
- ดูจบ เฉย ๆ กับภาพใส ๆ ชอบแค่ประเด็นตรงที่จิกกัดสังคมในวงการสายการบินอย่างเดียวที่ทำให้คนนอกอย่างผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจและน่าค้นหากับสิ่งที่เห็นหน้าเพียงแต่เปลือกไม่ว่าหน้าตา , รูปร่าง , ยูนิฟอร์ม กระทั่ง โลโก้ ว่าบางทีข้างในก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ภาพรวมที่ประมวลด้วยตาเนื้อนึกถึงละคร สงครามนางฟ้า (2551) ในเวอร์ชั่น Comedy ไม่มีฉากจูบหรือการเปิด War ตบตีแย่งผู้ให้มากความ แต่มีเรื่องปวดหัวคล้าย ๆ กันอยู่ในเรื่องของการสะท้อนภาพลักษณ์ต่อระบบโครงสร้างภายในองค์กรในฝันผ่านตัวละครที่ประกอบอาชีพในสนามบินว่าหลังบ้านมีลักษณะเป็นอย่างไร ? ในเชิงเสียดสีอย่างน่ารัก สบาย ๆ ง่าย ๆ ไร้พิษภัย เหมือนเดินในทุ่งซากุระตามสไตล์หนังญี่ปุ่นในลักษณะนี้ที่เราตรัสรู้ได้ทันทีเมื่อได้สบตา

- ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 43 นาทีรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งนั่งดูความวุ่นวายจากบรรดาผู้โดยสารที่ลูกเรือแต่ละคนจะต้องรับมือกับความเกรียนบนเครื่องบินที่มีพระเอกที่เป็นผู้ช่วยกัปตันนั่งคู่กับกัปตันขับออกจากสนามบินฮาเนดะไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโฮโนลูลูที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลกกว่าจะถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพแต่ละคนจะยัง Happy เหมือนที่บอกกันอยู่มั้ย ? ก่อนหน้านั้นย้อนไปได้มีการแนะนำตัวละครให้เราทำความรู้จักหลัก ๆ ที่จำได้มีแค่พระเอกคนเดียวที่ดูเด่นกว่าเพื่อนว่าเป็นใคร ? ให้เราสังเกตุจากนั้นหนังก็ตัดภาพไปที่ในสนามบินเพื่อไปแนะนำตัวละครที่เหลือที่กำลังจะขึ้นเครื่องเจ้าปัญหา ทั้งบรรดาแอร์โฮสเตส , ตัวกัปตันหรือพระเอกในฐานะผู้ช่วย รวมทั้งฝั่งผู้โดยสารที่มีมากหน้าหลายตา อีกมุมก็เลื่อนกล้องไปดูเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนให้รู้ว่าใครทำหน้าที่อะไร ? ให้ทราบพอสังเขปก่อนที่หนังจะตัดภาพไปที่ตัวละครทุกคนขึ้นบนเครื่องแล้วออกจากท่าอย่างเรียบร้อย ผมจนจำไม่หมดว่าใครเป็นใคร ? แม้กระทั่งตัวนางเอก เพราะความที่หน้าตาเป็นพิมพ์นิยมเดียวกับยูนิฟอร์ม มันเลยกลายเป็นว่าไม่ได้ผูกพันกับใครเลยสักคนนอกจากพระเอก

- ระหว่างดูไปรู้สึกหาวเป็นระยะจนแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลา ขนาดว่ามีการใส่มุกตลกเข้ามาไม่เลิกราเพื่อสร้างสถานการณ์ไม่ให้ตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็น ความเรื่องมากของบรรดาผู้โดยสารเหมือนเด็กอนุบาลงอแงอยากได้ของเล่น , การใช้อำนาจในหัวโขนของหัวหน้าพยายามสังเกตุพฤติกรรมลูกน้องกลาย ๆ ในขณะปฎิบัติงานหรือแอบนินทาลับหลังกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมงานให้เสียหน้าหลังจากพักยกจากการเดินรับแขกโชว์แสงไปมาจนหน้าจะชนกันอยู่หรอมหร่อก็ตามก็ไม่ได้รู้สึกขำหรือดึงความสนใจได้ทั้งหมด กว่าจะจูนติดก็ปาเข้าสู่องค์ 3 ช่วงที่แต่ละคนกำลังตื่นตระหนกกับเครื่องบินกระสับกระส่ายเพราะไปชนกับฝูงนกรวมถึงปัญหาชิ้นส่วนที่เกิดจะออกรันเวย์สะสมสำทับนี่แหล่ะที่พอจะดึงสติขึ้นมาได้ แทนที่หนังจะให้คนดูร่วมลุ้นไปกับวิธีการแก้ปัญหาของพระเอกกับกัปตันในฐานะหน้าห้องด้วยความตื่นเต้นแต่กลับไปโฟกัสที่มุกตลกจากบรรดาตัวละครที่ขยันโชว์หัวอย่างหน้าระรื่นโดยไม่ดูสี่ดูแปดกับสิ่งที่เกิดขึ้นซะอย่างงั้น ?

