สำหรับสาววัย 40+ ยิ่งอายุเยอะขึ้น เราก็หันมาดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น เพราะรู้สึกร่างกายทรุดโทรมลง และเหนื่อยง่ายขึ้น มีเรื่องหนักๆในชีวิตให้เครียดหลายอย่าง ต้องฝึกปล่อยวางและมองโลกในแง่ดี
ตั้งแต่ขึ้นเลข 4 การทำเลเซอร์ผิวหน้าที่ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว และความร้อนก็บูทส์คอลลาเจน ทำให้รูขุมขนเล็กลงด้วย แต่เดิมก็ได้ผลดีมาตลอด พออายุเยอะขึ้นก็เริ่มไม่เห็นผลดีเท่าเดิม คอลลาเจนไม่ขึ้นมาแล้ว กลับทำให้ผิวแห้งมากๆและบริเวณหลุมสิวไม่ตื้นขึ้นแล้ว
เราจึงต้องตัดสินใจหันมาเริ่มฉีดโบท็อกซ์ ทางคลีนิคก็มีทั้งของจีน เกาหลี อเมริกามาขายโปรโมชั่น จากช่วงเข้าเลข 4 ก็ฉีดแค่ 25u ตรงหน้าผาก หว่างคิ้ว และใต้ตา ซึ่งคุณหมอจะฉีดแค่ตรงบริเวณหางตาเท่านั้น ฉีดโบท็อกซ์จะต้องโดนเข็มจิ้มเยอะ จนน้ำตาไหล ได้ยินว่ามีคนฉีดโดยไม่แม้แต่ประคบน้ำแข็ง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่า การประคบน้ำแข็ง ทำให้ปวดมากกว่าโดนเข็มจิ้มอีก เราจึงค่อนข้างจะเข็ดกับการฉีดโบท็อกซ์ โดยเฉพาะการฉีดกรอบหน้าที่โดนหลายเข็มมาก จนน้ำตาไหลพรากๆๆ
ต่อมาเปลี่ยนคลีนิคเพราะที่เดิมย้ายไป เจอคลีนิคใหม่ที่มีโปรโมชั่นราคาดี เพราะมีหลายสาขา เวลาสั่งโบท็อกซ์เข้ามาล็อตใหญ่เลยได้ราคาถูกกว่าที่อื่น แต่คุณหมอก็บอกให้เราฉีด 50u เฉพาะหน้าผาก หัวตา และหางตา และบอกเราว่าไม่พอให้ฉีดเพิ่ม 100u ซึ่งเราสงสัยมากว่าจริงๆจำเป็นต้องฉีดเยอะขนาดนั้นไหม ยิ่งอายุเยอะต้องเพิ่มยูนิตของโบท็อกซ์เยอะขนาดนั้นไหม
เราเพิ่งสังเกตุคนอื่นที่มาหาหมอพร้อมกันได้โปะยาชาก่อนฉีดโบท็อกซ์ เราจึงขอบ้าง ปรากฏว่าลดความเจ็บลงได้เยอะมาก แต่กว่าเราจะรู้ว่ายาชาช่วยให้สบายขึ้น ก็เสียน้ำตาไปเยอะ ทางผู้ช่วยก็น่าจะรีบเคลียร์คิวด้วย เลยไม่ชอบเสียเวลาให้มานั่งแปะยาชาที่เสียเวลา 30-40 นาที ยิ่งเราเป็นคนที่รู้สึกชาช้าด้วย
ทางคลีนิคแจ้งว่าไม่รับรองผลการฉีดโบท็อกซ์กรอบหน้า ซึ่งสำหรับเราผลลัพธ์จะอยู่ไม่ถึง 2 เดือน จึงทำให้เราศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเอง ก็ได้ความว่าสำหรับคนที่มีแก้มอย่างเรา หากแก้มตกลงเยอะ การฉีดโบท็อกซ์ก็จะไม่ช่วยเท่าไรนักสำหรับวัย 40 ปลายๆ
แต่บริเวณหน้าผากจะได้ผลดีมาก เพราะกล้ามเนื้อส่วนนี้ไม่ได้ขยับเยอะแบบส่วนอื่น จึงได้ผลที่อยู่นานกว่าบริเวณอื่นๆ
ยังไงลองปรึกษาคลีนิคและคุณหมอที่เชื่อถือได้ดีๆ แต่เราก็ตกเป็นทาสการตลาดอยู่บ่อยครั้ง ขอให้สาวๆดูแลสุขภาพ ดื่มน้ำเยอะๆและอย่านอนดึก (เรายังติดนอนดึกอยู่ ซึ่งเสียสุขภาพ)
อยากสวยต้องยอมเจ็บตัว 3!!?
