Taklee Genesis : คำถามในการมีอยู่ของมนุษย์และวัฎจักรแห่งวิวัฒนาการอารยธรรม(Noสปอย)



Taklee Genesis : ความหมายในการมีอยู่ของมนุษย์ในวัฎจักรแห่งวิวัฒนาการอารยธรรม(Noสปอย

เอ่ยชื่อ ‘ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล’ สำหรับผมต้องบอกเลยว่า เคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้เพียงเรื่องเดียวคือ ’13 เกมสยอง’ ที่ต้องย้อนไปเมื่อ 18 ปีก่อนโน่น ( และน่าเสียดายที่ภาคต่ออย่าง ‘14’ มีข่าวลืออยู่เรื่อยๆ ว่าจะสร้างแต่ก็ไม่ได้สร้าง ) ซึ่งผมชอบมากๆ นะ กับไอเดียการให้ตัวเอกที่เป็นคนธรรมดาๆ ค่อยๆ ไต่ระดับความบ้าคลั่งจากเรื่องเล็กๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องคิดหนักว่าหากถอยคือทุกอย่างสูญเปล่า แต่หากไปต่อก็ต้องตั้งคำถามแล้วว่าคุณยังควรถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อยู่ไหม? ส่วนผลงานอื่นๆ ผมไมได้ดู เพราะไม่ถูกจริตตั้งแต่เห็นตัวอย่าง

จนกระทั่งเมื่อได้เห็นตัวหนัง ‘ตาคลี เจเนซิส’ ผลงานล่าสุดนี่ละครับ ใครจะว่าไงไม่รู้ละ ผมนี่ดันอยากไปดูตั้งแต่ Teaser แรกเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะหนังหยิบวัตถุดิบช่วง ‘สงครามเย็น’ ที่ประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องเต็มๆ เพราะบ้านเราให้สหรัฐอเมริกาตั้งฐานทัพสำหรับทำปฏิบัติการทั้งปิดลับและเปิดเผยในสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่แผ่อิทธิพลอยู่ในเพื่อนบ้านทางตะวันออกอย่างลาวและเวียดนาม 

แน่นอนว่าในช่วงสงครามเย็น มีข่าวลือเรื่องการทดลองลับๆ (และบางอย่างก็หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม) มากมายทั้งฝั่งโลกเสรีอย่างสหรัฐฯ และฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์อย่างสหภาพโซเวียต ซึ่งถูกเล่ามามากมายแล้วในหนังหรือแม้แต่วีดีโอเกม คำถามคือ ‘แล้วประเทศไทยเคยมีการทดลองลับแบบนั้นบ้างไหม?’ และนี่คือหัวเชื้อที่ถูกนำมาเป็นพล็อตของหนังไทยที่ว่ากันว่า ‘พยายามไปไกลที่สุดแล้ว’ นับตั้งแต่บ้านเรามีวงการภาพยนตร์มา

‘ตาคลี เจเนซิส’ เล่าเรื่องของตัวเอกที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นสาวลูกครึ่งระหว่างพ่อที่เป็นชาวอเมริกันกับแม่ที่เป็นชาวบ้านทางภาคอีสาน จ.อุดรธานี (ซึ่งก็เป็นเมืองที่เกิดและเติบโตได้เพราะการมาของทหารสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น ) แต่ไม่คิดจะกลับมาบ้านเกิดเพราะฝังใจกับอดีตที่ไม่ดีนัก กระทั่งเมื่อแม่ป่วยหนักและชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กโทรศัพท์ตามให้กลับมาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย คำสั่งเสียคือให้ไปตามหาพ่อ โดยใช้เครื่องมือที่เป็นชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ อันเป็นโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ไม่ว่าจะย้อนอดีตหรือไปอนาคต

ถึงหน้าหนังจะออกแนวผจญภัย มีการโชว์อสูรกายหรือสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว (เป็นอีกจุดที่ว้าวมาก ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไร เข้าใจว่าค่าทำ CG มันแพง คนไทยฝีมือทำได้นะ แต่ส่วนใหญ่ไปรับงานเมืองนอกดีกว่าเพราะทุนสร้างหนังของต่างประเทศเขาสูงกว่า ) แต่สิ่งที่ผมได้จาก ‘ตาคลี เจเนซิส’ คือความรู้สึก ‘หน่วงๆ เหงาๆ’ แบบแปลกๆ เมื่อได้เห็นการเดินทางข้ามเวลาของพวกตัวเอก ไม่ว่าไปอดีตหรืออนาคต ที่หนังพยายามชวนตั้งคำถามว่า เจ้าเครื่องนี้มันสมควรถูกสร้างมาจริงหรือ? และความทะเยอทะยานของมนุษย์สุดท้ายแล้วจะพาเราไปถึงจุดจบแบบไหน?

( อันที่จริงตรงนี้ผมแอบนึกถึง Prometheus หรือ Alien Covenant ด้วยนะ สงสัย ผกก. น่าจะได้แรงบันดาลใจว่า กับคำถามว่าใครสร้างมนุษย์? สร้างทำไม? และหากผู้สร้างมนุษย์มีจริง..มนุษย์จะทำตัวเหมือนผู้สร้างบ้างได้ไหม? )

รวมไปถึงที่มาที่ไปของตัวละครสมทบบางตัว ที่นำไปผูกกับเหตุการณ์ซึ่งถูกเรียกว่า ‘ประวัติศาสตร์มืด’ หมายถึงเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครอยากให้พูดถึงหรือรื้อฟื้นขึ้นมาอย่างเป็นทางการ แม้จะเป็นเหตุการณ์อันน่าสลดหดหู่ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ อันเป็นผลพวงจากนโยบายของรัฐไทยยุคสงครามเย็น ( จริงๆ ในตัวอย่างก็มีให้เห็นแวบๆ ละ ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร ) ผมเกิดไม่ทันก็จริง แต่ก็โตมากับการอ่านหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวในยุคนั้นพอสมควร พอเห็นการจำลองภาพออกมาแล้วเลยอินไปได้ไม่ยาก

( และเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเลือกเพลง ‘เดือนเพ็ญ’ มาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ )

โดยรวมผมเล่าได้แค่นี้ละครับ มากกว่านี้คือสปอยแน่ๆ ทีนี้เห็นหลายๆ เพจ รีวิวว่าไม่สนุกบ้าง ฝันไกลเกินไปจนพลาดนั่นพลาดนี่บ้าง ก็นานาจิตตังนะ แต่สำหรับผม นี่คือหนังไทยที่ผมว่ามัน ‘เจ๋งมาก-ว้าวมาก’ ในรอบหลายปีเลย ใครมาถามผม ก็คงจะแนะนำให้ไปดู (เอาว่าคุ้มกับตั๋ว 310 บาท ที่ไปดูรอบคืนก่อนฉายจริงละกัน ) 

TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่