เป็นเรื่องปัญหาครอบครัวครับ อยากระบายความในใจ และอยากขอคำแนะนำ เผื่อว่าใครจะมีคำแนะนำดี ๆ ที่พอจะบรรเทาปัญหานี้ได้

บ้านผมมีกันอยู่ 4 คนครับ ป๊า แม่ ผมและน้องสาวที่เกิดตามหลังมา 1 ปี เราอาศัยอยู่ในบ้านทาวน์เฮ้าส์เล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง แต่ก็อาจจะค่อนไปทางต่ำ ครอบครัวมีปัญหากันทะเลาะกันแทบทุกอาทิตย์ ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงปัจจุบัน หนักบ้างเบาบ้างแต่ก็ทนกันมา (ซึ่งก็ไม่อยากที่จะทนต่อไป)

ป๊าผมก่อนหน้านี้ค้าขายกับข้าว ในศูนย์อาหาร food court แห่งหนึ่ง ตอนนี้เกษียณแล้ว ส่วนคุณแม่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยก็กำลังจะเกษียณปีนี้ ป๊าผมก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบอะไร มีทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่มีเรื่องกินเหล้าสูบบุหรี่หรือผู้หญิง แต่ก็มีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น กับปัญหานิสัยส่วนตัวจุกจิกที่หลายคนอาจจะเรียกว่าเป็นนิสัยเจ๊กที่ไม่ค่อยดี (ซึ่งสร้างความรำคาญให้แม่กับน้องสาว) ทำให้มีปัญหาให้แม่ต้องดุด่าว่าอยู่บ่อย ๆ แต่ป๊าก็จะไม่เคยใช้ความรุนแรงกับแม่ อาจจะมีเถียงกันบ้าง ถ้าดุด่าหนักอาจจะมีฟืดฟัดปิดประตูดัง และงอนพักนึง สมัยเด็กๆผมก็มักจะถูกป๊าตีด้วยเรื่องการเรียนที่ไม่ค่อยดี ในบางวิชาที่ผมไม่ชอบเช่นคณิตศาสตร์ วิทย์ และภาษาอังกฤษ แต่พอขึ้นม.ปลายไปจนถึงป.ตรี ก็เหมือนป๊าจะเริ่มไม่ว่าอะไร กลายเป็นเหมือนดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ และให้แม่ดูแลเอา ส่วนคุณแม่ก็เป็นคนเข้มงวดเรื่องเงิน ประหยัด ไม่เที่ยว ที่บ้านเราเลยไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ไม่ได้ออกไปกินข้าวนอกบ้านกันแทบจะเกือบ 100%

คุณแม่ผมเป็นคนเก่งคนหนึ่ง จบแค่ปวส. และแม้ฐานะทางการเงินจะไม่ได้ดีมากนัก ก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก ส่งลูกทั้งคู่เรียนโรงเรียนอนุบาลก็เอกชน และดันลูกมั้งคู่สอบเข้าเรียนในโรงเรียนสาธิตชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯได้ (ให้อยู่ในมหาวิทยาลัยที่ตัวแม่เองทำงาน) คนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ อาจจะทราบกันแล้วว่าการที่แม่ต้องส่งลูกทั้งสองคนเข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังนั้น มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทำให้แม่กลายเป็นคนเข้มงวดเรื่องการใช้เงินไปโดยปริยาย

ประเด็นคือเรื่องปัญหาป๊ากับแม่ทะเลาะกันเนี่ยแทบจะเป็นเรื่องรองได้เลย เพราะปัญหาสำคัญที่สุดคือน้องสาวของผม ไม่รู้ว่าเหมือนบ้านอื่นๆหรือเปล่า ลักษณะครอบครัวเราก็คือป๊าโอ๋ลูกสาว แม่โอ๋ลูกชาย ถึงแม้จริงๆทั้งคู่จะรักลูกเท่ากัน แต่ก็มีบางเหตุการณ์ในวัยเด็กที่ทำให้เห็นว่ามันเป็นประมาณนี้จริงๆ แม้ต่อมาพอโตมันจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะแบบนั้นแล้วก็ตาม แต่น้องสาวผมมันก็จะมีความฝังใจบางอย่างที่คิดว่าแม่รักลูกไม่เท่ากัน ผิดกับผมที่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจว่าใครจะรักใครมากกว่ากัน