- สรุป ดูง่ายจนเบาโหวง ชิล ๆ เป็นมิตรแก่สิ่งรอบข้าง ตอบโจทย์แก่คนที่ชอบเสพความบันเทิงจากมุกตลกของตัวละครสบายที่แสนวุ่นวายเรียกเสียงหัวเราะในยามว่าง ถ้าเอาความเป็น Comedy ออกไปแล้วใส่ความเป็น Thriller ควบคู่กับ Drama แทนรับรองตัวหนังจะเดือดไม่แพ้หนังหายนะเรื่องอื่นแน่นอน เพราะประเด็นที่แทรกมากับ Details มันมีน้ำหนักพอที่จะส่งเสริมให้ตัวละครคนหนึ่งมีความน่าสนใจขึ้นมาทันทีนั่นคือ พระเอก ที่อุตส่าห์ปูปมมาซะดีพอผู้กำกับเลือกนำเสนออีกมุมแล้วไปโฟกัสกับอะไรไม่รู้ก็เลยถูกทิ้งกลางทางไปอย่างน่าเสียดาย ถึงหนังจะวนอยู่แต่ในเครื่องซะส่วนใหญ่แต่มีแวะไปดูฝั่งสนามบินบ้างเพื่อ Update สถานการณ์รวมถึงวิธีการทำงานภายในอีกมุมว่าเป็นอย่างไร ? นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่มากเท่ากับเวลาที่เสียไปกับความไร้สาระของมุกสัพเพเหระที่ไม่ได้ Happy ตามชื่อเรื่องเลยสักแอ๊ะ กระทั่งเข้าสู่ช่วงสุดท้ายก่อนจบทุกอย่างที่ปูมาถูกจัดการอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลุ้นให้มากความ ถึงจุดหมายปลายทางปุ๊ปก็รีบแยกย้ายบ้านใครบ้านมันปั๊ป ไม่ได้ประทับใจให้เกิดความทราบซึ้งถึงขั้นอยากจะกลับมาใช้บริการใหม่อีกครั้ง

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.120 Happy Flight (2008) : Flight ด่วน ป่วน Airway Say Good Time
- ดูจบ เฉย ๆ กับภาพใส ๆ ชอบแค่ประเด็นตรงที่จิกกัดสังคมในวงการสายการบินอย่างเดียวที่ทำให้คนนอกอย่างผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจและน่าค้นหากับสิ่งที่เห็นหน้าเพียงแต่เปลือกไม่ว่าหน้าตา , รูปร่าง , ยูนิฟอร์ม กระทั่ง โลโก้ ว่าบางทีข้างในก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ภาพรวมที่ประมวลด้วยตาเนื้อนึกถึงละคร สงครามนางฟ้า (2551) ในเวอร์ชั่น Comedy ไม่มีฉากจูบหรือการเปิด War ตบตีแย่งผู้ให้มากความ แต่มีเรื่องปวดหัวคล้าย ๆ กันอยู่ในเรื่องของการสะท้อนภาพลักษณ์ต่อระบบโครงสร้างภายในองค์กรในฝันผ่านตัวละครที่ประกอบอาชีพในสนามบินว่าหลังบ้านมีลักษณะเป็นอย่างไร ? ในเชิงเสียดสีอย่างน่ารัก สบาย ๆ ง่าย ๆ ไร้พิษภัย เหมือนเดินในทุ่งซากุระตามสไตล์หนังญี่ปุ่นในลักษณะนี้ที่เราตรัสรู้ได้ทันทีเมื่อได้สบตา
- ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 43 นาทีรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งนั่งดูความวุ่นวายจากบรรดาผู้โดยสารที่ลูกเรือแต่ละคนจะต้องรับมือกับความเกรียนบนเครื่องบินที่มีพระเอกที่เป็นผู้ช่วยกัปตันนั่งคู่กับกัปตันขับออกจากสนามบินฮาเนดะไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโฮโนลูลูที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลกกว่าจะถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพแต่ละคนจะยัง Happy เหมือนที่บอกกันอยู่มั้ย ? ก่อนหน้านั้นย้อนไปได้มีการแนะนำตัวละครให้เราทำความรู้จักหลัก ๆ ที่จำได้มีแค่พระเอกคนเดียวที่ดูเด่นกว่าเพื่อนว่าเป็นใคร ? ให้เราสังเกตุจากนั้นหนังก็ตัดภาพไปที่ในสนามบินเพื่อไปแนะนำตัวละครที่เหลือที่กำลังจะขึ้นเครื่องเจ้าปัญหา ทั้งบรรดาแอร์โฮสเตส , ตัวกัปตันหรือพระเอกในฐานะผู้ช่วย รวมทั้งฝั่งผู้โดยสารที่มีมากหน้าหลายตา อีกมุมก็เลื่อนกล้องไปดูเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนให้รู้ว่าใครทำหน้าที่อะไร ? ให้ทราบพอสังเขปก่อนที่หนังจะตัดภาพไปที่ตัวละครทุกคนขึ้นบนเครื่องแล้วออกจากท่าอย่างเรียบร้อย ผมจนจำไม่หมดว่าใครเป็นใคร ? แม้กระทั่งตัวนางเอก เพราะความที่หน้าตาเป็นพิมพ์นิยมเดียวกับยูนิฟอร์ม มันเลยกลายเป็นว่าไม่ได้ผูกพันกับใครเลยสักคนนอกจากพระเอก
- ระหว่างดูไปรู้สึกหาวเป็นระยะจนแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลา ขนาดว่ามีการใส่มุกตลกเข้ามาไม่เลิกราเพื่อสร้างสถานการณ์ไม่ให้ตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็น ความเรื่องมากของบรรดาผู้โดยสารเหมือนเด็กอนุบาลงอแงอยากได้ของเล่น , การใช้อำนาจในหัวโขนของหัวหน้าพยายามสังเกตุพฤติกรรมลูกน้องกลาย ๆ ในขณะปฎิบัติงานหรือแอบนินทาลับหลังกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมงานให้เสียหน้าหลังจากพักยกจากการเดินรับแขกโชว์แสงไปมาจนหน้าจะชนกันอยู่หรอมหร่อก็ตามก็ไม่ได้รู้สึกขำหรือดึงความสนใจได้ทั้งหมด กว่าจะจูนติดก็ปาเข้าสู่องค์ 3 ช่วงที่แต่ละคนกำลังตื่นตระหนกกับเครื่องบินกระสับกระส่ายเพราะไปชนกับฝูงนกรวมถึงปัญหาชิ้นส่วนที่เกิดจะออกรันเวย์สะสมสำทับนี่แหล่ะที่พอจะดึงสติขึ้นมาได้ แทนที่หนังจะให้คนดูร่วมลุ้นไปกับวิธีการแก้ปัญหาของพระเอกกับกัปตันในฐานะหน้าห้องด้วยความตื่นเต้นแต่กลับไปโฟกัสที่มุกตลกจากบรรดาตัวละครที่ขยันโชว์หัวอย่างหน้าระรื่นโดยไม่ดูสี่ดูแปดกับสิ่งที่เกิดขึ้นซะอย่างงั้น ?
- สรุป ดูง่ายจนเบาโหวง ชิล ๆ เป็นมิตรแก่สิ่งรอบข้าง ตอบโจทย์แก่คนที่ชอบเสพความบันเทิงจากมุกตลกของตัวละครสบายที่แสนวุ่นวายเรียกเสียงหัวเราะในยามว่าง ถ้าเอาความเป็น Comedy ออกไปแล้วใส่ความเป็น Thriller ควบคู่กับ Drama แทนรับรองตัวหนังจะเดือดไม่แพ้หนังหายนะเรื่องอื่นแน่นอน เพราะประเด็นที่แทรกมากับ Details มันมีน้ำหนักพอที่จะส่งเสริมให้ตัวละครคนหนึ่งมีความน่าสนใจขึ้นมาทันทีนั่นคือ พระเอก ที่อุตส่าห์ปูปมมาซะดีพอผู้กำกับเลือกนำเสนออีกมุมแล้วไปโฟกัสกับอะไรไม่รู้ก็เลยถูกทิ้งกลางทางไปอย่างน่าเสียดาย ถึงหนังจะวนอยู่แต่ในเครื่องซะส่วนใหญ่แต่มีแวะไปดูฝั่งสนามบินบ้างเพื่อ Update สถานการณ์รวมถึงวิธีการทำงานภายในอีกมุมว่าเป็นอย่างไร ? นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่มากเท่ากับเวลาที่เสียไปกับความไร้สาระของมุกสัพเพเหระที่ไม่ได้ Happy ตามชื่อเรื่องเลยสักแอ๊ะ กระทั่งเข้าสู่ช่วงสุดท้ายก่อนจบทุกอย่างที่ปูมาถูกจัดการอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลุ้นให้มากความ ถึงจุดหมายปลายทางปุ๊ปก็รีบแยกย้ายบ้านใครบ้านมันปั๊ป ไม่ได้ประทับใจให้เกิดความทราบซึ้งถึงขั้นอยากจะกลับมาใช้บริการใหม่อีกครั้ง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้