คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
พี่จบคณะอักษร อินเตอร์ (1ในตัวเลือกของน้อง)
แต่เบนเข็มไปเรียนต่อโทด้าน จิตบำบัด ในอนาคตคิดว่า สายอาชีพด้านจิตวิทยาจะทำเงินได้เยอะ ด้วยจำนวนผู้ป่วยในไทย (อัตราส่วนต่างกันยิ่งนัก เป็นที่ต้องการในตลาด) และ เทรนด์ของสังคม (the most depressed, miserable and unhappiest generation)
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในไทยจะจ่ายเงินเพื่อการหาจิตบำบัดได้ (เศรษฐกิจปัจจุบัน)
อีกทางเลือกคือจิตบำบัดในตปท. ถ้าเก่งด้านภาษา (อังกฤษ counseling psychologist รายได้ต่อปีประมาณ 2 ล้านบาท แต่ cost of living ต่างกับไทย)
ส่วน ณ ปัจจุบัน ใบประกอบโรคมีแค่ จิตวิทยา คลินิคเท่านั้น จิตวิทยาการปรึกษากำลังพัฒนาได้ด้านนี้อยู่ (ลุ้นให้เกิดขึ้น ในเร็ววันนี้)
จบอักษรถ้าเก่งในด้านในด้านนึงเช่น เป็นล่ามที่เก่งมากๆ ทำงานในบริษัทที่ rely on เราคนเดียว งานเฉพาะทาง ก็มีโอกาสที่จะต่อรองเงินเดือนที่สูงขึ้นได้เช่นกัน
จบจิตวิทยา ก็ต้องดูว่าเป็นสายไหน ถ้าได้ทำงานในโรงพยาบาลเอกชน หรือ มีเคสในมือมากๆ หรือ สามารถบำบัดเฉพาะทางได้ ก็อาจจะได้รับผลตอบแทนที่ดี (ผู้รู้รบกวนมาคอนเฟิร์มด้วยค่ะ)
มนุษยศาสตร์: เพื่อเข้าใจวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการแสดงออกของมนุษย์
จิตวิทยา: เพื่อเข้าใจพฤติกรรม กระบวนการทางจิตใจ และความเป็นอยู่ทางอารมณ์ของมนุษย์
อาจจะตอบคำถามไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าจริงๆแล้ว เราถนัดด้านไหน ซึ่งส่งผลต่อเรื่องเงินเดือน เพราะถ้าเราอยู่ที่ไหนแล้วเราถนัด เราทำได้ดี ทำได้นานๆ ที่นั้นก็คือที่ของเรา
ลองหาหนังสืออ่าน หารีวิวจากรุ่นพี่ ลองไปแคมป์แนะนำคณะ อาจจะทำให้เห็นภาพมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร
ส่วนตัวรู้สึกคุ้มที่เคยได้เรียนอักษรถึงจะลำบากมากตอนเข้าไปเรียนแรกๆ จบมาก็เจอสายงานที่กว้างมาก จนอยากทำอะไรก็ได้หมด (หลงทางไปสักพัก) อักษรทำให้เรารู้จักวิเคราะห์เป็น มองโลกที่ลึกลงไปกว่าเดิม
แต่สุดท้ายมาจบที่จิตบำบัดเพราะก็สามารถลิ้งค์อักษรมาเรียนอันนี้ได้ ทั้งคู่คือเรียนเกี่ยวกับมนุษย์
งานจิตบำบัดเป็นงานที่มีคุณค่าทางจิตใจ การได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ แถมยังเป็นงานที่ทำได้จนถึงอายุ 70
(ถ้ายังอยู่ถึงตอนนั้น เราจะช่วยคนได้กี่คนกัน?)
เราเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ เงินเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างสะดวก จากทุกข์กลายเป็นสุข การมีเงินมากเท่ากับ power
แต่เงินไม่ใช่ motivation ในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา รวมถึงถ้าต้องทำงานๆนึงที่ไม่ชอบซะเท่าไหร่นัก
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน สุดท้ายแล้ว ขอให้ได้ทำตามชีวิตที่ตอบได้ว่าเราเกิดมาทำไม และมีความสุขไปกับมัน
แต่เบนเข็มไปเรียนต่อโทด้าน จิตบำบัด ในอนาคตคิดว่า สายอาชีพด้านจิตวิทยาจะทำเงินได้เยอะ ด้วยจำนวนผู้ป่วยในไทย (อัตราส่วนต่างกันยิ่งนัก เป็นที่ต้องการในตลาด) และ เทรนด์ของสังคม (the most depressed, miserable and unhappiest generation)
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในไทยจะจ่ายเงินเพื่อการหาจิตบำบัดได้ (เศรษฐกิจปัจจุบัน)
อีกทางเลือกคือจิตบำบัดในตปท. ถ้าเก่งด้านภาษา (อังกฤษ counseling psychologist รายได้ต่อปีประมาณ 2 ล้านบาท แต่ cost of living ต่างกับไทย)
ส่วน ณ ปัจจุบัน ใบประกอบโรคมีแค่ จิตวิทยา คลินิคเท่านั้น จิตวิทยาการปรึกษากำลังพัฒนาได้ด้านนี้อยู่ (ลุ้นให้เกิดขึ้น ในเร็ววันนี้)
จบอักษรถ้าเก่งในด้านในด้านนึงเช่น เป็นล่ามที่เก่งมากๆ ทำงานในบริษัทที่ rely on เราคนเดียว งานเฉพาะทาง ก็มีโอกาสที่จะต่อรองเงินเดือนที่สูงขึ้นได้เช่นกัน
จบจิตวิทยา ก็ต้องดูว่าเป็นสายไหน ถ้าได้ทำงานในโรงพยาบาลเอกชน หรือ มีเคสในมือมากๆ หรือ สามารถบำบัดเฉพาะทางได้ ก็อาจจะได้รับผลตอบแทนที่ดี (ผู้รู้รบกวนมาคอนเฟิร์มด้วยค่ะ)
มนุษยศาสตร์: เพื่อเข้าใจวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการแสดงออกของมนุษย์
จิตวิทยา: เพื่อเข้าใจพฤติกรรม กระบวนการทางจิตใจ และความเป็นอยู่ทางอารมณ์ของมนุษย์
อาจจะตอบคำถามไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าจริงๆแล้ว เราถนัดด้านไหน ซึ่งส่งผลต่อเรื่องเงินเดือน เพราะถ้าเราอยู่ที่ไหนแล้วเราถนัด เราทำได้ดี ทำได้นานๆ ที่นั้นก็คือที่ของเรา
ลองหาหนังสืออ่าน หารีวิวจากรุ่นพี่ ลองไปแคมป์แนะนำคณะ อาจจะทำให้เห็นภาพมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร
ส่วนตัวรู้สึกคุ้มที่เคยได้เรียนอักษรถึงจะลำบากมากตอนเข้าไปเรียนแรกๆ จบมาก็เจอสายงานที่กว้างมาก จนอยากทำอะไรก็ได้หมด (หลงทางไปสักพัก) อักษรทำให้เรารู้จักวิเคราะห์เป็น มองโลกที่ลึกลงไปกว่าเดิม
แต่สุดท้ายมาจบที่จิตบำบัดเพราะก็สามารถลิ้งค์อักษรมาเรียนอันนี้ได้ ทั้งคู่คือเรียนเกี่ยวกับมนุษย์
งานจิตบำบัดเป็นงานที่มีคุณค่าทางจิตใจ การได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ แถมยังเป็นงานที่ทำได้จนถึงอายุ 70
(ถ้ายังอยู่ถึงตอนนั้น เราจะช่วยคนได้กี่คนกัน?)
เราเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ เงินเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างสะดวก จากทุกข์กลายเป็นสุข การมีเงินมากเท่ากับ power
แต่เงินไม่ใช่ motivation ในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา รวมถึงถ้าต้องทำงานๆนึงที่ไม่ชอบซะเท่าไหร่นัก
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน สุดท้ายแล้ว ขอให้ได้ทำตามชีวิตที่ตอบได้ว่าเราเกิดมาทำไม และมีความสุขไปกับมัน
แสดงความคิดเห็น
แนวโน้มของอาชีพในอนาคตอีก 5-10 ปี ระหว่างคณะจิตวิทยา กับ คณะอักษร
แรกเลย คือคิดว่าตัวเองเป็นคนเรียนภาษาได้ดีค่ะ มักจะได้คะแนนเยอะกว่าวิชาอื่น จึงรู้สึกสนุก และชอบที่ตัวเองทำผลลัพธ์ออกมาได้ดีค่ะ เลยคิดว่าหากเรียนคณะอักษร ก็คงจะไม่ได้เครียดมากนัก และสามารถสนุกไปกับมันได้ รวมถึงความสุขในสายอาชีพที่จะดำรงต่อไปในอนาคต เล็งไว้ 2 ที่ คือ คณะอักษรศาสตร์ (จุฬา) และ ศิลปศาสตรบัณฑิต (มหิดล) ค่ะ
อีกส่วนหนึ่งที่สนใจคณะจิตวิทยา คือส่วนตัวเป็นคนชอบที่จะเรียนรู้กับผู้คนใหม่ ๆ อยู่เสมอค่ะ ชอบที่จะเรียนรู้ว่า เพราะอะไร จึงทำให้ผู้คนเลือกที่จะตัดสินใจแบบนั้น อะไรแนว ๆ นี้ค่ะ เล็งไว้คือ ที่ เกษตรบางเขน และ จุฬา ค่ะ
หลัก ๆ เลยคืออยากเลือกคณะที่ในอนาคตมีโอกาสไปได้ไกล มั่นคงในระดับหนึ่ง และรายได้ดีค่ะ
ซึ่งหากมองแล้ว นักจิตวิทยาในเมืองไทยปัจจุบันอาจไม่ได้รับความนิยมมากนัก และฐานเงินเดือนอาจไม่สูงมาก หากเทียบกับอาชีพที่ทำได้หากจบจากคณะอักษร
อย่างไรก็ตามในฐานะของเด็กมัธยมปลาย ที่อาจไม่ได้เห็นโลกกว้างมากนัก จึงอยากถามถึงความเป็นไปได้ของอาชีพจากทั้ง 2 ศาสตร์นี้ในอนาคตค่ะ
1) จิตวิทยา : ในอนาคต นักจิตแพทย์มีโอกาสที่จะได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหนคะ แน่นอนว่าจิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่อยู่ลึก ๆ ในใจของผู้คนในทุกยุคทุกสมัย อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูตอนนี้ ถึงจะไม่ได้รับความนิยมเท่าในต่างประเทศ แต่ในไทยก็เริ่มที่จะให้ความสำคัญมากขึ้น และหากถามถึงในระยะ 5-10 ปีหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร ในเรื่องของอาชีพ ความนิยมของผู้คน และเรื่องของฐานเงินเดือนค่ะ
2) อักษร (เอกอังกฤษ) : ส่วนตัวมองว่าหากเรียนอักษร คือการเรียนแบบกว้าง ๆ ซึ่งในอนาคตสามารถเลือกทำได้หลายอย่าง ต่างกับจิตวิทยาที่หากเรียนแล้ว อาชีพที่ทำได้จะแคบลงกว่ามาก แต่ก็จะมั่นคง จึงกังวลในเรื่องของความมั่นคง และรายได้หากเลือกเรียนคณะอักษรค่ะ แน่นอนว่าหากพูดถึงเรื่องของภาษา อย่างไรก็เป็นสิ่งที่คงอยู่กับสังคมมาเสมอ และยังคงต้องใช้ต่อไป แต่ในอนาคต ก็แอบกังวลว่าจะหางานยาก เพราะคนเก่งภาษาก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ
หนูมีความกังวลอยู่มากมายเลยค่ะ 55555
กลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร็จ จึงอยากเลือกทางที่ตัวเองจะมีความสุข เพราะคิดว่าพอเลือกแล้วก็ต้องอยู่กับมันไปอีกครึ่งชีวิต แน่นอนว่ายังไงมันก็เป็นความกังวลที่มากเกินไป สุดท้ายตัวเองในอนาคตก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองไม่มีความสุขอยู่แล้ว แต่ก็ห้ามใจไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แงงงงง
ยังไงก็ขอบคุณทุก ๆ ท่านล่วงหน้านะคะ