ก่อนหน้าที่จะมี a day คนที่จะขึ้นปก หรืออยู่ในนิตยสารวัยรุ่นได้ ก็ต้องสวยจัด หล่อจัด หรือไม่ก็รวยจัดๆ หรือไม่ พ่อแม่ก็ต้องเป็นคนเด่นคนดัง
แต่พอมี a day เกิดขึ้น มันทำให้ค่านิยม แนวคิดของวัยรุ่นในสังคมตอนนั้นเปลี่ยนไป
จากที่ต้องสวยสุด หล่อสุด ใส่เสื้อผ้าแฟชั่นจ๋าๆ ก็กลายมาเป็น ไม่ต้องสวยสุด หล่อสุดก็ได้ แค่เป็นตัวของตัวเองให้ชัดเจนก็พอ
แต่สิ่งหนึ่งที่แฝงมาด้วยกับความเป็นตัวของตัวเองในด้านแฟชั่น คือแต่ละคนต้องไปหาเสื้อผ้า เครื่องประดับยี่ห้ออะไรมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยคุ้นตา แต่โคตรแพงระยับ!!!
กลายเป็นว่า มันเป็นการเหวี่ยงจากขั้วหนึ่ง ไปสู่อีกขั้วหนึ่ง ที่ยังหาตรงกลาง หรือความลงตัวไม่ค่อยจะเจอ
แต่ประเด็นแฟชั่นมันเป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือ การพยายามที่จะเป็นตัวของตัวเอง จนสำหรับคนบางคนมันดูเยอะจนล้น ขบถจนน่ารำคาญ พยายามที่จะฉีก เพื่อให้ดูต่าง ดูโดดเด่น ไม่ได้ฉีกเองเพราะการตกผลึกทางความคิดตามครรลองของธรรมชาติแห่งชีวิต
ค่านิยมในตอนนั้น มันก็แค่เป็นการพยายามถีบตัวเอง ออกมาจากฝั่งหนึ่งให้ดูต่าง (เพราะสู้ประเด็นหน้าตาที่โดดเด่นไม่ได้) แต่มาอยู่อีกฝั่ง ที่ความต่าง กลายเป็นเรื่องที่พยายามจะทำให้ปกติ และมีข้อจำกัดด้านเงินทุนในการซื้อเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และรสนิยมส่วนตัว ที่ต้องพูดยี่ห้อเสื้อผ้า ชื่อหนัง ชื่อเพลง ที่คนไม่ค่อยรู้จัก แล้วจะรู้สึกเท่ห์ขึ้นมา 456.725%
ปล.
แกเคยด่ารัฐบาลลุง ว่าไม่ให้โอกาส Start Up คนไทย จนต้องไปพึ่งพาสิงค์โปร์ แล้วมีคนมาเม้นท์ว่า..."ถ้าเก่งจริงทำไมต้องพึ่งรัฐบาล"
หลังจากนั้นก็มีรถทัวร์มาลงพี่แก 800,000 กว่าคัน
1 ในคนที่พาทัวร์มาลงพี่แกคนนั้น คือน้ำแข็ง แห่งบางบอน (ยุคที่น้ำแข็งยังไม่ดังเท่าตอนนี้)
น้ำแข็งตอบพี่แกประมาณว่า "โง่ก็อยู่เงียบๆ รู้จักสตาร์ทอัพอ่ะป่าวเหอะ"
หลังจากทัวร์ลงไป 800,000 กว่าคัน จึงมีคนมาเฉลยว่า พี่แก คือสตาร์ทอัพ ระดับ A ของไทย ที่มีรายได้หลักพันล้านบาทต่อปี (ภาพโปรไฟล์พี่แกตอนนั้น เป็นคนผมยาวๆ มีหนวด ใส่เสื้อแมนยู ลิเวอร์พูลอะไรทำนองนั้น)
อีน้ำแข็งเงิบเลยจ้าาาาาาาา
พี่โหน่ง วงศ์ทนง ในความทรงจำของข้าพเจ้า
แต่พอมี a day เกิดขึ้น มันทำให้ค่านิยม แนวคิดของวัยรุ่นในสังคมตอนนั้นเปลี่ยนไป
จากที่ต้องสวยสุด หล่อสุด ใส่เสื้อผ้าแฟชั่นจ๋าๆ ก็กลายมาเป็น ไม่ต้องสวยสุด หล่อสุดก็ได้ แค่เป็นตัวของตัวเองให้ชัดเจนก็พอ
แต่สิ่งหนึ่งที่แฝงมาด้วยกับความเป็นตัวของตัวเองในด้านแฟชั่น คือแต่ละคนต้องไปหาเสื้อผ้า เครื่องประดับยี่ห้ออะไรมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยคุ้นตา แต่โคตรแพงระยับ!!!
กลายเป็นว่า มันเป็นการเหวี่ยงจากขั้วหนึ่ง ไปสู่อีกขั้วหนึ่ง ที่ยังหาตรงกลาง หรือความลงตัวไม่ค่อยจะเจอ
แต่ประเด็นแฟชั่นมันเป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือ การพยายามที่จะเป็นตัวของตัวเอง จนสำหรับคนบางคนมันดูเยอะจนล้น ขบถจนน่ารำคาญ พยายามที่จะฉีก เพื่อให้ดูต่าง ดูโดดเด่น ไม่ได้ฉีกเองเพราะการตกผลึกทางความคิดตามครรลองของธรรมชาติแห่งชีวิต
ค่านิยมในตอนนั้น มันก็แค่เป็นการพยายามถีบตัวเอง ออกมาจากฝั่งหนึ่งให้ดูต่าง (เพราะสู้ประเด็นหน้าตาที่โดดเด่นไม่ได้) แต่มาอยู่อีกฝั่ง ที่ความต่าง กลายเป็นเรื่องที่พยายามจะทำให้ปกติ และมีข้อจำกัดด้านเงินทุนในการซื้อเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และรสนิยมส่วนตัว ที่ต้องพูดยี่ห้อเสื้อผ้า ชื่อหนัง ชื่อเพลง ที่คนไม่ค่อยรู้จัก แล้วจะรู้สึกเท่ห์ขึ้นมา 456.725%
ปล.
แกเคยด่ารัฐบาลลุง ว่าไม่ให้โอกาส Start Up คนไทย จนต้องไปพึ่งพาสิงค์โปร์ แล้วมีคนมาเม้นท์ว่า..."ถ้าเก่งจริงทำไมต้องพึ่งรัฐบาล"
หลังจากนั้นก็มีรถทัวร์มาลงพี่แก 800,000 กว่าคัน
1 ในคนที่พาทัวร์มาลงพี่แกคนนั้น คือน้ำแข็ง แห่งบางบอน (ยุคที่น้ำแข็งยังไม่ดังเท่าตอนนี้)
น้ำแข็งตอบพี่แกประมาณว่า "โง่ก็อยู่เงียบๆ รู้จักสตาร์ทอัพอ่ะป่าวเหอะ"
หลังจากทัวร์ลงไป 800,000 กว่าคัน จึงมีคนมาเฉลยว่า พี่แก คือสตาร์ทอัพ ระดับ A ของไทย ที่มีรายได้หลักพันล้านบาทต่อปี (ภาพโปรไฟล์พี่แกตอนนั้น เป็นคนผมยาวๆ มีหนวด ใส่เสื้อแมนยู ลิเวอร์พูลอะไรทำนองนั้น)
อีน้ำแข็งเงิบเลยจ้าาาาาาาา