น้องผมมันเป็นคนเรียนในระดับดีนะ ผิดกับผม ที่การเรียนออกไปทางกลางค่อนต่ำ แต่นิสัยแย่ๆของมันเริ่มออกมาตั้งแต่สมัยประถมปลาย 9-10 ขวบ เป็นคนที่เอาแต่ใจมาก ทั้งเราและแม่ พูดดีๆก็ไม่หยุดนิสัยแย่ๆ พอดุด่าไปก็เริ่มทวีความรุนแรง ส่วนป๊านะหรอไม่ยุ่ง แต่ก็มีบางครั้งที่มันทะเลาะกับป๊ารุนแรงมากช่วงม.ต้น ม.ปลาย จนป๊าจะตีมัน จนแม่ต้องมาห้าม นั่นทำให้มันเริ่มไม่ค่อยชอบป๊า ไม่พูดกับป๊า ผมเองก็ยอมรับตามตรงว่าช่วงวัยมัธยมผมก็มีทะเลาะรุนแรงกับมัน ถึงขั้นลงไม้ลงมือ หยุมหัว ตบหน้า เพราะวินาทีนั้นผมเองก็เหลืออดเหมือนกัน แม้จะเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ผมก็ไม่รู้นะว่าสังคมเพื่อนของมันเป็นยังไง แต่คนแบบนี้ก็มักจะมีนิสัยประเภท อยู่บ้านเป็นแบบนึง อยู่โรงเรียนเป็นแบบนึง จะบอกว่าช่วงวัยมัธยมบ้านเราแทบจะลุกเป็นไฟ ทะเลาะกันแทบทุกวัน ไม่แม่กับป๊า ก็ผมกับแม่ แม่กับน้อง ป๊ากับน้อง หรือผมกับน้อง หาความสงบสุขแทบไม่ได้

พอเข้ามหาวิทยาลัย นิสัยมันก็เริ่มแย่ขึ้นมาก ส่วนมากก็เป็นเรื่องนิสัยเอาแต่ใจเป็นที่ตั้งเหมือนเดิม ไปทะเลาะกับป๊ากับแม่บ่อยครั้งขึ้น ทะเลาะกับผมด้วยยิ่งช่วง ปี2-3 ผมทะเลาะกับมันหนักมาก ผมโกรธมากถึงขั้นไม่พูดด้วยนานเป็นปีกว่าเลย ซึ่งมันก็ไม่ได้มาง้อผมหรอก ในระหว่าง 1 ปีที่ผมไม่พูดกับมันแม้แต่คำเดียว ก็ยังคงมีเสียงทะเลาะอยู่ก็คือป๊ากับแม่ทะเลาะกัน และแม่กับน้องก็ทะเลาะกันบ้างทั้งๆที่แม่พยายามประนีประนอมอย่างมากที่สุดแล้ว เพราะน้องไม่พูดคุยกับผม บอกตามตรงช่วงเวลา 1 ปีที่ผมไม่ต้องคุยกับมันนั้นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่าผมสงบสุขขึ้นอย่างมาก แม้จะมีเรื่องให้ทะเลาะกับแม่บ้างประปรายเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ก็แม่นั่นแหละที่ไม่ต้องการเห็นพี่น้องทะเลาะกันขั้นแตกหักกัน แม่ทุกข์ใจแล้วมาบอกให้ผมไปคืนดีกับน้องอยู่บ่อยครั้ง ก็เลยต้องเป็นคนมาคอยประสานให้ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่แม่คิดถูกหรือคิดผิด เพราะแม้จะมีการจับเข่านั่งพูดคุยพร้อมกัน 4 คน สุดท้ายผ่านไปไม่กี่วันก็มีปัญหาให้ต้องทะเลาะเหมือนเดิม นิสัยของมันก็เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย 

