สวัสดีครับ
เนื่องจากบริษัทที่ผมทำงานได้ถึงรอบให้ปรับแผนการลงทุนใหม่ ปีนี้ผมมีแผนการลงทุนอยู่ในนโยบายผสม หุ้นไม่เกิน 25% ซึ่งก็ทำกำไรได้บ้างพอสมควร ตอนนี้บริษัทได้ให้ตัวเลือกแผนการลงทุน 6 แผน ดังนี้:
1.ตราสารหนี้ระยะสั้นภาครัฐ/สถาบันการเงิน
2.นโยบายผสมหุ้นไม่เกิน 10%
3.นโยบายผสมหุ้นไม่เกิน 25%
4.นโยบายผสมหุ้นและ FIF ไม่เกิน 25%
5.นโยบายตราสารทุน (กำหนดสัดส่วนเองได้)
6.นโยบายลงทุนในต่างประเทศ (กำหนดสัดส่วนเองได้)
รายละเอียดเพิ่มเติมของแผนที่ 6:
จากการตรวจสอบ funds fact ของแผน 6 พบว่ามีสัดส่วนการลงทุนหลักในกองทุน เค โกลบอล อิควิตี้ (92.95%) และกองทุน เค อินเดีย หุ้นทุน-A แบบปันผล (1.83%) โดยสินทรัพย์ 5 อันดับแรกที่กองทุน เค โกลบอล อิควิตี้ ลงทุนประกอบด้วย:
6.1 SPDR S&P 500 ETF: 45.13%
6.2 Invesco Nasdaq 100 ETF: 29.56%
6.3 iShares Core Euro STOXX 50 UCITS ETF (DE): 12.73%
6.4 iShares India 50 ETF (INDY US Equity): 5.37%
6.5 Next Funds Topix Exchange Traded Fund: 2.42%
ดูจากภาพรวม แผนนี้เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ผ่านการถือครอง ETF เป็นหลัก
ผมเองสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างสูง จึงอยากปรับแผนการลงทุนของปีหน้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน โดยแผนที่คิดไว้คือ:
1.ตราสารหนี้ระยะสั้นภาครัฐ/สถาบันการเงิน: 50%
2.นโยบายตราสารทุน: 20%
3.นโยบายลงทุนในต่างประเทศ: 30%
จากการติดตามข้อมูลและตลาดหุ้นในปี 2567 นโยบายตราสารทุนในประเทศไทยน่าจะมีปัจจัยบวกต่อเนื่องถึงสิ้นปี เนื่องจากเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเข้ามาลงทุนในต้นเดือนตุลาคม รวมถึงปลายปีที่คาดว่าจะมีการลงทุนจากกองทุน ThaiESG ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสนับสนุน แต่ในปี 2568 ยังไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือคงที่ ผมจึงพิจารณาที่จะเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในแผนที่ 6 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังประมาณ 6% ซึ่งดีกว่าแผนที่ 4 ที่เฉลี่ยประมาณ 2%
ถึงแม้ว่าแผนการลงทุนในต่างประเทศอาจมีความผันผวนบ้าง แต่ผมเชื่อว่าตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี มีแนวโน้มที่จะมีการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้ดีกว่าตลาดหุ้นในประเทศ ผมจึงต้องการลองลงทุนในแผนที่ 6 ด้วยน้ำหนักมากขึ้นเป็น 40% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อดูผลลัพธ์
ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ขอคำแนะนำหรือชี้แนะเพิ่มเติมด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
รบกวนขอคำปรึกษาเลือกแผนการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เนื่องจากบริษัทที่ผมทำงานได้ถึงรอบให้ปรับแผนการลงทุนใหม่ ปีนี้ผมมีแผนการลงทุนอยู่ในนโยบายผสม หุ้นไม่เกิน 25% ซึ่งก็ทำกำไรได้บ้างพอสมควร ตอนนี้บริษัทได้ให้ตัวเลือกแผนการลงทุน 6 แผน ดังนี้:
1.ตราสารหนี้ระยะสั้นภาครัฐ/สถาบันการเงิน
2.นโยบายผสมหุ้นไม่เกิน 10%
3.นโยบายผสมหุ้นไม่เกิน 25%
4.นโยบายผสมหุ้นและ FIF ไม่เกิน 25%
5.นโยบายตราสารทุน (กำหนดสัดส่วนเองได้)
6.นโยบายลงทุนในต่างประเทศ (กำหนดสัดส่วนเองได้)
รายละเอียดเพิ่มเติมของแผนที่ 6:
จากการตรวจสอบ funds fact ของแผน 6 พบว่ามีสัดส่วนการลงทุนหลักในกองทุน เค โกลบอล อิควิตี้ (92.95%) และกองทุน เค อินเดีย หุ้นทุน-A แบบปันผล (1.83%) โดยสินทรัพย์ 5 อันดับแรกที่กองทุน เค โกลบอล อิควิตี้ ลงทุนประกอบด้วย:
6.1 SPDR S&P 500 ETF: 45.13%
6.2 Invesco Nasdaq 100 ETF: 29.56%
6.3 iShares Core Euro STOXX 50 UCITS ETF (DE): 12.73%
6.4 iShares India 50 ETF (INDY US Equity): 5.37%
6.5 Next Funds Topix Exchange Traded Fund: 2.42%
ดูจากภาพรวม แผนนี้เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ผ่านการถือครอง ETF เป็นหลัก
ผมเองสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างสูง จึงอยากปรับแผนการลงทุนของปีหน้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน โดยแผนที่คิดไว้คือ:
1.ตราสารหนี้ระยะสั้นภาครัฐ/สถาบันการเงิน: 50%
2.นโยบายตราสารทุน: 20%
3.นโยบายลงทุนในต่างประเทศ: 30%
จากการติดตามข้อมูลและตลาดหุ้นในปี 2567 นโยบายตราสารทุนในประเทศไทยน่าจะมีปัจจัยบวกต่อเนื่องถึงสิ้นปี เนื่องจากเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเข้ามาลงทุนในต้นเดือนตุลาคม รวมถึงปลายปีที่คาดว่าจะมีการลงทุนจากกองทุน ThaiESG ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสนับสนุน แต่ในปี 2568 ยังไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือคงที่ ผมจึงพิจารณาที่จะเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในแผนที่ 6 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังประมาณ 6% ซึ่งดีกว่าแผนที่ 4 ที่เฉลี่ยประมาณ 2%
ถึงแม้ว่าแผนการลงทุนในต่างประเทศอาจมีความผันผวนบ้าง แต่ผมเชื่อว่าตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี มีแนวโน้มที่จะมีการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้ดีกว่าตลาดหุ้นในประเทศ ผมจึงต้องการลองลงทุนในแผนที่ 6 ด้วยน้ำหนักมากขึ้นเป็น 40% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อดูผลลัพธ์
ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ขอคำแนะนำหรือชี้แนะเพิ่มเติมด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