ตั้งครรภ์กับคนญี่ปุ่นแต่ตกลงกันไม่ได้ รบกวนขอคำแนะนำค่ะ

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ค่ะ 

เมื่อวันที่ 30กรกฎาคมประจำเดือนขาด หนูจึงได้ตัดสินใจตรวจครรภ์ ผลออกมา 2 ขีด  (ปกติ ปจด.จะมาช่วงวันที่19-20ของเดือนค่ะ) 

พอรู้ว่าตัวเองอาจจะตั้งครรภ์จากผลตรวจ หนูเลยตัดสินใจบอกผู้ชายคนนี้ ซึ่งเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันนะคะ 
เขาเป็นชาวญี่ปุ่น ที่มีธุรกิจเล็กๆในประเทศไทยค่ะ  เรารู้จักกันจากการที่หนูเป็นลูกค้าของเค้า เจอกันที่ร้านของเขา และเขาเป็นคนขอคอนแทคและได้ติดต่อ และเจอกัน 6-7 ครั้ง ในระยะเวลา 1-2 เดือน 

การตั้งครรภ์ครั้งนี้ เกิดจาก การมีเพศสัมพันธ์กันในวันที่ 14 กรกฎาคม และ เกิดถุงยางหลุดเนื่องจากถุงยางอาจจะมีขนาดใหญ่เกินไป
ได้เกิดหลุดในขณะที่เราทั้งคู่ได้ทำกิจกรรมเสร็จ  และ เขากำลังจะนำอวัยวะของเขาออกค่ะ  ปรากฎว่า ถุงยางอนามัยยังคาอยู่ที่หนูค่ะ
(ขออภัยหากไม่สุภาพเเต่อยากเล่าโดยละเอียดจริงๆ ค่ะ) 

เราทั้งคู่รับรู้ทันทีในตอนนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้น......
หลังจากนั้นประมาณ15นาที เค้าได้เดินไปเปิดลิ้นชัก และ หยิบยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว ให้หนูกิน หนูกินและเราทั้งคู่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ในคืนนั้น
เพราะคิดว่า การกินยาคุมฉุกเฉินในเวลาที่รวดเร็ว จะสามารถป้องกันได้ในระดับนึง

หลังจากเหตุเกิดขึ้นถัดมาอีก 3 วัน  เราก็ได้พบกันอีก 1 ครั้ง ใช้ชีวิตปกติ ไปเที่ยว ทานข้าว และ มีเพศสัมพันธ์กันโดยป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัย 
ครั้งนี้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นค่ะ 

หลักจากเจอกันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 17 กรกฎาคม หนูได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อพักผ่อนกับคุณพ่อและคุณแม่ 
และวางแผนจะเดินทางมากรุงเทพ (คือช่วงวันที่ 27 กรกฎาคม ) สาเหตุเพราะ หนูได้งานใหม่และหัวหน้าให้ไปสัมภาษณ์งานค่ะ 

วันที่ 29 กรกฎาคม หนูเข้าไปสัมภาษณ์งานและผ่านงาน จะได้เริ่มงานในวันที่ 5 ที่จะถึงนี้ งานของหนูคือ พนักงานตอนรับของโรงแรมเเห่งหนึ่ง (Reception)
เป็น Hostel นะคะ ระดับ 3 ดาว เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ทำไมหนูพูดถึงเรื่องนี้ เพราะการได้รับโอกาสทำในตำแหน่งนี้ มันมีค่าสำหรับหนูมากค่ะ 
หนูอายุ 23 ปี ไม่มีวุฒิ ไม่มีประสบการณ์ด้านงานโรงแรม มันเป็นอาชีพในฝันของหนู การได้รับโกาสนี้เพราะหนูสื่อสารภาษา อังกฤษและญี่ปุ่นได้ค่ะ 
ทางโรงแรมจึงให้โอกาสได้ลองฝึกทำงานดู 

กลับเข้าเรื่องนะคะ หลักจากสัมภาษณ์งานและวุ่นวายกับการหาห้องพักเคลียร์ทุกอย่างอยู่2-3วัน เพื่อพร้อม กับการ เริ่มงานใหม่
หนูก็นึกขึ้นได้ว่ามันเลยวันที่ประจำเดือนควรจะมา เพราปกติ จะคลาดเคลื่อนไม่เกินวันที่ 20 เลยตัดสินใจ ตรวจในวันที่ 30 กรกฎาคมตามที่เล่ามาเลยค่ะ 

