หลังจากสู้รบตบมือกับพวกชายชุดดำจนเกือบหน้าไหม้ แล้วก็ได้เสริฟฉากแฟนเซอร์วิสคู่ไคนันกับไฮบาระไปจนรันตกขอบจอในภาคที่แล้ว คราวนี้เหมือนเป็นหนังคนละม้วน เพราะในเดอะมูฟวี่ 27 “ปริศนาปราการ 5 แฉก” ครั้งนี้ มาในอารมณ์ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากความตึงเครียดมาเป็นความตลกปนโรแมนติกที่มีคู่ชูโรงในคราวนี้เป็นยอดนักสืบแห่งตะวันตกอย่าง “ฮัตโตริ เฮย์จิ” กับเพื่อนสาวคนสนิท “โทยามา คาสึฮะ” ที่ต่างฝ่ายก็ต่างคิดเกินเพื่อนไปไกลแล้ว
.
“ปริศนาปราการ 5 แฉก” เหมือนเป็นการรื้อฟื้นเดอะมูฟวี่ในอดีตมาผสมรวมกัน ทั้งการปรากฏตัวของ “จอมโจรคิด” ที่ชวนให้นึกถึง “ปริศนาพ่อมดคนสุดท้ายแห่งศตวรรษ” เดอะมูฟวี่ลำดับที่ 3 ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในภาคโรงครั้งแรกของคิดและเฮย์จิด้วย แต่ฝ่ายหลังไม่ได้มีบทบาทมากนัก ก่อนจะมีบทเต็มๆ สืบคดีร่วมกับโคนันใน “คดีฆาตกรรมแห่งเมืองปริศนา” เดอะมูฟวี่ลำดับที่ 7 ซึ่งมีอิทธิพลต่อภาคล่าสุดมาก เพราะมีส่วนที่คล้ายคลึงกันมากในเรื่องของการร่วมกันสืบคดีของโคนันและเฮย์จิ เส้นเรื่องรองของเฮย์จิและคาสึฮะ และการใช้ฉากหลังอย่างเกียวโต-โอซาก้า มาเป็นสถานที่หลักของเรื่อง รวมถึงสอดแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างโยชิสึเนะกับเบงเกเข้ามาเพิ่มอรรถรสด้วยเช่นกัน
.
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าโคนันเดอะมูฟวี่ถูกใช้เป็นสื่อในการถ่ายทอดซอฟต์พาวเวอร์ของญี่ปุ่นมาโดยตลอด และในคราวนี้เป็นทีของเมืองท่า “ฮาโกดาเตะ” (Hakodate) อยู่ในจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaidou) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น แน่นอนว่าสถานที่สำคัญอย่าง “ป้อมดาวห้าแฉกโกะเรียวคาคุ” (Goryōkaku) ที่เป็นชื่อภาคหลักในภาษาไทย และ “วิวล้านดอลลาร์” บนภูเขาฮาโกดาเตะที่เป็นชื่อภาคฉบับภาษาอังกฤษ ทั้งสองที่ถูกใช้เป็นแกนสำคัญในการเล่าเรื่องเหมือนเป็นตัวละครหลักเลยก็ว่าได้
.
เพราะนอกจากจะเป็นฉากหลังให้พวกโคนันและเฮย์จิได้พาผู้ชมประหนึ่งว่าเป็นไกด์นำเที่ยว ท่องไปตามที่ต่างๆ ของฮาโกดาเตะแล้ว(จนอยากไปเที่ยวตามรอยเลย) เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของปราการ 5 แฉก ก็ยังถูกเล่าให้กลายเป็นปริศนาหลักของเรื่องซึ่งพร้อมกันนั้นก็เชื่อมโยงไปยังซอฟต์พาวเวอร์อีกหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ทั้งเรื่องของดาบโบราณและปริศนากลอนไฮกุ(เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น) ที่โคนัน เฮย์จิ และจอมโจรคิดต้องไขปริศนาให้ได้ ซึ่งด้วยความที่สิ่งเหล่านี้มีความเป็นญี่ปุ่นแบบสุดๆ จึงต้องทำใจนิดนึงว่าตัวคำใบ้และปริศนาของเรื่องอาจจะต้องมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นพอสมควรถึงจะเข้าใจ(จริงๆ) ในคำตอบของมัน เพราะความซับซ้อนที่เข้าขั้น “ยาก” ไปเลยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความช่ำชองในการเล่าเรื่อง แม้จะไม่ต้องเข้าใจร้อยเปอร์เซนต์ก็ยังสนุกไปกับเรื่องได้อยู่ดี
.