จนกระทั่งผมเรียนจบ ซึ่งช่วงนั้นอยู่ในช่วงโควิด ผมมีโอกาสได้ไปทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด 1 ปีเต็ม ผมมีความสุขมาก ที่ได้อยู่ตัวคนเดียวที่ต่างจังหวัด ไม่มีเรื่องวุ่นวาย แต่แม่ก็ยังมาระบายใน LINE ให้ฟังอยู่ตลอด ว่ามีเรื่องทะเลาะกันแทบทุกวัน แม่ก็ต้องอยู่กับมันไปแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผมก็อดสงสารแม่ไม่ได้ เพราะผมเคยเห็นแม่ร้องไห้ระบายให้ผมฟังหลายครั้งแล้ว ก่อนที่จะไปต่างจังหวัด ไม่ใช่ว่าผมไม่ร้องนะ เพราะหลายครั้งเองผมก็เหนื่อยมากและร้องไห้เสียใจและเฝ้าภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เรื่องแย่ๆนี้มันจบลง จนสิ่งศักดิ์สิทธิ์พึ่งไม่ได้ก็โกรธถึงขั้นต้องสาปแช่งให้มันตายๆไปเสีย 

จนกระทั่งกลับมาหางานทำต่อในกรุงเทพฯ น้องผมก็เรียนจบป.ตรีพอดี มันหางานทำได้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่นิสัยมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงมีนิสัยแย่เอาแต่ใจอยู่ตลอด เหมือนทำตัวไม่รู้จักโตทั้งๆที่เรียนก็ดี จบการศึกษาก็สูง ไม่รู้ว่าอะไรที่หล่อๆหลอมมันให้กลายเป็นคนที่นิสัยย่ำแย่ขนาดนี้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ทำตัวเนรคุณต่อพ่อแม่ หยาบคายใส่พ่อแม่ ทำร้ายจิตใจพ่อแม่แทบทุกวัน กับผมเองก็ยังคงทะเลาะกันสม่ำเสมอ ก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับมันแล้ว ใช้แต่ความรุนแรงทางวาจา ซึ่งผมแทบไม่ได้ด่าหยาบคายใส่นะ จะเป็นลักษณะด่าว่าแบบเชือดเฉือนให้รู้สำนึก แต่มันไม่ได้ผลอะไรเลยไง

ความเอาแต่ใจของมันเป็นชนิดที่ว่ามันถูกทุกๆอย่าง คนอื่นผิดหมด มันมาว่าเราว่าเราผิดอย่างนั้นอย่างนี้ พอเราแย้งโต้กลับไปว่ามันก็เคยทำแบบนี้ มันจะอ้างแบบหน้าด้านๆว่าก็ไม่เห็นมีใครแย้งตอนนั้น เหตุผลอะไรใช้กับมันไม่ได้เลย เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำเหมือนโลกหมุนรอบตัวเอง อยู่บ้านก็เปิดทีวีเสียงดัง ทั้งที่บ้านเป็นทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งผมเกรงใจเพื่อนบ้านในละแวกมาก ทั้งยังไล่คนอื่นขึ้นไปข้างบนไปข้างนอก เพราะจะดูทีวี ดูดาราศิลปินเกาหลีที่ชอบร้องเพลง ผมบอกให้มันอยู่ใน iPad ดูในมือถือ แล้วใส่หูฟัง มันก็ไม่ชอบมันจะดูในทีวีจอใหญ่ๆ อีกประเด็นคือทำงานมีเงินแล้วก็ไม่ใช้เงินตัวเองนะ ให้แม่ซื้อนั่นซื้อนี่ให้กินอยู่เสมอ ส่วนเงินตัวเองก็ซื้อของปรนเปรอตัวเองเอาเงินไปคอนเสิร์ต เอาเงินไปทำหน้า ซึ่งบอกตรงๆเลยนะครับว่าผิดกับผม ผมตั้งแต่ทำงานผมไม่ขอเงินพ่อแม่แล้ว ทั้งยังส่งเงินให้พ่อแม่อีก แล้วงานบ้านมันก็ไม่ช่วยทำด้วย ต่อให้มันกวาดบ้าน มันก็จะกวาดแค่เฉพาะจุดที่มันกินนอน กับข้าวมันก็ไม่ทำกินเอง อ้างว่าครัวหลังบ้านมันไม่อยากไปเพราะมีจิ้งจกตุ๊กแกแมลงสาบ กินเสร็จก็ทิ้งไว้อย่างนั้นจานชามไม่ล้าง บอกตรงๆว่ามีเรื่องอีกเยอะจะพูดแต่พูดไม่หมดเหนื่อย