สิ่งแรกที่หนูทำคือ การบอกให้เค้าทราบค่ะ โดยการส่งรูปที่ตรวจไป เค้าตอบมาแค่ เครื่องหมาย ? อันเดียว หนูเลยถามถึงวันที่เกิดเหตุถุงยางหลุด 
ว่าคุณจำมันไม่ได้หรอ เค้าตอบมาว่า แต่คุณได้กินยาไปแล้ว หนูจึงอธิบายกับเค้าว่ามันไม่สามารถป้องกันได้ 100% และปจด.ของฉันไม่มา ฉันจึงตัดสินใจตรวจ และ หนูบอกเเค้าว่า ฉันจะไปตรวจที่คลีนิก เพื่อความแน่ใจ เพราะปจด.อาจจะเลื่อน เพราะผลของยาคุมฉุกเฉิน .....

ในวันที่ 31 กรกฎาคม หนูได้ไปเจาะเลือดเพื่อความแน่ใจ ยอมรับว่าในใจ ไม่คิดว่าตัวจะท้องค่ะ ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าผลตรวจ2ขีดคงไม่ชัวร์เท่าไหร่ 
 ผลคือ หนูตั้งครรภ์ได้ 2-3 สัปดาห์ค่ะ ค่าhCGค่อนข้างชัดเจน  สิ่งแรกหลักจากได้ฟังผลคือ เป็นลม ค่ะ ขาไม่มีแรง  ทุกอย่างมืด แล้ว วูบไปเลยค่ะ 

หลักจากกลับจากคลีนิก หนูบอกผลเลือดให้เค้าทราบ เค้าถามหนูว่า หนูต้องการให้เป็นแบบไหน  หนูใช้เวลาคิดไตร่ตรอง 1 คืน
และตัดสินใจที่จะเอาเด็กคนนี้ออก .............. ใช่ค่ะหนูเห็นแก่ตัว หนูเห็นแก่อนาคตของตัวเอง ความรู้สึกของคุณพ่อและคุณแม่ หนูเห็นแก่งานที่หนูได้รับโอกาส หนูเห็นแก่แผนที่วางไว้ว่าอยากกลับไปเรียนมหาลัยในปีหน้า  โดยที่หนูมองข้ามเรื่องศีลธรรม ศาสนา และ ความผิดบาปใดใด
และเลือกที่จะเอาชีวิตในโลกปัจจุบันเป็นหลัก 

เขาห้ามและบอกให้หนูเก็บเด็กคนนี้ไว้ เพราะเค้ารักเด็กและหนูก็เป็นคนดี นี้คือสิ่งที่เค้าบอกค่ะ  เค้าพร้อมซัพพอร์ตลูกที่จะเกิดมา 
แต่ เค้าไม่ต้องการแต่งงาน ไม่ต้องการจดทะเบียนสมรส หนูจึงตัดสินใจถาม ว่าสิ่งที่คุณไม่ต้องการ เพราะคุณมีภรรยาใช่ไหม?
เค้าตอบว่า 'ใช่' แต่ภรรยาของเขาแยกกันอยู่ในตอนนี้ หนูไม่ได้ถามรายละเอียดต่อค่ะ เพราะยิ่งรู้แบบนี้ หนูยิ่งจะมั่นใจที่จะเอาเด็กออก 
เพราะหากมันคือเรื่องจริง มันคงกระทบความรู้สึกทั้งฝั่งคุณพ่อคุณแม่หนู ตัวหนู .........และภรรยาของเขา 

เราตกลงกันไม่ได้ค่ะ และ เค้ากำลังมองหนูเป็นคนจิตใจเลือดเย็น เพราะว่าเค้าไม่เห็นด้วยกับการยุติการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ 

