- ดูจบ ชอบมาก ถึงสารของหนังที่พรรณนามา 2 ชั่วโมง 18 นาที จะทารุณจิตใจจนเจ็บปวดไปทุกอณุแต่สิ่งที่สื่อมาทั้งมวลภายใต้การกำกับของ July Jung นั้น มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบันที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อไม่ว่าจะอยู่ Status ไหน ? คนคือส่วนหนึ่งในระบบที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในโลกทุนนิยม มีเงินเป็น item สำคัญในการช่วงชิงและแลกเปลี่ยนสิ่งที่อยากได้ ไม่ว่าจะเป็น ตัวสินค้า , ตำแหน่ง , หรือกระทั่งใจคนให้คล้อยไปตามกลไกที่เต็มไปด้วยกิเลสจากเจ้านายและเพื่อนร่วมงานให้เกิดการชิงดีกันเป็นที่ 1 ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกเล่าผ่านตัวละคร 2 คนอย่าง โซฮี นักเรียนชั้นมัธยมปลาย กับ โอยูจิน สารวัตรแผนกกองสืบสวน โดยแบ่งครึ่งหน้ากระดาษออกไปว่า Part แรกให้น้อน โซฮี โซโล่ยาว ๆ เพราะ Topic จ่าถึงตัวน้อน ส่วน Part หลังจากนั้นจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ๊ โอยูจิน ทำหน้าที่เก็บงานที่น้อนได้ทิ้งปมไว้
- ภาพรวมดูง่าย จูนติดได้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่น่าเบื่อ ถึงมีประเด็นที่หนักแน่นไปกับสารที่เกี่ยวโยงกับสังคมหรือการเมืองแต่ไม่ได้รู้จักมักจี่ในวัฒนธรรมเกาหลีใต้แต่ในฐานะที่เป็นคนชนชั้นแรงงานด้วยกันจึงนึกภาพตามได้ไม่ยากว่ามันโหดร้ายจริง ๆ ช่วงแรกจะเล่าไปที่ Life ของ โซฮี เรื่อย ๆ ให้เรารู้จักจนพอได้เป็นนักศึกษาฝึกงานบริษัทชื่อดังที่ครูประจำชั้นแจ้งไว้ แต่พอเข้าไปปรากฎว่า อ้าวเฮ้ย ! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา เท่านั้นแหล่ะหนังก็เริ่มเข้าสู่ Loop ของการทำงานที่มีสภาพแวดล้อมไม่ต่างกับนรกบนดิน เปลี่ยนจากสาวน้อยล่าฝันกลายเป็นเครื่องจักรรับใช้นายทุนจนถึงวาระสุดท้าย พอถึงครึ่งหลังที่ตัว โอยูจิน รับช่วงต่อยังมีการฉายภาพโครงสร้างซ้ำในที่ทำงานของเธอพร้อมกับเดินหน้าสืบคดีต่อปรากฎว่ายิ่งสาวก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ในสิ่งที่ตัว โซฮี ถูกกระทำ หรือตัว โอยูจิน กำลังเผชิญกับความผิดปกติในความปกติของระบบองค์รวม
- เหมือนผู้กำกับรู้ว่าพวกคงอึดอัดใจมากเลยจัด Scene เด็ด ๆ ไป 3-4 Scene แทนคำเรียกร้อง อย่างเช่น ตอนที่ โซฮีเดินไปด่าใส่ลูกค้าชายที่ต่อว่าเพื่อนของเธอขณะ Live ในร้านอาหาร หรือ ต่อยใส่หน้าผู้จัดการคนใหม่จนร่วงไปกับพื้น กระทั่ง ตอนที่ โอยูจิน ต่อยใส่หน้าผอ.โรงเรียนจนร่วงไปกับพื้นอีกคน ผมนี้โอ Yes ด้วยความสะใจ แต่เสียดายในตอนที่โอยูจินตวาดใส่หัวหน้า ที่วัน ๆ เอาแต่จับผิดแล้วยืนด่าฉอด ๆ ตามสันดานอำนาจนำแล้วเดินออกไป ถ้าสาวหมัดซักป๊าปจะสาแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการแสดงที่เล่นน้อยแต่ให้มากของ 2 สาวอย่าง Kim Si-Eun กับ Bae Doona นอกจากคุมเรื่องได้อยู่หมัดแล้วยังสะท้อนถึงสภาวะอารมณ์ของตัวละครที่ถูกระบบกดขี่กับการส่งต่อความเกาหลีเฉยเป็นทอด ๆ คล้ายกับกะลาคนดีย์ยังไงยังงั้น ?