ล่าสุดมันก็ทะเลาะกับป๊า ทะเลาะรุนแรงมาก แล้วป๊าก็เป็นคนที่นิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือโกรธก็มักจะพูดอะไรสงเดชออกมาก่อน พูดออกมาว่าจะเลิกขายของและกลับไปอยู่บ้านอาม่าที่ต่างจังหวัด มันก็เลยไล่ป๊าเลย คิดดูลูกไล่พ่อออกจากบ้าน ซึ่งเป็นบ้านพ่อแท้ๆ ป๊าจะไม่ไปมันก็จะพูดประมาณว่าแบบผิดคำผูด เสียหมา มันด่าว่าป๊าแต่อย่างแรงมาก หยาบคายมาก ทำให้ป๊าก็ไปอยู่บ้านอาม่าที่ต่างจังหวัดจริงๆ แต่ต่อมาป๊าก็ต้องกลับมาที่กรุงเทพฯด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพ ซึ่งท่าทีของมันต่อป๊าคือมันทำเป็นรังเกียจป๊าไม่พูดด้วย แถมยังพูดแซะแดกดัน ประมาณว่าที่ป๊าป่วยก็เพราะป๊าทำตัวเอง (คือมันเป็นเรื่องจริงแหละที่ป๊ากินหวานเค็มมัน จนป่วยเป็นความดัน ทั้งยังเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ)

มีหลายครั้งที่ผมอยากจะพิมพ์หลายครั้งมากที่อยากจะระบาย อยากจะประจานให้โลกได้รู้ ความชั่วความเลวของมัน ที่มันสร้างแต่สงครามประสาทตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมกับแม่ก็เคยพูดกันหลายครั้งว่ารอให้แม่เกษียณ แม่ก็เอาเงินเก็บไปปลูกบ้านที่ต่างจังหวัดอยู่กับป๊ากัน 2 คนไป และตัดขาดมันไปได้ก็ดี เพราะผมเคยด่ามันถึงขั้นว่าไม่ต้องการให้มันมาเผาผีกัน ผมก็รอทำงานเก็บเงินสักพักแล้วเดี๋ยวจะรอย้ายไปหางานทำต่างจังหวัดหรือไปอยู่ส่วนอื่นของกรุงเทพฯ บ้านถ้ามันอยากได้นักก็ให้มันอยู่บ้านนี้ไป เพราะดูทรงแล้ว ถ้าป๊ากับแม่ตายไป มีปัญหาเรื่องมรดกแน่ ตอนเด็กๆทำเป็นพูดว่าจะทำงานหาเงินสร้างบ้านให้แม่ แต่ตอนนี้คือกลับกันเลย

