JJNY : 5in1 จัดงบสะเปะสะปะ│ทนายอั๋นร้องก.ยุติธรรม│หวั่นน้ำท่วมลากยาว│จับตา'ไต้ฝุ่นยางิ'│หลายมณฑลในจีนเดือนส.ค.ร้อนจัด

ประชาชน เตรียมถล่มงบ 68 ดิจิทัลวอลเล็ต ซอฟต์พาวเวอร์ กลาโหม ซัด จัดงบสะเปะสะปะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4769304
 
 
“ศิริกัญญา” เผย “ปชน.” เตรียมถล่มงบ ’68 ทั้ง “ดิจิทัลวอลเล็ต-ซอฟต์พาวเวอร์-กลาโหม” ซัดยังจัดสรรงบแบบสะเปะสะปะ ยัน 143 ส.ส.พรรคประชาชน โหวต “ไม่เห็นชอบ”

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาชน (ปชน.) เปิดเผยถึงการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วาระ 2 และ 3 ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายนว่าในส่วนของพรรค ปชน.จะมีการอภิปรายไล่เลียงตามมาตราเนื้อหาของร่างกฎหมาย และมีการจัดประเด็นในการอภิปราย ซึ่งหัวข้อใหญ่ๆ ในการอภิปรายหนีไม่พ้นประเด็น ดิจิทัลวอลเล็ต ซอฟต์พาวเวอร์ และงบกระทรวงกลาโหม รวมทั้งประเด็นความท้าทายใหม่ ที่จนแล้วจนรอดยังไม่ปรากฏ ทั้งนี้เห็นว่า การจัดงบประมาณครั้งนี้เป็นการจัดอย่างสะเปะสะปะ เช่น การอัพสกิลรีสกิล ดังนั้นจะต้องไล่ไปตามมาตรา และแต่ละมาตราก็จะมี ส.ส.อภิปรายในโครงการที่เกี่ยวข้อง

นางสาวศิริกัญญากล่าวต่อว่า การอภิปรายงบครั้งนี้ ส.ส.ของ ปชน.แต่ละคนจะได้เวลาอภิปรายคนละ 7 นาที คาดว่าตลอดทั้ง 3 วัน จะมีผู้อภิปรายเต็มที่ และจะโหวตในวาระ 3 ว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างงบฯทั้งฉบับในค่ำวันที่ 5 กันยายน

แนวทางการโหวตของของ ส.ส. 143 คนของ ปชน. ก็เป็นแนวทางเดิมที่เคยปฏิบัติมา คือไม่ให้ความเห็นชอบ เนื่องจากในรายละเอียดนั้นยังมีการปรับลดที่ไม่สมเหตุสมผล อะไรที่ควรลดก็ยังไม่มีการปรับลด และที่สำคัญจะต้องใช้หนี้ธนาคารของรัฐ ทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน และยังมีการโอนให้ โครงการดิทัลวอลเล็ตจำนวน 35,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ก็ได้เพียง 180,000 กว่าล้านบาทยังไม่เพียงพอที่จะแจกเงิน 10,000 บาท ให้ครบทั้ง 45 ล้านคนตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายเอาไว้” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

ส่วนความชัดเจนของเสียงพรรคฝ่ายค้านนั้น นางสาวศิริกัญญากล่าวว่า ต้องรอให้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นถึงจะมีความชัดเจนว่า พรรคใดกลุ่มใด อยู่ในส่วนของพรรคฝ่ายค้านบ้าง รวมถึงการเสนอชื่อผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯคนใหม่ คือนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน.ก็ต้องรอกระบวนการโปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่เสร็จสิ้นก่อน.



ทนายอั๋น ร้องก.ยุติธรรม สอบปม เสรีพิศุทธ์ แฉพบทักษิณชั้น14 ทวี ชี้ พร้อมรับข้อมูล
https://www.matichon.co.th/politics/news_4769299

ทนายอั๋น ร้องก.ยุติธรรม สอบ เสรีพิศุทธ์ แฉปมพบทักษิณชั้น14 ทวี ชี้ พร้อมรับข้อมูล

เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่กระทรวงยุติธรรม นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์  เดินทางมายื่นหนังสือถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาเปิดข้อมูลและแชตไลน์ ยืนยันการเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ ขณะนอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกมาระบุว่าตนเองได้เข้าพบนายทักษิณถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2566 และอีกครั้งในวันที่ 10 ก.พ.2567