- จะเห็นว่าตัวละครสมทบที่อยู่รายล้อม โซฮี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสาว ที่ปล้ำแต่ไปก๊งเหล้าแล้วถ่าย Clip ลง Social , แฟนหนุ่ม ที่พยายามโชว์ความเป็นชายปกป้องสาวจนถูกเพื่อนร่วมงานแกล้ง กระทั่งพ่อแม่ ที่เอาแต่นั่งสุมหัวแดกข้าวบนโต๊ะอาหารนั้น ไม่มีใครใส่ใจจริงว่าเธอเจออะไรมาบ้าง ? จนในวันที่สายไปเพิ่งจะมารู้สึก มีเพียง โอยูจิน ที่พยายามสืบสาวหารอยที่โซฮีทิ้งเป็น Footprint ตามที่ต่าง ๆ จนค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในความรู้สึกจนนำไปสู่บทสรุปที่เย็นชาแต่ทรงพลังอย่างลุ่มลึกในแง่ความ Real ของสารจนพูดไม่ออกว่ามันโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ คนนึง บางทีการพูดให้กำลังใจหรือสร้างเสียงหัวเราะแค่นี้ไม่พอ สำคัญคือต้อง Action ให้เขาเห็นด้วยว่า เอ่อ กูพร้อมจะช่วยเหลือจริง ๆ ไม่ใช่นั่งฟังเขาระบายจบแล้วพูดแค่ว่า สู้ ๆ เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นสะบัดตูดไป ไอ้ชิหาย
- ถึงบทสรุปจะทราบแก่ใจว่าจะจบแบบไหน ? แต่ก่อนจะถึงนั่งลุ้นว่าจะทำสำเร็จมั้ย ? ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แต่พอหนังเลือกตัดจบไปแล้วปล่อยให้คนดูคิดต่อด้วยจอสีดำแล้วเทรายชื่อผู้มีส่วนร่วมยาว ๆ สำหรับผมพอใจที่เป็นแบบนี้ เพราะ โลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถึงระหว่างดูจะหมั่นไส้กับการใช้อำนาจของบรรดาหัวหน้าแต่ละคน แต่เมื่อ (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ) ดูแล้วก็เข้าใจเลยว่าคนเหล่านั้นต้องแสดงตามหัวโขนที่เป็น เพราะระบบโครงสร้างมันกำหนดให้เป็นแบบนั้น อยู่ที่กมลนิสัยหรือการวางตัวว่าเหมาะสมต่อกฎส่วนรวมหรือไม่ ? ถึงมันยากที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในเร็ววันเพราะการส่งต่อชุดความคิดที่ไม่ได้ผ่านการหือจากรุ่นสู่รุ่นมานานจนชิน พอจะตั้งคำถามแต่ละทีก็ถูกกล่าวหาต่อต้านทั้งที่มันเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของคน แต่การเริ่มต้นเอะใจกับความผิดปกติก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.118 Next Sohee (2022) : ต้องสังเวยอีกกี่ราย ถึงจะสาแก่ใจนาย ?
- ดูจบ ชอบมาก ถึงสารของหนังที่พรรณนามา 2 ชั่วโมง 18 นาที จะทารุณจิตใจจนเจ็บปวดไปทุกอณุแต่สิ่งที่สื่อมาทั้งมวลภายใต้การกำกับของ July Jung นั้น มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบันที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อไม่ว่าจะอยู่ Status ไหน ? คนคือส่วนหนึ่งในระบบที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในโลกทุนนิยม มีเงินเป็น item สำคัญในการช่วงชิงและแลกเปลี่ยนสิ่งที่อยากได้ ไม่ว่าจะเป็น ตัวสินค้า , ตำแหน่ง , หรือกระทั่งใจคนให้คล้อยไปตามกลไกที่เต็มไปด้วยกิเลสจากเจ้านายและเพื่อนร่วมงานให้เกิดการชิงดีกันเป็นที่ 1 ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกเล่าผ่านตัวละคร 2 คนอย่าง โซฮี นักเรียนชั้นมัธยมปลาย กับ โอยูจิน สารวัตรแผนกกองสืบสวน โดยแบ่งครึ่งหน้ากระดาษออกไปว่า Part แรกให้น้อน โซฮี โซโล่ยาว ๆ เพราะ Topic จ่าถึงตัวน้อน ส่วน Part หลังจากนั้นจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ๊ โอยูจิน ทำหน้าที่เก็บงานที่น้อนได้ทิ้งปมไว้
