แนวโน้มของอาชีพในอนาคตอีก 5-10 ปี ระหว่างคณะจิตวิทยา กับ คณะอักษร

สวัสดีค่ะ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงใกล้จะหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่าจะเลือกไปทางไหนดี ส่วนตัวเป็นเด็กวิทย์คณิตค่ะ แต่เรียนแล้วก็รู้สึกได้ ว่าคงไม่ใช่ทางจริง ๆ ฮ่าฮ่า ลังเลอยู่นานว่าตัวเองอยากเรียนอะไร จนตอนนี้มีอยู่ 2 คณะในใจค่ะ ระหว่างจิตวิทยา และอักษร (เอกภาษาอังกฤษ)

แรกเลย คือคิดว่าตัวเองเป็นคนเรียนภาษาได้ดีค่ะ มักจะได้คะแนนเยอะกว่าวิชาอื่น จึงรู้สึกสนุก และชอบที่ตัวเองทำผลลัพธ์ออกมาได้ดีค่ะ เลยคิดว่าหากเรียนคณะอักษร ก็คงจะไม่ได้เครียดมากนัก และสามารถสนุกไปกับมันได้ รวมถึงความสุขในสายอาชีพที่จะดำรงต่อไปในอนาคต เล็งไว้ 2 ที่ คือ คณะอักษรศาสตร์ (จุฬา) และ ศิลปศาสตรบัณฑิต (มหิดล) ค่ะ
อีกส่วนหนึ่งที่สนใจคณะจิตวิทยา คือส่วนตัวเป็นคนชอบที่จะเรียนรู้กับผู้คนใหม่ ๆ อยู่เสมอค่ะ ชอบที่จะเรียนรู้ว่า เพราะอะไร จึงทำให้ผู้คนเลือกที่จะตัดสินใจแบบนั้น อะไรแนว ๆ นี้ค่ะ เล็งไว้คือ ที่ เกษตรบางเขน และ จุฬา ค่ะ

หลัก ๆ เลยคืออยากเลือกคณะที่ในอนาคตมีโอกาสไปได้ไกล มั่นคงในระดับหนึ่ง และรายได้ดีค่ะ
ซึ่งหากมองแล้ว นักจิตวิทยาในเมืองไทยปัจจุบันอาจไม่ได้รับความนิยมมากนัก และฐานเงินเดือนอาจไม่สูงมาก หากเทียบกับอาชีพที่ทำได้หากจบจากคณะอักษร
อย่างไรก็ตามในฐานะของเด็กมัธยมปลาย ที่อาจไม่ได้เห็นโลกกว้างมากนัก จึงอยากถามถึงความเป็นไปได้ของอาชีพจากทั้ง 2 ศาสตร์นี้ในอนาคตค่ะ

1) จิตวิทยา : ในอนาคต นักจิตแพทย์มีโอกาสที่จะได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหนคะ แน่นอนว่าจิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่อยู่ลึก ๆ ในใจของผู้คนในทุกยุคทุกสมัย อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูตอนนี้ ถึงจะไม่ได้รับความนิยมเท่าในต่างประเทศ แต่ในไทยก็เริ่มที่จะให้ความสำคัญมากขึ้น และหากถามถึงในระยะ 5-10 ปีหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร ในเรื่องของอาชีพ ความนิยมของผู้คน และเรื่องของฐานเงินเดือนค่ะ

2) อักษร (เอกอังกฤษ) : ส่วนตัวมองว่าหากเรียนอักษร คือการเรียนแบบกว้าง ๆ ซึ่งในอนาคตสามารถเลือกทำได้หลายอย่าง ต่างกับจิตวิทยาที่หากเรียนแล้ว อาชีพที่ทำได้จะแคบลงกว่ามาก แต่ก็จะมั่นคง จึงกังวลในเรื่องของความมั่นคง และรายได้หากเลือกเรียนคณะอักษรค่ะ แน่นอนว่าหากพูดถึงเรื่องของภาษา อย่างไรก็เป็นสิ่งที่คงอยู่กับสังคมมาเสมอ และยังคงต้องใช้ต่อไป แต่ในอนาคต ก็แอบกังวลว่าจะหางานยาก เพราะคนเก่งภาษาก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ


หนูมีความกังวลอยู่มากมายเลยค่ะ 55555
กลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร็จ จึงอยากเลือกทางที่ตัวเองจะมีความสุข  เพราะคิดว่าพอเลือกแล้วก็ต้องอยู่กับมันไปอีกครึ่งชีวิต แน่นอนว่ายังไงมันก็เป็นความกังวลที่มากเกินไป สุดท้ายตัวเองในอนาคตก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองไม่มีความสุขอยู่แล้ว แต่ก็ห้ามใจไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แงงงงง

