ตอนที่ อนันดา เล่นบทชู้ ไม่เห็นใครโวยวาย แต่พอเจมส์จิ เดินเลยจุดพระเอก
กระแสโวยวายยังไม่แผ่ว ทั้งๆที่ละครเรื่องนี้ ยังไม่เฉลยบทสรุปของตัวละคร
การที่นักแสดงไม่ทราบ 100% ว่าบทจะเป็นอย่างไรต่อไป
มีข้อดี คือ เขาเล่นออกมาอย่างไร้เดียงสา และไม่รู้อนาคตเหมือนคนจริง
เจมส์จิ ได้พิสูจน์ ความสามารถด้วยบท มานะ ในวัย 15-17-20-30 ปี
การให้นักแสดงเล่นเองทั้งหมด มีข้อดี คือ ได้พิสูจน์ฝีมือ
และบทมานะ ในวัย 15-17 ปี ไม่ใช่ชีวิตวัยรุ่นที่สวยงามอย่างหนังรักทั่วไป
แต่มันซ่อนอะไรไว้หลายอย่าง ที่ "blend" ผสมเข้าด้วยกัน
ซึ่งต้องใช้ผู้กำกับและนักแสดงที่ไม่ธรรมดา
เวลานักแสดงหัวเราะ คนดูกลับรู้สึก "เอ๊ะ" หยอกกันเรื่องเพศ
แต่ตัวละครดูสนุกสนาน เป็นธรรมชาติ เช่น ซีนนกเขาขันริมสระน้ำ
เมื่อเล่นกับเพื่อนต่างเพศ
พอเอาขึ้นจอ คนดูรู้สึกกระดาก และนั่น ทำให้คนดู remote ตัวเองออกมา
หรือ สร้างระยะตัวเองออกมา
เฝ้าดูตัวละครอย่างพิจารณา วิธีการดู ไม่เหมือนละครพาฝัน
เจมส์ เล่นออกมาได้ดี ทุกวัย
ซีนนี้ เบาแต่ลึก "Less is more." ได้ความรู้สึกเจ็บปวดของผู้ชายที่รัก
เพื่อนหญิงคนหนึ่งมาเป็นสิบปี แสดงออกละเอียดมาก แต่ไม่ดูฟุ้งเกินคนจริง
ตอนจบบทสนทนา ตะวันเดินจาก แต่แล้วเธอก็ไม่ลืมหยุดรอมานะ ตบหลังปลอบเขาเบาๆ
ซีนนี้ แม้หัวใจจะให้ไม่ได้ แต่มิตรภาพ คือ สิ่งที่ตะวันให้ค่า
ความเป็นเพื่อน เปรียบเหมือนมวลไม้เขียว
ไม่ได้โรแมนติกฉูดฉาดอายุสั้นอย่างดอกไม้
ซีนนี้ คือนาทีประกาศขีดเส้น ห้ามล้ำเข้ามาเกินเขตเพื่อน
ผู้กำกับ นักแสดง และทีมงาน สามารถเก็บความงามของคำว่าเพื่อน
บนความธรรมดาอย่างธรรมชาติ ไว้ให้ผู้ชมได้ ซึ่งก็คือ แกน ของเรื่อง
เข้าใจว่า ผู้กำกับ ทีมงาน และผู้เขียนบท มีสติ
แต่พวกเขาไม่รู้ผลลัพธ์ จนกว่านักแสดงจะลงมือทำ เหมือนทำอาหาร
ที่ผลลัพธ์ ไม่ได้มาจากสูตร แต่มาจากระดับคุณภาพของวัตถุดิบ
ข้อเสีย ของการไม่รู้บทล่วงหน้า ก็คือ ข้อตกลง ระหว่างผู้จ้างกับผู้ถูกจ้าง
แต่เมื่อดูคุณภาพทั้งหมด มองว่า "เชื่อใจได้" คุณแอนทอง กับ ผู้กำกับ ไม่ได้เอาเจมส์มาฆ่า
หลายซีน ที่เจมส์ shine ออกมา ไม่ว่า ซีนทำอาหาร ซีนเต้น ซีนเจรจาธุรกิจ
ซีนที่แสดงความแอบฉลาดเมื่อต้องแก้สถานการณ์ของมานะ แฝงอยู่หลายตอน
ที่สำคัญ คือ วิกฤต ทำให้ตัวละครเดินออกจากเปลือกหอย ได้ค้นพบศักยภาพของตัวเอง
เจมส์เหมาะ ที่จะถ่ายทอดชีวิตของมานะ เป็นบทที่ไม่ได้เปลี่ยนขั้วความเป็นเขา
แต่เอาด้านที่เป็นเขา มาสร้างเหลี่ยมมุมให้กับมานะ
เด็กหนุ่มจิตเอื้ออาทร ได้เปรียบในสังคมตรงหน้าตาดี
มันสมองระดับ billionaire ทุกก้าวย่างใช้ soft power
รักที่หนักแน่น จนล้นเอ่อ จะนำเขาไปสู่ความพลิกผันของชีวิตอย่างไร
