แชร์ประสบการณ์การนั่งรถไฟไทย

กระทู้สนทนา
ตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.ปีนี้เราย้ายบ้านจากกรุงเทพฯไปจ.ลพบุรี แต่ตัวเราเองยังคงทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯดังนั้นทุกวันหยุดก็จะเดินทางกลับบ้านที่ลพบุรี อาทิตย์แรกยังไม่รู้เส้นทางเท่าไรก็เลยใช้รถตู้ รถตู้มาถึงที่หมอชิตก็ต้องเดินทางต่อเพื่อเข้าเมื่องอีก หลังจากนั้นได้เรียนรู้ทางว่าเราสามารถเดินทางโดย “รถไฟ” ได้ เริ่มต้นครั้งแรกในการเดินทางโดยรถไฟ จากบ้านเราที่กรุงเทพฯไม่ไกลจากสถานีหัวลำโพงเลย แต่ครั้งแรกก็ไปโดยมอเตอรไซต์ ค่ารถ 40 บาท ไปถึงเช็คตารางแล้วรถจะออกตอน 9.30 น.    ค่าตั๋ว กรุงเทพฯ ลพบุรี 28 บาท ค่ารถตู้ที่มาครั้งก่อน 130 บาท!! ตื้นตาตื้นใจดี เราไม่ได้เดินทางโดยรถไฟมาก็น่าจะ 20 ปีได้แล้ว ครั้งสุดท้ายตอนเรียนมหาลัยแล้วไปเที่ยวกับเพื่อน เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ ก็เดินไปที่ชานชลาและขึ้นรถเลย ขบวนที่ไปเป็นรถธรรมดา กรุงเทพฯ-พิษณุโลก เราเดินทางกันไปสองคนแม่ลูก และเป็นครั้งแรกของลูกด้วยที่ได้นั่งรถไฟ ขึ้นรถไปหาที่นั่ง ก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง คนก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่
พอได้เวลา 9.30 น. รถก็ออกเดินทาง สถานีแรกที่จอดคือ สถานีสามเสน พอรถจอดก็มีแม่ค้าขึ้นมาขายของซึ่งมันน่าตื้นเต้นมากเพราะไม่คิดว่าบรรยกาศเดิมๆยังมีอยู่ เมื่อก่อนตอนเด็กๆคุณยายพานั่งรถไฟไปบ้านน้าที่จ.ประจวบฯบ่อยมาก และรถไฟสายใต้จะมีแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวแห้ง อร่อยมาก น้าๆเวลาเขาขึ้นมากรุงเทพฯเขาจะต้องซื้อก๋วยเตี๋ยวนี้มาฝากคนที่บ้านเป็นประจำ 
มีขายข้าวกล่อง ข้าวเหนียวหมูและไก่ น้ำเย็น ชากาแฟ โดยเฉพาะกาแฟคุณป้าที่สถานีสามเสนนี้เราเป็น FC เลยเพราะต้องกินทุกครั้งที่กลับบ้าน 

สักพักก็มีจนท.มาตรวจตั๋ว รถไฟนั่งสบายมาก ลมเย็นตลอดทาง  จนมาถึงอยุธยาเราเห็นว่าคนลงสถานีนี้กันเยอะมาก ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว อยุธยาเป็นสถานีที่ใหญ่เลยที่เดียว หลังจากนั้นก็มีแม่ค้าขึ้นมาขาย ขนมโรตีสายไหม ของฝากจากอยุธยา แม่ค้าก็จะเดินขายอยู่ประมาณ 2-3 รอบ แล้วก็ลงไป 


รถก็วิ่งต่อไปจนถึงสถานีบ้านกลับ ที่เราจำได้เพราะสถานีนี้จะมีแม่ค้าขึ้นมาอีกชุดใหญ่เลย (เหมือนสถานีสามเสน) มีขายตั้งแต่ข้าวกล่อง ข้าวเหนียวหมูและไก่ น้ำเย็น ชากาแฟ แต่จะมาในรูปแบบใส่ถุง 
ขนมถั่วกลอย มีแม้แต่คุณป้าที่หิ้วกระติ๊กน้ำร้อนมาขายมาม่า กาแฟร้อน มีข้าวต้มด้วย แคปหมู และคุณยายขายไอติม!! สุดยอดไหม นี่ไม่อดกันเลยนะ ถ้าใครขึ้นรถแล้วเตรียมของกินไม่ทันนี่ไม่ต้องห่วงเลยนะ ไม่อดแน่ๆๆ และอีกไม่กี่สถานีก็ถึงลพบุรี เรามาถึงลพบุรีกัน 12.30 น.