น่าสังเกตตรงที่แม้จะเต็มไปด้วยซอฟต์พาวเวอร์ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และศิลปะของญี่ปุ่น แต่มันกลับไม่ได้ถูกเล่าแบบยัดเยียด (แบบของแถวๆ นี้) ตรงกันข้ามมันกลับกลายเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลด้วยชั้นเชิงในการนำเสนอที่ค่อยๆ พาผู้ชมลงลึกไปทีละน้อย บวกกับการใช้จอมโจรคิดมาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวอีกชั้นก็ยิ่งทำให้การตามล่าสมบัติดูมีพลังมากขึ้นไปอีก ลำพังแค่เหล่านักธุรกิจมาเฟียตัวร้ายหลักของเรื่องที่จ้องจะตามล่าสมบัติก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่พอมีจอมโจรคิดและตัวละครสมทบอื่นๆ มันก็ยิ่งสร้างอรรถรสได้มากไปอีกหลายเท่าเลย
.
แต่ก็นับว่าตึงมืออยู่เหมือนกัน ด้วยความที่ตัวละครเยอะ ทั้งโคนัน เฮย์จิ และจอมโจรคิด ยังไม่นับตัวละครรองๆ ที่ต้องติดสอยห้อยตามมาทั้งนักสืบโมริและสารวัตรนากาโมริ ตัวละครใหม่อย่าง “ฟุคุชิโระ ฮิจิริ” นักเรียนแพทย์คู่ปรับของเฮย์จิในภาคนี้ ซึ่งก็มีบทบาทกับตัวพล็อตลองที่ว่าด้วยความวุ่นวายของการสารภาพรักของเฮยจิ และนั่นก็ยังไม่พอยังมีคุณหนู “โมมิจิ” ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในเดอะมูฟวี่ 21 ปริศนาเพลงกลอนซ่อนรัก พ่วงเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน กลายเป็นว่าตัวเอกของเรื่องอย่างโคนัน ในภาคนี้กลับต้องใช้คำว่า “เด่นน้อยลง” แบบเห็นได้ชัดเลยเหมือนกัน เป็นเฮย์จิและจอมโจรคิดที่แย่งซีนไปพอสมควร
.
เมื่อตัวละครเยอะ ปมเรื่องก็เยอะตาม (คนเยอะเรื่องแยะ) นั่นทำให้ในช่วงท้ายของเรื่องต้องรีบเล่าให้ไวที่สุดจนขาดความเป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด การคลี่คลายปมหลายอย่างแทบไม่มีเวลาให้พักหายใจ ต้องรีบตัดไปอีกปมอย่างรวดเร็ว ขนาดช่วงไฮไลท์ที่ต้องประกาศคำขวัญประจำตัวเมื่อคนร้ายถามมาว่า “เธอเป็นใครกันแน่” ยอดนักสืบของเรื่องก็ต้องตอบตามธรรมเนียมว่า “ชื่อของชั้นคือ เอโดงาวะ โคนัน เป็นนักสืบ” ทำนองนี้ แต่กลับไม่ทรงพลังเอาเสียเลย ด้วยความที่ทุกอย่างมันต้องรีบเร่งไปหมด (เสียฟีล)
.
ในเมื่อคราวที่แล้วมาในโทนตึงเครียดกับเรื่องของไฮบาระและพวกชายชุดดำ ในคราวนี้โทนของเรื่องผ่อนคลายขึ้นมาก ผ่านความโรแมนติกคอเมดี้ของเฮย์จิและคาสึฮะที่มีรันเป็นแม่สื่อเต็มตัว(ก็ของตัวเองเข้าวินไปแล้ว) และโมมิจิเป็นก้างชิ้นโตก็เพิ่มรสชาติให้ตัวเรื่องได้ดี เท่านั้นไม่พอยังแซะตัวเองในเรื่องที่ผู้ชมค่อนขอดมานานว่า “ทำไมโคนันกับคิดถึงหน้าตาคล้ายกัน” ที่ตอนแรกนึกว่าเอามาใส่เล่นขำๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าในตอนท้ายสุดหลังเครดิตจบ จะมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาลั่นโรงเลยทีเดียว กลายเป็นว่า “ปริศนาปราการ 5 แฉก” นี้กลับมีหมุดหมายสำคัญที่จะเปลี่ยนทิศทางเรื่องของ “ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน” ไปอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน
Story Decoder
[รีวิว ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดอะมูฟวี่ 27 - ผูกปริศนากับซอฟต์พาวเวอร์ที่ซับซ้อนแต่สนุก คลุกเคล้าพล็อตรองชวนกุ๊กกิ๊ก]
.