- ภาพรวมดูง่าย จูนติดได้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่น่าเบื่อ ถึงมีประเด็นที่หนักแน่นไปกับสารที่เกี่ยวโยงกับสังคมหรือการเมืองแต่ไม่ได้รู้จักมักจี่ในวัฒนธรรมเกาหลีใต้แต่ในฐานะที่เป็นคนชนชั้นแรงงานด้วยกันจึงนึกภาพตามได้ไม่ยากว่ามันโหดร้ายจริง ๆ ช่วงแรกจะเล่าไปที่ Life ของ โซฮี เรื่อย ๆ ให้เรารู้จักจนพอได้เป็นนักศึกษาฝึกงานบริษัทชื่อดังที่ครูประจำชั้นแจ้งไว้ แต่พอเข้าไปปรากฎว่า อ้าวเฮ้ย ! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา เท่านั้นแหล่ะหนังก็เริ่มเข้าสู่ Loop ของการทำงานที่มีสภาพแวดล้อมไม่ต่างกับนรกบนดิน เปลี่ยนจากสาวน้อยล่าฝันกลายเป็นเครื่องจักรรับใช้นายทุนจนถึงวาระสุดท้าย พอถึงครึ่งหลังที่ตัว โอยูจิน รับช่วงต่อยังมีการฉายภาพโครงสร้างซ้ำในที่ทำงานของเธอพร้อมกับเดินหน้าสืบคดีต่อปรากฎว่ายิ่งสาวก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ในสิ่งที่ตัว โซฮี ถูกกระทำ หรือตัว โอยูจิน กำลังเผชิญกับความผิดปกติในความปกติของระบบองค์รวม
- เหมือนผู้กำกับรู้ว่าพวกคงอึดอัดใจมากเลยจัด Scene เด็ด ๆ ไป 3-4 Scene แทนคำเรียกร้อง อย่างเช่น ตอนที่ โซฮีเดินไปด่าใส่ลูกค้าชายที่ต่อว่าเพื่อนของเธอขณะ Live ในร้านอาหาร หรือ ต่อยใส่หน้าผู้จัดการคนใหม่จนร่วงไปกับพื้น กระทั่ง ตอนที่ โอยูจิน ต่อยใส่หน้าผอ.โรงเรียนจนร่วงไปกับพื้นอีกคน ผมนี้โอ Yes ด้วยความสะใจ แต่เสียดายในตอนที่โอยูจินตวาดใส่หัวหน้า ที่วัน ๆ เอาแต่จับผิดแล้วยืนด่าฉอด ๆ ตามสันดานอำนาจนำแล้วเดินออกไป ถ้าสาวหมัดซักป๊าปจะสาแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการแสดงที่เล่นน้อยแต่ให้มากของ 2 สาวอย่าง Kim Si-Eun กับ Bae Doona นอกจากคุมเรื่องได้อยู่หมัดแล้วยังสะท้อนถึงสภาวะอารมณ์ของตัวละครที่ถูกระบบกดขี่กับการส่งต่อความเกาหลีเฉยเป็นทอด ๆ คล้ายกับกะลาคนดีย์ยังไงยังงั้น ?
- จะเห็นว่าตัวละครสมทบที่อยู่รายล้อม โซฮี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสาว ที่ปล้ำแต่ไปก๊งเหล้าแล้วถ่าย Clip ลง Social , แฟนหนุ่ม ที่พยายามโชว์ความเป็นชายปกป้องสาวจนถูกเพื่อนร่วมงานแกล้ง กระทั่งพ่อแม่ ที่เอาแต่นั่งสุมหัวแดกข้าวบนโต๊ะอาหารนั้น ไม่มีใครใส่ใจจริงว่าเธอเจออะไรมาบ้าง ? จนในวันที่สายไปเพิ่งจะมารู้สึก มีเพียง โอยูจิน ที่พยายามสืบสาวหารอยที่โซฮีทิ้งเป็น Footprint ตามที่ต่าง ๆ จนค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในความรู้สึกจนนำไปสู่บทสรุปที่เย็นชาแต่ทรงพลังอย่างลุ่มลึกในแง่ความ Real ของสารจนพูดไม่ออกว่ามันโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ คนนึง บางทีการพูดให้กำลังใจหรือสร้างเสียงหัวเราะแค่นี้ไม่พอ สำคัญคือต้อง Action ให้เขาเห็นด้วยว่า เอ่อ กูพร้อมจะช่วยเหลือจริง ๆ ไม่ใช่นั่งฟังเขาระบายจบแล้วพูดแค่ว่า สู้ ๆ เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นสะบัดตูดไป ไอ้ชิหาย
- ถึงบทสรุปจะทราบแก่ใจว่าจะจบแบบไหน ? แต่ก่อนจะถึงนั่งลุ้นว่าจะทำสำเร็จมั้ย ? ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แต่พอหนังเลือกตัดจบไปแล้วปล่อยให้คนดูคิดต่อด้วยจอสีดำแล้วเทรายชื่อผู้มีส่วนร่วมยาว ๆ สำหรับผมพอใจที่เป็นแบบนี้ เพราะ โลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถึงระหว่างดูจะหมั่นไส้กับการใช้อำนาจของบรรดาหัวหน้าแต่ละคน แต่เมื่อ (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ) ดูแล้วก็เข้าใจเลยว่าคนเหล่านั้นต้องแสดงตามหัวโขนที่เป็น เพราะระบบโครงสร้างมันกำหนดให้เป็นแบบนั้น อยู่ที่กมลนิสัยหรือการวางตัวว่าเหมาะสมต่อกฎส่วนรวมหรือไม่ ? ถึงมันยากที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในเร็ววันเพราะการส่งต่อชุดความคิดที่ไม่ได้ผ่านการหือจากรุ่นสู่รุ่นมานานจนชิน พอจะตั้งคำถามแต่ละทีก็ถูกกล่าวหาต่อต้านทั้งที่มันเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของคน แต่การเริ่มต้นเอะใจกับความผิดปกติก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้