ตั้งแต่ขึ้นเลข 4 การทำเลเซอร์ผิวหน้าที่ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว และความร้อนก็บูทส์คอลลาเจน ทำให้รูขุมขนเล็กลงด้วย แต่เดิมก็ได้ผลดีมาตลอด พออายุเยอะขึ้นก็เริ่มไม่เห็นผลดีเท่าเดิม คอลลาเจนไม่ขึ้นมาแล้ว กลับทำให้ผิวแห้งมากๆและบริเวณหลุมสิวไม่ตื้นขึ้นแล้ว
เราจึงต้องตัดสินใจหันมาเริ่มฉีดโบท็อกซ์ ทางคลีนิคก็มีทั้งของจีน เกาหลี อเมริกามาขายโปรโมชั่น จากช่วงเข้าเลข 4 ก็ฉีดแค่ 25u ตรงหน้าผาก หว่างคิ้ว และใต้ตา ซึ่งคุณหมอจะฉีดแค่ตรงบริเวณหางตาเท่านั้น ฉีดโบท็อกซ์จะต้องโดนเข็มจิ้มเยอะ จนน้ำตาไหล ได้ยินว่ามีคนฉีดโดยไม่แม้แต่ประคบน้ำแข็ง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่า การประคบน้ำแข็ง ทำให้ปวดมากกว่าโดนเข็มจิ้มอีก เราจึงค่อนข้างจะเข็ดกับการฉีดโบท็อกซ์ โดยเฉพาะการฉีดกรอบหน้าที่โดนหลายเข็มมาก จนน้ำตาไหลพรากๆๆ
ต่อมาเปลี่ยนคลีนิคเพราะที่เดิมย้ายไป เจอคลีนิคใหม่ที่มีโปรโมชั่นราคาดี เพราะมีหลายสาขา เวลาสั่งโบท็อกซ์เข้ามาล็อตใหญ่เลยได้ราคาถูกกว่าที่อื่น แต่คุณหมอก็บอกให้เราฉีด 50u เฉพาะหน้าผาก หัวตา และหางตา และบอกเราว่าไม่พอให้ฉีดเพิ่ม 100u ซึ่งเราสงสัยมากว่าจริงๆจำเป็นต้องฉีดเยอะขนาดนั้นไหม ยิ่งอายุเยอะต้องเพิ่มยูนิตของโบท็อกซ์เยอะขนาดนั้นไหม
เราเพิ่งสังเกตุคนอื่นที่มาหาหมอพร้อมกันได้โปะยาชาก่อนฉีดโบท็อกซ์ เราจึงขอบ้าง ปรากฏว่าลดความเจ็บลงได้เยอะมาก แต่กว่าเราจะรู้ว่ายาชาช่วยให้สบายขึ้น ก็เสียน้ำตาไปเยอะ ทางผู้ช่วยก็น่าจะรีบเคลียร์คิวด้วย เลยไม่ชอบเสียเวลาให้มานั่งแปะยาชาที่เสียเวลา 30-40 นาที ยิ่งเราเป็นคนที่รู้สึกชาช้าด้วย
ทางคลีนิคแจ้งว่าไม่รับรองผลการฉีดโบท็อกซ์กรอบหน้า ซึ่งสำหรับเราผลลัพธ์จะอยู่ไม่ถึง 2 เดือน จึงทำให้เราศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเอง ก็ได้ความว่าสำหรับคนที่มีแก้มอย่างเรา หากแก้มตกลงเยอะ การฉีดโบท็อกซ์ก็จะไม่ช่วยเท่าไรนักสำหรับวัย 40 ปลายๆ
แต่บริเวณหน้าผากจะได้ผลดีมาก เพราะกล้ามเนื้อส่วนนี้ไม่ได้ขยับเยอะแบบส่วนอื่น จึงได้ผลที่อยู่นานกว่าบริเวณอื่นๆ
ยังไงลองปรึกษาคลีนิคและคุณหมอที่เชื่อถือได้ดีๆ แต่เราก็ตกเป็นทาสการตลาดอยู่บ่อยครั้ง ขอให้สาวๆดูแลสุขภาพ ดื่มน้ำเยอะๆและอย่านอนดึก (เรายังติดนอนดึกอยู่ ซึ่งเสียสุขภาพ)