศนคติไม่ดีออก
ช่วงแรกเราฝันถึงเขาตลอด เพราะสนิทกันมาหลายปีแล้วเรายอมรับว่าผูกพันกันมากๆ เราตัดสินใจอยู่แค่เดือนเดียวเลยแอบคิดว่าอาจจะใจร้ายไปไหมที่ไม่ให้โอกาสเขาเปลี่ยนตัวเอง แต่เราคิดว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้จริงๆหรอก เราพยายามรักษาความรู้สึกโดดเดี่ยวด้วยการทำกิจกรรมที่ดี ฝึกสกิลใหม่ๆ จนได้ไปรู้จักกับเพื่อนกลุ่มปัจจุบันของเรา
เราไม่มีความคิดที่จะหาเพื่อนใหม่แต่สุดท้ายเราก็เจอกลุ่มคนที่แนะนำสิ่งดีๆ ให้กับเรา ทั้งการเรียนจนไปถึงวัยทำงาน เราไม่มีปัญหาเพื่อนยืมเงิน ปัญหาเพื่อนท็อคซิค ทุกคนจัดการชีวิตตัวเองได้ดี ไม่นินทาว่าร้าย เรารู้ได้จากตอนที่เขาอยู่กับเรา เค้าชอบฮีล ชอบคุยเรื่องพัฒนาตัวเอง สนับสนุนไอเดียของกันและกัน
เรามีเพื่อนสนิทโดยที่พลังงานส่วนใหญ่ของเราหมดไปกับเรื่องเครียดในวัยทำงานของตัวเอง ไม่ต้องมาฟังเรื่องลบๆ จากใครอีก คนไหนเราไม่โอเคเราก็ตัดออกแบบไม่ลงเล
สิ่งที่แปลกอีกอย่างคือพอสุขภาพจิตเราดีขึ้นเยอะมาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานก็ดีไปด้วย เราสดใสมากกว่าเดิมเยอะมากๆ สุขภาพกายก็ดีไปด้วยเพราะเราบริหารความคิดตัวเองได้แล้ว บังคับให้ตัวเองกินอาหารที่ดีได้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ก่อนเรานอนจมในห้องมืดๆ คนเดียวตลอด แต่ตอนนี้เราได้เป็นคนที่เราอยากจะเป็น และตื่นเต้นกับเรื่องท้าทายมากกว่ากลัว แค่เพราะว่าสังคมใหม่ของเราเปลี่ยนให้เราเป็นคนกล้า
ถ้าใครที่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจไม่ถูก ลองหลับตาแล้วถามตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ถามตัวเองในเวอร์ชั่นที่เราอยากเป็นว่าคนคนนี้ หรือสิ่งสิ่งนี้มันดีกับเราจริงหรือไม่ ตัวเราคนเดียวมีเรื่องให้จัดการมากมาย อย่าเอาตัวเองไปอยู่กับคนที่วิ่งหาปัญหาใส่ตัวเลยค่ะ