ยิ่งอย่างวันนี้ที่ทะเลาะกันรุนแรงมาก จนเป็นเหตุให้ผมต้องมาพิมพ์ระบาย คือเหตุอ่ะมันแค่แม่ซื้อหมูปิ้งมาให้มันกิน (ซึ่งมันมาโวยวายแต่เช้าว่าอยากกินหมูปิ้ง) แต่แม่ก็ซื้อเนื้อย่างมาด้วย 2 ไม้ ก็กะว่าจะให้มันกินหมูปิ้งเพราะมันพูดขอแค่หมูปิ้ง แต่มันก็มาเล่นสงครามประสาทใส่ เพราะว่าผมกับแม่กินเนื้อไปแล้วคนละไม้ มันมาว่าแม่ว่าไม่แบ่งเนื้อให้มัน มันได้กินแต่หมู คือเรื่องมากและเอาแต่ใจอย่างมาก โตจนป่านนี้แล้วยังมีเรื่องประเภทนี้มาพูดออกมาจากปากมันอีก เงินก็เงินแม่ซื้อมาให้ มันไม่ได้ออกสักบาท ไอ้เราก็หงุดหงิดโมโหมากเพราะว่ามาเป็นประเด็นด้วยเรื่องที่ประสาทปัญญาอ่อนมาก ก็เลยสนองให้มันอยากเล่นสงครามประสาทมากูก็จะเล่นด้วย ทะเลาะกับมันซะเลย สุดท้ายมันควบคุมตัวเองไม่ได้มันโยนจานข้าวแตก ผมเลยด่ามันไป แล้วก็ว่าจะไม่พูดกับมันด้วยอีกแล้ว คือเหนื่อยกับคนแบบนี้มากไม่รู้จักโต คือผมรอแค่ให้มันเป็นบ้าจนทำร้ายร่างกายคนในบ้านผมจะรอแจ้งความจับมัน แต่มันก็เล่นแต่สงครามประสาทใส่ไง กฎหมายทำอะไรมันไม่ได้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ เรื่องการทำลายข้าวของอะ ผมบอกให้พ่อแม่แจ้งความฐานทำให้ทรัพย์สินเสียหาย แม่ก็ไม่อยากแจ้งความลูกให้มีคดีติดตัวไป ใจจริงผมอยากแจ้งให้มันจบๆให้มันมีตำรวจคนกลางมาไกล่เกลี่ย มันจะได้รู้สึกบ้างว่าทำชั่วแบบนี้ มันจะต้องมีบทเรียนที่ต้องได้รับ คือไม่ใช่แม่ไม่โกรธนะ แม่เป็นประเภทโกรธแล้วก็เดี๋ยวก็ต้องทำใจ อะไรของแม่ก็ไม่รู้ อารมณ์คนเป็นแม่ละมั้ง ผมก็เข้าไม่ถึงหรอก ทั้งที่โกรธจนถึงขั้นบอกว่ารู้งี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เกิด แต่แม่ก็ได้แค่พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องมีเรื่องทะเลาะกันทุกวี่วันเหมือนเดิม ที่สำคัญนะเรื่องบาปบุญคุณโทษใช้ไม่ได้กับมัน เคยส่งหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับเรื่องบทบาทหน้าที่ของลูกต่อพ่อกับแม่ให้มันอ่านในไลน์ ว่าที่ทำแบบนี้ไม่ถูกไม่ควรนะ มันไม่สนใจ คือมันแยกแยะผิดชอบชั่วดี อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ไม่ได้เลย หรือต่อให้รู้ มันก็ไม่สนใจ เห็นครอบครัวคนอื่นลูกรักพ่อรักแม่ พี่น้องรักกัน ก็ได้แต่อิจฉา ตอนนี้คือเฝ้ารออีกแค่ไม่กี่วันที่แม่จะเกษียณจะได้เริ่มดำเนินการปลูกบ้านที่ต่างจังหวัด (ก็ไม่รู้ว่าตกลงแม่กับป้าจะทำเรื่องแบบนี้ไหม เพราะมันก็ใช้เงินมหาศาลอยู่) และออกไปจากที่นี่ซะ ปล่อยให้มันอยู่คนเดียวเอาชีวิตรอดคนเดียว เพราะทุกวันนี้มันพึ่งพาแม่เป็นหลัก เพราะต่อให้ผมอยู่กรุงเทพฯทำงานอยู่ที่นี่ และอยู่บ้านเดียวกับมัน ผมก็จะไม่ยุ่ง ซึ่งถ้าเหลืออดมากๆผมก็จะทิ้งทุกอย่างและหนีไปเหมือนกัน

หลายคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะคิดว่าผมเป็นคนพิมพ์จะใส่สีตีไข่ยังไงก็ได้ เพราะลักษณะที่เขียนให้ผมเป็นสีขาว ส่วนน้องเป็นสีดำ ทั้งนี้มันก็แล้วแต่วิจารณญาณของทุกท่าน ผมไม่ได้บังคับให้คิดว่าผมเป็นลูกที่ดีประเสริฐอะไรขนาดนั้น ผมก็เทาๆ ทุกคนในบ้านเทาๆหมด แต่ทุกคนมีเฉดสีต่างกันอยู่แล้ว เรื่องดีของน้องผมมันก็มีทแต่มีน้อยไงน้อยมากด้วย น้อยจนเรื่องชั่วมันกลบหมด เพราะฉะนั้นก็อยากให้อ่านแบบไม่ต้องไปอะไรกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ใครให้คำแนะนำเชิงบวกได้ก็แนะนำ ใครมีประสบการณ์ลักษณะคล้ายคลึงกันอยากระบายก็ระบายได้ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ

ป.ล. เรื่องที่จะให้ไปพบนักจิตวิทยาครอบครัว เคยคุยกับแม่แล้ว แม่ไม่เอา อ้างว่าช่วยไม่ได้ มันไม่ให้ความร่วมมือหรอก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่