พอมาถึง สอบถามคนแถวนั้นเขาบอกว่า มันจะมีรถสองแถวนั่งจากในเมื่องไปที่หมู่บ้านเราได้ เราก็เลยคิดว่า โอเคงั้นก็เดินไปที่ท่ารถแล้วกัน แต่ก็ไม่รู้ทางหรอกนะ เลยแวะถามวินมอเตอร์ไซต์ก่อนลุงคนนึงก็บอกทางให้ เราก็พากันเดินไป เดินๆไปซักพัก ใกล้ๆศาลพระกาฬเราก็มองไปคิดว่าน่าแวะเข้าไปดู แต่พอเดินไปใกล้ๆก็เห็นลิงเยอะแยะเลย ก็เลยเปลี่ยนใจไม่เข้าไปดีกว่า เดินไปหน่อยนึงอยู่ๆก็มีลิงตัวนึงวิ่งปรี่เข้ามาหาเรา ดีที่ว่ามีตำรวจมาช่วยไล่ไป เดินไปอีกหน่อยลิงมาอีก 1 ตัว สักพักมาอีก 1 และอีก 1 โดนรุมเลยที่นี่ 3 ตัว ไล่ก็ไม่ไป ลืมบอกไปว่าเราถือถุงพลาสติกใบใหญ่มาด้วย มันน่าจะเข้ามาแย่งถุงนั้นแหละ ตอนนั้นเรากลัวมากเลยเพราะเรามีลูกเล็กอยู่ด้วย แล้วไล่เท่าไรมันก็ไม่ไปนะ เรากลัวมันจะกัดลูก แล้วสักพักนึงก็มีคนเข้ามาช่วยไล่เป็นผู้ชาย 2-3 คน เราขอบคุณเขาแล้วก็วิ่งออกมาเลย และก็ได้ยินเสียงเขาเรียกเราให้หยุดบอกว่าจะขอสัมภาษณ์ แต่ในใจเรานี่คิดว่า “ไม่เอาแล้ว ชั้นจะไปแล้ว ไม่อยู่แล้ววว” แต่เขาก็วิ่งมาดักเราไว้จนได้ แล้วบอกว่าขอสัมภาษณ์แป๊ปเดียว มาจากไทยรัฐออนไลท์ เราก็เลยพักหายใจแป๊ปให้สัมภาษณ์เขา พอเสร็จน้องเขาก็ถามว่าเราจะไปไหนต่อ ไปส่งไหมเพราะแถวนี้มันก็ยังมีลิงอยู่นะ เราก็รีบตอบตกลงเลยค่ะ น้องเขาก็ไปส่งจนถึงท่ารถ เข็ดเลยไม่กล้าเดินเล่นอีกต่อไปแล้ว เดินครั้งแรกก็โดนเจ้าถิ่นเล่นงานเลยค่ะ เย็นวันนั้นมีจนท.จากไทยรัฐออนไลท์โทรมาหา แล้วถามเราว่าจะมาให้สัมภาษณ์ในรายการของไทยรัฐไหมจะมีค่าเสียเวลาให้และมีรถไปรับ-ส่งถึงบ้านด้วย เราก็คิดอยู่แป๊ปนึงเพราะต้องลางานด้วย ใจนึงก็กลัวเป็นพวกสแกมเมอร์หรือป่าวนะ ก็เลยโทรไปเช็คก่อน พอรู้ว่าไม่ใช่ เขาเป็นรายการทีวีออนไลท์ของจริงก็เลยโทรกลับไปตอบตกลง เขาก็มารับวันรุ่งขึ้นเลย ไปออกรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” 
           คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


เอาจริงเลยนะว่าไม่รู้จักคุณภาคภูมิเลย แต่เพื่อนที่ทำงานตื้นเต้นมากพอเราบอกเขาไปว่า วันนี้จะไปออกรายการนั้น น้องที่ติดต่อเรามาดูแลทุกคนที่ไปร่วมรายการดีมากๆ นอกจากเราแล้วก็มีคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากลิงไปด้วย แล้วก็เลยได้รู้ว่า เรื่องปัญหาลิงลพบุรีมันกำลังเป็นข่าวดังอยู่ช่วงนั้น แล้ววันที่เกิดเหตุกลุ่มนักข่าวเขารอดักทำข่าวอยู่แล้วเพราะจุดนั้นเป็นที่เกิดเหตุการณ์ที่ลิงลงมาก่อกวนบ่อยมาก เราก็ไม่รู้ เลยเป็นเรื่อง แล้วก็เข้าใจแล้วว่าทำไม่วันนั้นพวกเขาไม่เข้ามาช่วยเรา คือเขารอถ่ายวีดีโอให้ได้หลักฐานก่อน แล้วค่อยเข้ามาช่วย 

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เราก็ไม่เคยเดินในเมืองอีกเลย ลงจากรถไฟปุ๊ปก็จะเดินไปขึ้นมอไซต์เลย และตอนนี้ก็มีลุงขาประจำแล้วด้วย โทรให้มารับที่บ้านอีกด้วย กลัวลิงไปเลย  ทุกวันนี้ก็ยังใช้รถไฟเดินทางกลับบ้านทุกอาทิตย์นะ ชอบแม้จะใช้เวลานานหน่อย 3 ช.ม. แต่ก็ไม่รู้สึกว่านานนะ นั่งแบบชิลล์ๆๆเล่นโทรศัพธ์ไป ดูข้างทางไป ดูผู้คนขึ้นลงรถ เที่ยวที่เคยนั่งมาแล้วคนแน่นที่สุดเห็นจะเป็นช่วงวันหยุดวันแม่ วันนั้นคนแน่นมากๆๆ คนยืนแถมเบียดกันด้วย เราโชคดีที่ได้ที่นั่ง 
คิดกันว่าวันหยุดยาวคราวหน้าจะพาครอบครัวนั่งรถไฟเที่ยว กรุงเทพ-อยุธยา พาลูกไปดูช้าง แล้วค่อยกลับลพบุรี หรือไม่ก็ไปดูเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 

มีอยู่ครั้งนึงนั่งรถกลับบ้าน วันนั้นในขบวนเรามีทีมข่าวจากญื่ปุ่น มาสัมภาษณ์ผู้โดยสารที่เดินทางกับรถไฟ เราก็โดนสัมภาษณ์ไปด้วย 


แล้วพวกเขาก็พากันลงที่สถานีอยุธยา 

เป็นความประทับใจในการเดินทางด้วยรถไฟไทยจริงๆค่ะ เพื่อนๆมีประสบการณ์เที่ยว หรือไปทำงานด้วยรถไฟก็มาแชร์เรื่องราวกันได้นะค่ะ
ขอบคุณค่ะ อมยิ้ม38
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  บันทึกนักเดินทาง
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่