หนูยืนยันที่จะ ทำตามที่หนูตัดสินใจ เพราะ หลายอย่างที่หนูคิดว่ามันจะเป็นปัญหาแน่ๆ ในอนาคต และ รวมถึงไม่เชื่อใจในการรับปากว่าจะซัพพอร์ตลูกค่ะ 
หนูยื่นคำขาดให้เค้ามาที่กรุงเทพ และ พาหนูไปยุติการตั้งครรภ์ โดยเราจะไปปรึกษาและอธิบายสาเหตุ ที่สถานที่สำหรับยุติการตั้งครรภ์ค่ะ 
และให้เค้าจ่ายค่าใช่จ่ายทั้งหมดตามจริง รวมถึง ให้คอยดูแลหนูในช่วง พักฟื้นรักษาตัวค่ะ 

เค้าปฏิเสธที่จะมา แต่ ยินยอม ที่จะ จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด 50,000 บาท หนูปฏิเสธค่ะ เพราะ เงินจำนวนนี้ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

สิ่งที่แย่มากๆ ในตอนนี้คือ สภาพจิตใจของหนู เพราะหนูต้องการให้เค้ามาอยู่ในช่วงที่หนูต้องเพชิญปัญหา และ เเก้ปัญหาเพียงลำพัง 
ไหนจะต้องพักฟื้น หนูจะใช้ชีวิตยังไงให้ผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง ไม่มีใครเข้มเเข็งได้ขนาดนั้นค่ะ หนูตัวคนเดียวในกรุงเทพ หนูเครียด และ นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง และ คงไม่ได้ไปทำงานในวันที่ 5 นี้ 


เราทั้งคู่ไม่ได้รักกันค่ะ ไม่รู้นิสัยใจคอที่แท้จริง  ทุกอย่างคือความสนุก ไม่มีสถานะ  ทุกครั้งเราป้องกันตลอด แต่ครั้งที่พลาด หนูก็ท้องเลย 
มันเหมือนโลกทั้งใบพังลงตรงหน้าเลยค่ะ ยิ่งคิดถึงหน้าคุณพ่อคุณแม่ ที่เพื่งแสดงความดีใจเรื่องงาน หนูยิ่งเครียด 

เค้าพร้อมรับผิดชอบในขณะที่เค้ามีภรรยา ? ซึ่งหนูไม่เคยรับรู้มาก่อนหน้านี้  
แต่ในกรณีที่หนูยืนยันจะยุติการตั้งครรภ์ เค้าก็พร้อมจ่าย แต่จะจ่ายแล้วจบ ซึ้งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ อาจจะช่วยเบาเรื่องค่าใช้จ่ายหนูได้ก็จริง 
แต่มันง่ายเกินไปไหม มันไม่ใช่สิ่งที่หนูต้องการที่สุดในตอนนี้เลย ........ 

สิ่งที่หนูต้องการตอนนี้ คือ คนที่เข้าใจถึงเหตุและผลในการยุติการตั้งครรภ์ และ อยู่ข้างๆ ในการผ่านช่างเวลาที่ลำบากนี้
เพราะตัวหนูเอง ไม่ใช่ไม่เสียใจ นะคะ หนูทุกข์มากๆ กับการตัดสินใจเอาออกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่หนูคิดได้ในตอนนี้แล้ว 

แล้วมันควรเป็นใครคะถ้าไม่ใช่เค้า คนที่ร่วมสร้างเรื่องกันขึ้นมา ....... 

หนูยืนยันที่จะให้เค้ามาและ ดูแลหนูในช่วง 1 เดือนนี้ ให้ สภาพร่างกายและจิตใจของหนูดีขึ้น เพื่อพร้อมจะเริ่มใช้ชีวิตได้อีกครั้ง 

เค้ายังคงปฏิเสธและมองว่าหนูเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมไปแล้ว 

บทสรุปตอนนี้คือ เค้าอ่าน จ้อความสุดท้ายของหนู คือ คุณจำเป็นต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันขอ คือให้คุณมา และ รับผิดชอบค่าใช่จ่ายตามจริง และ ความรู้สึกของฉัน แค่ช่วงระยะเวลา1เดือน ฉันคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น และ หลังจากนั้นเราจะเลิกติดต่อกัน 