“ปริศนาปราการ 5 แฉก” เหมือนเป็นการรื้อฟื้นเดอะมูฟวี่ในอดีตมาผสมรวมกัน ทั้งการปรากฏตัวของ “จอมโจรคิด” ที่ชวนให้นึกถึง “ปริศนาพ่อมดคนสุดท้ายแห่งศตวรรษ” เดอะมูฟวี่ลำดับที่ 3 ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในภาคโรงครั้งแรกของคิดและเฮย์จิด้วย แต่ฝ่ายหลังไม่ได้มีบทบาทมากนัก ก่อนจะมีบทเต็มๆ สืบคดีร่วมกับโคนันใน “คดีฆาตกรรมแห่งเมืองปริศนา” เดอะมูฟวี่ลำดับที่ 7 ซึ่งมีอิทธิพลต่อภาคล่าสุดมาก เพราะมีส่วนที่คล้ายคลึงกันมากในเรื่องของการร่วมกันสืบคดีของโคนันและเฮย์จิ เส้นเรื่องรองของเฮย์จิและคาสึฮะ และการใช้ฉากหลังอย่างเกียวโต-โอซาก้า มาเป็นสถานที่หลักของเรื่อง รวมถึงสอดแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างโยชิสึเนะกับเบงเกเข้ามาเพิ่มอรรถรสด้วยเช่นกัน
.
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าโคนันเดอะมูฟวี่ถูกใช้เป็นสื่อในการถ่ายทอดซอฟต์พาวเวอร์ของญี่ปุ่นมาโดยตลอด และในคราวนี้เป็นทีของเมืองท่า “ฮาโกดาเตะ” (Hakodate) อยู่ในจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaidou) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น แน่นอนว่าสถานที่สำคัญอย่าง “ป้อมดาวห้าแฉกโกะเรียวคาคุ” (Goryōkaku) ที่เป็นชื่อภาคหลักในภาษาไทย และ “วิวล้านดอลลาร์” บนภูเขาฮาโกดาเตะที่เป็นชื่อภาคฉบับภาษาอังกฤษ ทั้งสองที่ถูกใช้เป็นแกนสำคัญในการเล่าเรื่องเหมือนเป็นตัวละครหลักเลยก็ว่าได้
.
เพราะนอกจากจะเป็นฉากหลังให้พวกโคนันและเฮย์จิได้พาผู้ชมประหนึ่งว่าเป็นไกด์นำเที่ยว ท่องไปตามที่ต่างๆ ของฮาโกดาเตะแล้ว(จนอยากไปเที่ยวตามรอยเลย) เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของปราการ 5 แฉก ก็ยังถูกเล่าให้กลายเป็นปริศนาหลักของเรื่องซึ่งพร้อมกันนั้นก็เชื่อมโยงไปยังซอฟต์พาวเวอร์อีกหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ทั้งเรื่องของดาบโบราณและปริศนากลอนไฮกุ(เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น) ที่โคนัน เฮย์จิ และจอมโจรคิดต้องไขปริศนาให้ได้ ซึ่งด้วยความที่สิ่งเหล่านี้มีความเป็นญี่ปุ่นแบบสุดๆ จึงต้องทำใจนิดนึงว่าตัวคำใบ้และปริศนาของเรื่องอาจจะต้องมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นพอสมควรถึงจะเข้าใจ(จริงๆ) ในคำตอบของมัน เพราะความซับซ้อนที่เข้าขั้น “ยาก” ไปเลยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความช่ำชองในการเล่าเรื่อง แม้จะไม่ต้องเข้าใจร้อยเปอร์เซนต์ก็ยังสนุกไปกับเรื่องได้อยู่ดี
.