นายภัทรพงศ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็น ปล่อยผ่านไม่ได้ กระทบและสร้างความเสียหายกับกระบวนการยุติธรรม มาตรฐานกระบวนการยุติธรรม อาจแปดเปื้อนถ้าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นจริง ซึ่งกระทรวงยุติธรรมต้องสั่งการตรวจสอบพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงนี้ให้ปรากฏ ว่าที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์พูดนั้น เป็นความจริงหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าเป็นจริงแล้ว ก็อยากให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เอาผิดกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษามาตรฐานกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย แต่ถ้าพิสูจน์ทราบแล้วเป็นเท็จ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ต้องรับโทษและถูกดำเนินคดี

ด้าน พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ พร้อมที่จะรับฟังข้อมูลจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อยู่แล้ว เราก็เปิดกว้าง ที่สำคัญกระบวนการนี้ ทางกรมราชทัณฑ์ก็ได้ไปชี้แจงกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่แล้ว เรามีหน่วยที่รับผิดชอบอยู่แล้วก็คือทาง ป.ป.ช.ก็ยินดีจะรับข้อมูล และคนยืนยันข้อมูลก็คือแพทย์  ต้องบอกว่าทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ชี้แจงไปแล้ว ในเรื่องของการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ตอนนี้ถ้ามีข้อมูลอะไรก็ขอให้ส่งมา ทางกระทรวงยุติธรรมพร้อมรับฟังและตรวจสอบ.



หอค้าไทย หวั่นน้ำท่วมลากยาว ชี้ยืดเยื้อ 1 เดือน กระทบศก. สูญหมื่นล้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4769506

หอค้าไทย หวั่นน้ำท่วมลากยาว ชี้ยืดเยื้อ 1 เดือน กระทบศก.สูญ 10,000 ล้าน
 
เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความกังวลของภาคเอกชนในการติดตามอัพเดตสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ซึ่งยังมีแนวโน้มที่ฝนจะตกเพิ่มอีกระลอก โดยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายกรณีสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่ภาคเหนือ เบื้องต้นประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.05% ของ GDP บนสมมุติฐาน ให้สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายภายใน 15 วัน
 
ทั้งนี้ จากการประเมิน พบว่าภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายถึง 7,168 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 89.6% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคบริการ เสียหาย 693 ล้านบาท (8.66%) และภาคอุตสาหกรรมเสียหาย 139 ล้านบาท (1.74%) โดยจังหวัดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ เชียงราย มีมูลค่าความเสียหายรวม 3,632 ล้านบาท รองลงมาคือ พะเยา 2,034 ล้านบาท และ
สุโขทัย 1,359 ล้านบาท0 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะฝนตกหลังเขื่อนที่อาจสร้างผลกระทบเพิ่มเติม

หากสถานการณ์ยืดเยื้อถึง 1 เดือน และขยายวงกว้างอาจเสียหายรวมกว่าหมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.06% ของ GDP ดังนั้น ในระยะสั้นหอการ
ค้าฯ เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้การสั่งการและมอบหมายนโยบายข้ามกระทรวงเกิดการบูรณาการการทำงานอย่างคล่องตัว และจะต้องเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ ตลอดจนปริมาณฝนที่คาดว่าจะมีการตกหลังเขื่อนในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมเพิ่มเติมได้ หากรัฐบาลมีแผนเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้าที่ชัดเจนก็จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจได้มาก” นายสนั่นกล่าว
 
นายสนั่นกล่าวว่า สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับปี 2554 หรือไม่ ส่วนนี้หอการค้าฯมองว่ามีความเป็นไปได้น้อย โดยประเมินจาก 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 

1. ปริมาณฝนสะสมปี 2567 น้อยกว่าปี 2554 โดยในปี 2554 มีปริมาณฝนสะสมทั้งปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 24% ขณะที่ปี 2567 มีปริมาณฝนสะสมตั้งแต่มกราคม-20 สิงหาคม ต่ำกว่าค่าปกติ 4% 

2. จำนวนพายุที่คาดว่าจะเข้าประเทศไทยปี 2567 น้อยกว่าปี 2554 โดยในปี 2554 มีพายุเข้าถึง 5 ลูก ขณะที่ปี 2567 คาดว่าจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่เข้าประเทศไทยเพียง 1-2 ลูก