แต่เค้าไม่ตอบค่ะ 

หนูย้ำขอคำตอบ ไปอีกครั้ง ว่า ได้โปรดให้คำตอบกับฉัน   เค้ายังคงอ่าน แต่ไม่ตอบ 

มันยิ่งทำให้หนูเครียด และ แย่ลง แย่ลง ภายในไม่กี่วัน  ทางออกสุดท้าย คือหนูตัดสินใจโทรหาคุณแม่และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง

สิ่งที่หนูได้รับกลับมาจากคุณแม่ คือ ไม่ให้เอาเด็กออก ให้อดทนอุ้มท้อง กลับไปอยู่บ้าน และ คุณแม่จะเลี้ยงให้เอง 
และยังบอกว่าจะหาโอกาสที่เหมาะสม เพื่อ บอกคุณพ่อ ให้หนูใจเย็นๆ 

ในส่วนที่ เค้ามีภรรยานั้น หนูไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน และ มันอาจจะกระทบในอนาคตก็จริง แต่ ในเมื่อ เด็กมันเกิดมาแล้ว ควรได้ให้เค้ามีชีวิต และ รับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่ให้ใครคนใดใดคนนึง ต้องทุกข์ใจ หรือ เสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อนยุติการตั้งครรภ์ เพราะในทางการเงินทางครอบครัวหนูก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นเลี้ยงหลานไม่ได้  นี้คือคำพูดของคุณแม่หนูค่ะ 

หลังจากได้คุยและปรึกษาท่าน หนูรู้สึกดีขึ้นและเริ่มรู้สึกผิดกับความคิดตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกใจที่หนูรู้สึกว่าการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์นั้น ถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับทุกฝ่าย .......ยกเว้นลูกที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไร 

หนูควรทำยังไงคะ ........... อะไรคือความถูกต้อง ถูกศีลธรรม และ มันคงจะเป็นตราบาปในชีวิต บทเรียนครั้งสำคัญ 
ตอนนี้เครียด จนคิดอะไรก็ปวดหัวร้าวลงเบ้าตา ไม่สามรถออกไปใช้ชีวิตได้ หนูควรแก้ปัญหานี้ยังไงคะ 

ผิดถูกไม่เหมาะสมยังไงขออภัยนะคะ 
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
เราขอแนะนะคำตอบที่ใจร้ายหน่อยนะคะ ในฐานะอาคนหนึ่งที่ต้องเลี้ยงหลานเองคนเดียว ตอนพี่สะใภ้ท้องพี่ชายเรานอกใจและหนีไปกับเมียน้อย พี่สะใภ้มารู้คสามจริงหลังคลอดได้สี่วัน จากนั้นไม่นานก็พบว่าเป็นซึมเศร้าหลังคลอดค่ะ

ญาติฝั่งพี่สะใภ้เลยมาขอหลานไปเลี้ยง ป้าเรายืนกรานหนักแน่นว่าหลานคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ เลี้ยงไม่ได้จริงๆ ค่ะ ลุงเสียชีวิตกะทันหันป้าต้องทำงานทุกอย่างแทน

เวลาแค่สองเดือนป้าก็ป่วย สุขภาพแย่กลายเป็นเราที่อายุ 22 เพิ่งเรียนจบงานไม่มีต้องมาแบกภาระเลี้ยงหลาน

ขนาดเราทำงานตั้งแต่เด็กมีเงินเก็บหลายล้านแถมมีกิจการที่บ้านอีก เลี้ยงหลานปีแรกเราหมดเกือบสี่แสน

พอตอนหลานสองขวบคิดว่าต้องรีบหาเงินให้มากกว่านี้ เพื่อใช้ในการซัพพอร์ตชีวิต ความฝันเด็กคนหนึ่งได้ เราเลยทำกิจการเพิ่มมาอีกหนึ่งแต่เจอสถานการณ์โควิดเข้าไปธุรกิจทั้งสามชะงักหมด เงินเก็บก็ยังพอมีประคองชีวิตได้ไม่ลำบาก

พอย่างเข้าวัยเรียนเราส่งน้องไปโรงเรียนในตัวอำเภอ โดนแกล้งมาทุกวัน ไปคุยกับครูก็ยังเหมือนเดิม สุดท้ายส่งน้องไปเรียนอีกที่
กิจกรรมล้านแปด ประเดี๋ยวจ่ายค่าเรียนว่ายน้ำ ประเดี๋ยวจ่ายค่าเรียนดนตรี เพื่อซื้อคุณภาพชีวิตให้เด็กคนหนึ่งหมดเงินเยอะมากค่ะ