ถ้ามองกลับไป นึกถึงการแสดงของเจมส์ เด็กหนุ่มแอบฉลาดอ้อนแม่เก่ง ใน "กรงกรรม"
ซึ่งไม่ใช่ตัวละครเอก แต่ถ้าไม่มีเขา เรื่องก็ไม่ครบรส
ค่าย อาจต้องอธิบายให้นักแสดงเข้าใจอย่างแจ่มชัด ถึงงานที่ก้าวไปอีกขั้น จากละครในอดีต
และใครคือกลุ่มคนดู เพราะหากนำออกสนามนานาชาติ คนดูไม่น้อยที่ต้องการละครที่ดูไม่ง่าย
คิดว่าดาราหลายคนอยากจะร่วมงานค่ายนี้ เพราะ push ให้นักแสดงท้าทายตัวเอง
และหากรับอิทธิพลจากงานของต่างประเทศ เรียนรู้หลักการ สร้างแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ copy
สังคมไทยไม่ควรรีบตัดสินและตัดอนาคต แต่ควรเรียนรู้ ตักเตือน และให้โอกาส
ถ้าไม่ลองทำสิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวความผิดพลาดไปหมด นั่นคือ จุดที่เสี่ยงด้วยตัวของมันเอง
ไม่มีนักกีฬาโอลิมปิคคนไหน ไม่มีบาดแผล ถ้าคิดจะก้าวกระโดด
ถ้าทำแต่การบ้านชุดเดิม ก็ไม่เกิดการเรียนรู้
สำหรับเรื่องนี้ จะขยี้ จริยธรรมหรือไม่ ต้องรอดูจนจบ
หากว่าข้อหนึ่งของการเติบโต คือ การอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่นำจิตและร่างไปพึ่งพาคนอื่นมากเกินไป
เราก็ต้องดูกัน ว่า วงโคจร ของตะวัน ชิน และมานะ ในวัยหลัง 30 ปี
จะดึงดูดเข้ามาใกล้ หรือ ออกห่าง
อย่าลืมว่า การเดินทางของดวงดาวในระบบสุรยะ หมุนรอบ-แต่ไม่เคยชนกันเลย
มั่นใจ เจมส์จิ ได้เข้าชิงนักแสดงนำยอดเยี่ยม จาก "โลกหมุนรอบตัวเธอ"
กระแสโวยวายยังไม่แผ่ว ทั้งๆที่ละครเรื่องนี้ ยังไม่เฉลยบทสรุปของตัวละคร
การที่นักแสดงไม่ทราบ 100% ว่าบทจะเป็นอย่างไรต่อไป
มีข้อดี คือ เขาเล่นออกมาอย่างไร้เดียงสา และไม่รู้อนาคตเหมือนคนจริง
เจมส์จิ ได้พิสูจน์ ความสามารถด้วยบท มานะ ในวัย 15-17-20-30 ปี
การให้นักแสดงเล่นเองทั้งหมด มีข้อดี คือ ได้พิสูจน์ฝีมือ
และบทมานะ ในวัย 15-17 ปี ไม่ใช่ชีวิตวัยรุ่นที่สวยงามอย่างหนังรักทั่วไป
แต่มันซ่อนอะไรไว้หลายอย่าง ที่ "blend" ผสมเข้าด้วยกัน
ซึ่งต้องใช้ผู้กำกับและนักแสดงที่ไม่ธรรมดา
เวลานักแสดงหัวเราะ คนดูกลับรู้สึก "เอ๊ะ" หยอกกันเรื่องเพศ
แต่ตัวละครดูสนุกสนาน เป็นธรรมชาติ เช่น ซีนนกเขาขันริมสระน้ำ
เมื่อเล่นกับเพื่อนต่างเพศ
พอเอาขึ้นจอ คนดูรู้สึกกระดาก และนั่น ทำให้คนดู remote ตัวเองออกมา
หรือ สร้างระยะตัวเองออกมา
เฝ้าดูตัวละครอย่างพิจารณา วิธีการดู ไม่เหมือนละครพาฝัน
เจมส์ เล่นออกมาได้ดี ทุกวัย
ซีนนี้ เบาแต่ลึก "Less is more." ได้ความรู้สึกเจ็บปวดของผู้ชายที่รัก
เพื่อนหญิงคนหนึ่งมาเป็นสิบปี แสดงออกละเอียดมาก แต่ไม่ดูฟุ้งเกินคนจริง
ตอนจบบทสนทนา ตะวันเดินจาก แต่แล้วเธอก็ไม่ลืมหยุดรอมานะ ตบหลังปลอบเขาเบาๆ
ซีนนี้ แม้หัวใจจะให้ไม่ได้ แต่มิตรภาพ คือ สิ่งที่ตะวันให้ค่า