3. ความสามารถในการรองรับน้ำของเขื่อนหลักปี 2567 ดีกว่าปี 2554 ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2567 เขื่อนหลัก 4 แห่ง มีปริมาณน้ำใช้การ 7,208 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 40% ของความจุ ยังรับน้ำได้อีก 10,967 ล้าน ลบ.ม. (เทียบกับปี 2554 ที่สามารถรับน้ำเพิ่มได้เพียง 4,647 ล้าน ลบ.ม.) แสดงว่าเขื่อนหลัก 4 แห่ง ยังมีความสามารถในการรองรับน้ำได้อีกมาก

4. แนวโน้มสถานการณ์น้ำในลำน้ำสายหลัก ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติถึงน้ำน้อย

และ 5. ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 แม่น้ำเจ้าพระยา ยังไม่มากเท่ากับปี 2554 ซึ่งปี 2567 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,307 ลบ.ม./วิ (คาดการณ์สูงสุด 2,860 ลบ.ม./วิ) เทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,284 ลบ.ม./วิ (ค่าสูงสุด 4,689 ลบ.ม./วิ)

ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์น้ำในปี 2567 มีความรุนแรงน้อยกว่าปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับปี 2554 แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญทันทีหลังสถานการณ์ระดับน้ำลดลงและเข้าสู่ภาวะปกติคือ การช่วยเหลือ ซ่อมแซม และฟื้นฟู ให้ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น ประชาชนที่บ้านจมหายหรือเสียหายทั้งหลังควรได้รับเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือ ส่วนของภาคธุรกิจ ก็ต้องเร่งสำรวจจัดลำดับความเสียหาย ซึ่งหอการค้าฯเห็นว่ารัฐบาลควรมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ เร่งจัดมาตรการทางการเงินช่วยเหลือ เช่น การพักชำระหนี้ การลดดอกเบี้ย หรือแม้แต่ Soft Loan เพื่อช่วยปรับปรุง ซ่อมแซม เครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว



จับตา 'พายุไต้ฝุ่นยางิ' กรมอุตุฯเตือน ภาคเหนือ-อีสาน เตรียมรับมือฝนตกเพิ่ม
https://ch3plus.com/news/social/ch3onlinenews/415221

พายุไต้ฝุ่นยางิทำไทยฝนตกเพิ่มในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และภาคอิสานตอนบน

ทีมกรุ๊ป คาดการณ์ สภาพอากาศ จากอิทะิพลของพายุไต้ฝุ่นยางิ ที่เปลี่ยนแนวบางส่วน เมื่อวานนี้ ( 1ก.ย.67) พบว่า พายุไต้ฝุ่นยางิ จะทำให้ฝนตกหนักมากที่ฟิลิปินส์ ไหหลำ เวียดนาม มลฑลยูนาน และกวางสีของจีน และทำให้ฝนตกเพิ่มขึ้นในภาคอิสาณตอนบน และภาคเหนือตอนบน 10 ถึง 11 กันยายน นี้

พายุไต้ฝุ่นยางิ (#11:Yagi=แพะญี่ปุ่น) ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ใกล้ฟิลลิปินส์ เป็นพายุลูกที่ 11 ของปีนี้ คาดว่าจะเคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ โดยวันที่ 1 ถึง 3 ก.ย. นี้ ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 และ 3 (แรงสูงสุด=5) ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากที่ภาคเหนือของฟิลิปปินส์ แล้วเปลี่ยนทิศเคลื่อนที่ไปทางตะวันตก

- วันที่ 5 ถึง 6 ก.ย. ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 4 เคลื่อนที่อยู่ในทะเลจีนใต้

- วันที่ 7 ก.ย. เคลื่อนที่ขึ้นฝั่งทำให้ฝนตกหนักมากที่ไหหลำ

- วันที่ 10 ถึง 11 ก.ย. เคลื่อนที่ขึ้นฝั่งที่ชายแดนเวียดนาม-จีน ทำให้ฝนตกหนักในตอนบนของเวียดนาม และตอนล่างสุดของมณฑลกวางสี และในพื้นที่ด้านตะวันออกของยูนาน

โดยจะมีผลต่อไทย จะมีผลทำให้ มีฝนตกเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ภาคอิสานตอนบน และรวมถึง มุกดาหาร อำนาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานีและศรีสะเกษ และภาคตะวันออก ได้แก่ระยอง จันทบุรี ตราด และ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก(ระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่