ยิ่งเข้าโรงเรียนยิ่งต้องเสียเงินเยอะ ขนาดเราถือตัวเองว่ามีเงินพอควรยังรู้สึกว่าดูแลหลานไม่ดี ต้องมีเงินมากกว่านี้เลยค่ะ

มีเด็กคนหนึ่งไม่ใช่แค่เลี้ยงได้ ต้องเลี้ยงดีด้วย อย่างเราต้องไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเพื่อคุยกับหลาน ทั้งที่ตัวเองได้ภาษาอังกฤษกับญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ความจริงคือเด็กสมัยนี้เติบโตเร็วกว่าเรามาก


ความจริงคือเราทิ้งความฝันทุกอย่างเพื่อมายืนตรงนี้ เราคิดมาตลอดว่าทำไมพี่ชายเราทำกับเราแบบนี้ หากไม่มีหลานในตอนนั้นเราคงได้ไปทำงาน ตปท. เหมือนที่ฝันไว้ ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นสวยๆ เหมือนที่วางแพลนไว้ในตอนเด็ก ไม่ใช่เราไม่รักหลานนะคะ แต่คิดว่าถ้าเขาเกิดมาในตอนที่เราไปทำตามความฝันแล้วคงจะดีกว่านี้ ตอนนี้ผ่านมาเจ็ดปีเรายังอยู่บ้านเกิดเพื่อเลี้ยงหลานอยู่เลยค่ะ ญี่ปุ่นยังไม่เคยไปเหยียบ แทบจะไม่มีเพื่อนทิ้งสังคมไปหมดตั้งแต่เลี้ยงหลาน

ขนาดแม่เราเลี้ยงช่วยยังบอกว่าเลี้ยงเด็กสมัยนี้เหนื่อยเลยค่ะ  สภาพเศรษฐกิจยิ่งเป็นแบบนี้ เราคิดว่าในตอนที่เด็กยังเป็นก้อนเลือดอยู่ เอาออกเถอะนะคะ สภาพสังคมก็ไม่เอื้อต่อการเลี้ยงเด็ก บ้านคุณอาจจะเลี้ยงดีแต่พอไปเจอสังคมด้านนอก เด็กมันไม่ได้น่ารักทุกคนหรอกค่ะ ลูกเราจะต้องเจออะไรบ้างด้านนอก

แต่เราออกตัวไว้ก่อนว่าเราไม่นับถือศาสนาเลยไม่ได้คิดว่าการเอาเด็กออกเป็นบาปอะไร

ส่วนผู้ชายคนนั้นเราสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้จริงจังด้วย เอาแค่เงินแล้วอย่าไปคาดหวังอะไรเลยนะคะ เขาไม่สามารถเป็นสามีหรือพ่อใครได้เลย
ความคิดเห็นที่ 5
ชีวิตตัวเอง ทำไมต้องไปสนใจฟังคนที่แค่สนุกกันชั่วคราวคะ

เขาจะพูดอะไรจัดทรงว่าจิตใจดีรักเด็กแค่ไหนก็ได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นคนตั้งท้องและรับผิดชอบชีวิตคุณค่ะ สักวันถ้าคุณคลอดเขาอาจจะหายไปเลย ทิ้งภาระทุกอย่างไว้กับคุณก็ได้ ก็เหมือนคนโลกสวยในพันทิปค่ะที่หลายกระทู้จะมีคำแนะนำ คำสอนธรรมะ โผล่มาสร้างภาพว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ไม่ช่วยอะไรนะ แค่อยากบอกโลกเฉยๆว่าฉันเป็นคนดี ฉันไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง ดังนั้นอย่าไปสนใจคนดีชุ่ยๆแนวนี้เลยค่ะ

รับเงิน 5 หมื่นมาค่ะ จากนั้นจะทำอะไรก็ทำ ถ้าสุดท้ายคุณอยากเก็บเด็กไว้ก็แล้วแต่ แล้วก็เลิกติดต่อกันไป ไม่มีผลอะไรกับชีวิตอยู่แล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่