น่าสังเกตตรงที่แม้จะเต็มไปด้วยซอฟต์พาวเวอร์ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และศิลปะของญี่ปุ่น แต่มันกลับไม่ได้ถูกเล่าแบบยัดเยียด (แบบของแถวๆ นี้) ตรงกันข้ามมันกลับกลายเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลด้วยชั้นเชิงในการนำเสนอที่ค่อยๆ พาผู้ชมลงลึกไปทีละน้อย บวกกับการใช้จอมโจรคิดมาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวอีกชั้นก็ยิ่งทำให้การตามล่าสมบัติดูมีพลังมากขึ้นไปอีก ลำพังแค่เหล่านักธุรกิจมาเฟียตัวร้ายหลักของเรื่องที่จ้องจะตามล่าสมบัติก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่พอมีจอมโจรคิดและตัวละครสมทบอื่นๆ มันก็ยิ่งสร้างอรรถรสได้มากไปอีกหลายเท่าเลย
.
แต่ก็นับว่าตึงมืออยู่เหมือนกัน ด้วยความที่ตัวละครเยอะ ทั้งโคนัน เฮย์จิ และจอมโจรคิด ยังไม่นับตัวละครรองๆ ที่ต้องติดสอยห้อยตามมาทั้งนักสืบโมริและสารวัตรนากาโมริ ตัวละครใหม่อย่าง “ฟุคุชิโระ ฮิจิริ” นักเรียนแพทย์คู่ปรับของเฮย์จิในภาคนี้ ซึ่งก็มีบทบาทกับตัวพล็อตลองที่ว่าด้วยความวุ่นวายของการสารภาพรักของเฮยจิ และนั่นก็ยังไม่พอยังมีคุณหนู “โมมิจิ” ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในเดอะมูฟวี่ 21 ปริศนาเพลงกลอนซ่อนรัก พ่วงเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน กลายเป็นว่าตัวเอกของเรื่องอย่างโคนัน ในภาคนี้กลับต้องใช้คำว่า “เด่นน้อยลง” แบบเห็นได้ชัดเลยเหมือนกัน เป็นเฮย์จิและจอมโจรคิดที่แย่งซีนไปพอสมควร
.
เมื่อตัวละครเยอะ ปมเรื่องก็เยอะตาม (คนเยอะเรื่องแยะ) นั่นทำให้ในช่วงท้ายของเรื่องต้องรีบเล่าให้ไวที่สุดจนขาดความเป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด การคลี่คลายปมหลายอย่างแทบไม่มีเวลาให้พักหายใจ ต้องรีบตัดไปอีกปมอย่างรวดเร็ว ขนาดช่วงไฮไลท์ที่ต้องประกาศคำขวัญประจำตัวเมื่อคนร้ายถามมาว่า “เธอเป็นใครกันแน่” ยอดนักสืบของเรื่องก็ต้องตอบตามธรรมเนียมว่า “ชื่อของชั้นคือ เอโดงาวะ โคนัน เป็นนักสืบ” ทำนองนี้ แต่กลับไม่ทรงพลังเอาเสียเลย ด้วยความที่ทุกอย่างมันต้องรีบเร่งไปหมด (เสียฟีล)
.
ในเมื่อคราวที่แล้วมาในโทนตึงเครียดกับเรื่องของไฮบาระและพวกชายชุดดำ ในคราวนี้โทนของเรื่องผ่อนคลายขึ้นมาก ผ่านความโรแมนติกคอเมดี้ของเฮย์จิและคาสึฮะที่มีรันเป็นแม่สื่อเต็มตัว(ก็ของตัวเองเข้าวินไปแล้ว) และโมมิจิเป็นก้างชิ้นโตก็เพิ่มรสชาติให้ตัวเรื่องได้ดี เท่านั้นไม่พอยังแซะตัวเองในเรื่องที่ผู้ชมค่อนขอดมานานว่า “ทำไมโคนันกับคิดถึงหน้าตาคล้ายกัน” ที่ตอนแรกนึกว่าเอามาใส่เล่นขำๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าในตอนท้ายสุดหลังเครดิตจบ จะมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาลั่นโรงเลยทีเดียว กลายเป็นว่า “ปริศนาปราการ 5 แฉก” นี้กลับมีหมุดหมายสำคัญที่จะเปลี่ยนทิศทางเรื่องของ “ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน” ไปอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน
Story Decoder