ความเป็นเพื่อน เปรียบเหมือนมวลไม้เขียว
ไม่ได้โรแมนติกฉูดฉาดอายุสั้นอย่างดอกไม้
ซีนนี้ คือนาทีประกาศขีดเส้น ห้ามล้ำเข้ามาเกินเขตเพื่อน
ผู้กำกับ นักแสดง และทีมงาน สามารถเก็บความงามของคำว่าเพื่อน
บนความธรรมดาอย่างธรรมชาติ ไว้ให้ผู้ชมได้ ซึ่งก็คือ แกน ของเรื่อง
เข้าใจว่า ผู้กำกับ ทีมงาน และผู้เขียนบท มีสติ
แต่พวกเขาไม่รู้ผลลัพธ์ จนกว่านักแสดงจะลงมือทำ เหมือนทำอาหาร
ที่ผลลัพธ์ ไม่ได้มาจากสูตร แต่มาจากระดับคุณภาพของวัตถุดิบ
ข้อเสีย ของการไม่รู้บทล่วงหน้า ก็คือ ข้อตกลง ระหว่างผู้จ้างกับผู้ถูกจ้าง
แต่เมื่อดูคุณภาพทั้งหมด มองว่า "เชื่อใจได้" คุณแอนทอง กับ ผู้กำกับ ไม่ได้เอาเจมส์มาฆ่า
หลายซีน ที่เจมส์ shine ออกมา ไม่ว่า ซีนทำอาหาร ซีนเต้น ซีนเจรจาธุรกิจ
ซีนที่แสดงความแอบฉลาดเมื่อต้องแก้สถานการณ์ของมานะ แฝงอยู่หลายตอน
ที่สำคัญ คือ วิกฤต ทำให้ตัวละครเดินออกจากเปลือกหอย ได้ค้นพบศักยภาพของตัวเอง
เจมส์เหมาะ ที่จะถ่ายทอดชีวิตของมานะ เป็นบทที่ไม่ได้เปลี่ยนขั้วความเป็นเขา
แต่เอาด้านที่เป็นเขา มาสร้างเหลี่ยมมุมให้กับมานะ
เด็กหนุ่มจิตเอื้ออาทร ได้เปรียบในสังคมตรงหน้าตาดี
มันสมองระดับ billionaire ทุกก้าวย่างใช้ soft power
รักที่หนักแน่น จนล้นเอ่อ จะนำเขาไปสู่ความพลิกผันของชีวิตอย่างไร
ถ้ามองกลับไป นึกถึงการแสดงของเจมส์ เด็กหนุ่มแอบฉลาดอ้อนแม่เก่ง ใน "กรงกรรม"
ซึ่งไม่ใช่ตัวละครเอก แต่ถ้าไม่มีเขา เรื่องก็ไม่ครบรส
ค่าย อาจต้องอธิบายให้นักแสดงเข้าใจอย่างแจ่มชัด ถึงงานที่ก้าวไปอีกขั้น จากละครในอดีต
และใครคือกลุ่มคนดู เพราะหากนำออกสนามนานาชาติ คนดูไม่น้อยที่ต้องการละครที่ดูไม่ง่าย
คิดว่าดาราหลายคนอยากจะร่วมงานค่ายนี้ เพราะ push ให้นักแสดงท้าทายตัวเอง
และหากรับอิทธิพลจากงานของต่างประเทศ เรียนรู้หลักการ สร้างแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ copy
สังคมไทยไม่ควรรีบตัดสินและตัดอนาคต แต่ควรเรียนรู้ ตักเตือน และให้โอกาส
ถ้าไม่ลองทำสิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวความผิดพลาดไปหมด นั่นคือ จุดที่เสี่ยงด้วยตัวของมันเอง
ไม่มีนักกีฬาโอลิมปิคคนไหน ไม่มีบาดแผล ถ้าคิดจะก้าวกระโดด
ถ้าทำแต่การบ้านชุดเดิม ก็ไม่เกิดการเรียนรู้
สำหรับเรื่องนี้ จะขยี้ จริยธรรมหรือไม่ ต้องรอดูจนจบ
หากว่าข้อหนึ่งของการเติบโต คือ การอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่นำจิตและร่างไปพึ่งพาคนอื่นมากเกินไป
เราก็ต้องดูกัน ว่า วงโคจร ของตะวัน ชิน และมานะ ในวัยหลัง 30 ปี
จะดึงดูดเข้ามาใกล้ หรือ ออกห่าง
อย่าลืมว่า การเดินทางของดวงดาวในระบบสุรยะ หมุนรอบ-แต่ไม่เคยชนกันเลย