ยังไงก็ขอบคุณทุก ๆ ท่านล่วงหน้านะคะ
หิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
พี่จบคณะอักษร อินเตอร์ (1ในตัวเลือกของน้อง)
แต่เบนเข็มไปเรียนต่อโทด้าน จิตบำบัด ในอนาคตคิดว่า สายอาชีพด้านจิตวิทยาจะทำเงินได้เยอะ ด้วยจำนวนผู้ป่วยในไทย (อัตราส่วนต่างกันยิ่งนัก เป็นที่ต้องการในตลาด) และ เทรนด์ของสังคม (the most depressed, miserable and unhappiest generation)

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในไทยจะจ่ายเงินเพื่อการหาจิตบำบัดได้ (เศรษฐกิจปัจจุบัน)
อีกทางเลือกคือจิตบำบัดในตปท. ถ้าเก่งด้านภาษา (อังกฤษ counseling psychologist รายได้ต่อปีประมาณ 2 ล้านบาท แต่ cost of living ต่างกับไทย)

ส่วน ณ ปัจจุบัน ใบประกอบโรคมีแค่ จิตวิทยา คลินิคเท่านั้น จิตวิทยาการปรึกษากำลังพัฒนาได้ด้านนี้อยู่ (ลุ้นให้เกิดขึ้น ในเร็ววันนี้)

จบอักษรถ้าเก่งในด้านในด้านนึงเช่น เป็นล่ามที่เก่งมากๆ ทำงานในบริษัทที่ rely on เราคนเดียว งานเฉพาะทาง ก็มีโอกาสที่จะต่อรองเงินเดือนที่สูงขึ้นได้เช่นกัน

จบจิตวิทยา ก็ต้องดูว่าเป็นสายไหน ถ้าได้ทำงานในโรงพยาบาลเอกชน หรือ มีเคสในมือมากๆ หรือ สามารถบำบัดเฉพาะทางได้ ก็อาจจะได้รับผลตอบแทนที่ดี (ผู้รู้รบกวนมาคอนเฟิร์มด้วยค่ะ)

มนุษยศาสตร์: เพื่อเข้าใจวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการแสดงออกของมนุษย์

จิตวิทยา: เพื่อเข้าใจพฤติกรรม กระบวนการทางจิตใจ และความเป็นอยู่ทางอารมณ์ของมนุษย์

อาจจะตอบคำถามไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าจริงๆแล้ว เราถนัดด้านไหน ซึ่งส่งผลต่อเรื่องเงินเดือน เพราะถ้าเราอยู่ที่ไหนแล้วเราถนัด เราทำได้ดี ทำได้นานๆ ที่นั้นก็คือที่ของเรา

ลองหาหนังสืออ่าน หารีวิวจากรุ่นพี่ ลองไปแคมป์แนะนำคณะ อาจจะทำให้เห็นภาพมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร

ส่วนตัวรู้สึกคุ้มที่เคยได้เรียนอักษรถึงจะลำบากมากตอนเข้าไปเรียนแรกๆ จบมาก็เจอสายงานที่กว้างมาก จนอยากทำอะไรก็ได้หมด (หลงทางไปสักพัก) อักษรทำให้เรารู้จักวิเคราะห์เป็น มองโลกที่ลึกลงไปกว่าเดิม

แต่สุดท้ายมาจบที่จิตบำบัดเพราะก็สามารถลิ้งค์อักษรมาเรียนอันนี้ได้ ทั้งคู่คือเรียนเกี่ยวกับมนุษย์
งานจิตบำบัดเป็นงานที่มีคุณค่าทางจิตใจ การได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ แถมยังเป็นงานที่ทำได้จนถึงอายุ 70  
(ถ้ายังอยู่ถึงตอนนั้น เราจะช่วยคนได้กี่คนกัน?)

เราเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ เงินเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างสะดวก จากทุกข์กลายเป็นสุข การมีเงินมากเท่ากับ power  
แต่เงินไม่ใช่ motivation ในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา รวมถึงถ้าต้องทำงานๆนึงที่ไม่ชอบซะเท่าไหร่นัก

ไม่ว่าจะเลือกทางไหน สุดท้ายแล้ว ขอให้ได้ทำตามชีวิตที่ตอบได้ว่าเราเกิดมาทำไม และมีความสุขไปกับมัน ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่