สวัสดีทุกโค้นนนนน วันนี้ไม่มีไรมากแค่จะมาอัพเดทนิทานวงการ Agency กัน
คำเตือน !!!! ใครไม่ชอบนิทานดราม่า เรื่องชาวบ้านข้ามผ่านไปเลย แต่ถ้าชอบก็มากองรวมกันตรงนี้
เอาหล่ะ นิทานเรื่องมันมีอยู่ว่ามันมีบริษัท Agency ที่มีคนไทยเป็นทั้งหนึ่งในหุ้นส่วนและเจ้าของ เขามาร่วมกัน Work งานกัน แล้วเขาก็จ้างหญิงนางนึงมาช่วยเป็นหนึ่งในผู้บริหารเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยทำงาน มีชื่อว่านางรสชาติของน้ำผึ้งมะนาวผสมน้ำตาลและเกลือ ทีนี้นางก็ทำงานมาตั้งสิบกว่าปีก็ยังไม่มีอะไรก็ดำเนินงานไปตามเรื่อง แต่ดันมามีเรื่องให้มันแดงขึ้นมาในปีนี้ ก็จำพวกเรื่องปัญหาที่มักเจอในผู้บริหารที่น่ารักจัด ๆ นะ โดยที่ทางบริษัทแม่ก็มีการโพสต์ประกาศแจ้งลงทางเฟสบริษัทตามปรกตินะใจความสรุปว่าลูกจ้างไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทแล้ว
ต่อมาเกือบเดือนบริษัทก็ลบโพสต์ไปเพราะเห็นแก่อนาคตของสตรีนางนี้จะได้สามารถใช้ชีวิตและหางานทำเพื่อเลี้ยงชีพหรือเลี้ยงผู้ชายหรือหมาแมวอะไรก็ว่าไปตามแต่อยากจะเลี้ยง
แต่ ๆ ๆ สตรีนางนี้ก็ดันฉวยโอกาสที่บริษัทลบโพสต์ไป โดยการไปโพสต์ที่เฟสตัวเองสรุปในใจความว่านางขยัน ทุ่มเท ซื่อสัตย์ ก่อร่างสร้างตัวกันมาตั้งแต่วันแรก แปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม โคตรจะรักและเคารพเจ้าของเลย เอาเป็นว่าอ่านแล้วซึ้งอ่ะ การเอาเค้าออกนี้เจ้าของดูเฬวววไปเลย
เรื่องควรจะจบเงียบๆไปตั้งแต่วันที่พ้นสภาพพนักงานไปแล้วใช่มะ แต่มันไม่ใช่ไง นางก็ออกมาโพสต์สร้างความดูดีหรือเตรียมตัวหลอกที่ใหม่ก็ไม่รู้อะนะ
แต่ว่าขุ่นพระ !!! ใครเลยจะรู้ความจริง “ความจริงก็คือความจริง”(ใส่เสียงครูปรี) นิทานเรื่องนี้มันก็เลยมีภาคต่อมาซะเลย ซึ่งมีอยู่แว้...... ในมุมของบริษัทก็จำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายน่ะสิ เนื้อหามีอยู่ว่า
นางยังกล้าออกมาตอบแบบตั้งคำถาม ทำให้เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิด และนางพยายามทำให้เหมือนว่านางเป็นผู้ถูกกระทำและเป็นผู้บริสุทธิ์
คงมีคนเชื่อ ถ้าคุณไม่รู้จักผู้หญิงนางนี้…
จับสามประเด็นที่ผู้หญิงนางนี้ต้องการสื่อสารในโพสต์ เพื่อปกป้องตัวเอง และบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น (แตะอกแล้วอุทานว่าแม่เจ้า !!!)
1. ประเด็นถึงคนทำงาน และน้อง ๆ ในทีม
- นางพยายามพูดถึงตัวเองว่าพุ่งไปข้างหน้าตลอดแต่ไม่แน่ใจว่าทุกคนพร้อมไปด้วยกันไหม พร้อมเปิดรับหรือเปล่า
- อ่านไปเหมือนให้เข้าใจว่านางขยันทุ่มเท มองไปข้างหน้าแต่คนอื่นอาจจะไม่พร้อมไปกับเธอ
- แต่ความจริงที่เกิดขึ้น คือ นางคนนี้ดูถูกคนอื่นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ทั้งคำพูดและการกระทำ ด่าทอเหยียดหยามคนอื่นในที่สาธารณะ ทั้งกลางห้องประชุม ในกลุ่มไลน์ ไม่ใช่แค่ทำให้คนอื่นรู้สึกโง่ แต่มันคือการลดทอนคุณค่าความเป็นคน แล้วยกตัวเองว่าฉลาดเหนือคนอื่น เช่น ‘ถ้าโง่ขนาดนี้ สงสารลูกมากนะ’ ’แน่ใจนะว่าที่เอามาเล่าคือผ่านสมองมาแล้ว’ ’พี่ว่าเขาไม่เหมาะนะ เพราะเขาโง่เกินไป’
- มันมีหลากหลายวิธีในการนำทีม ที่ไม่ใช้การยกตัวว่าฉลาดเหนือทุกคน แล้วกดลดคุณค่าของคนอื่น ทุกคนในทีมพร้อมไปข้างหน้าและทุ่มเทไม่น้อยกว่าคุณ ความสำเร็จที่ผ่านมาคือมาจากความทุ่มเทของทุกส่วนงาน น้องๆ ทุกคน ไม่ใช่แค่คุณ
2. ประเด็นถึงเหล่า Founder
- บอกว่ารัก เคารพ ผูกพันธ์กับพี่เจ้าของทั้งหมดเหมือนครอบครัว ไม่มีทางหักหลัง
- แน่ใจใช่ไหมที่พูด? ความจริงคือมันจะมีการพูดถึง Founder อยู่ 2 คนว่าคนนึง แก่โบราณมาก และอีกคนนึง โง่เกินไป ต่อหน้าพนักงานหลายต่อหลายครั้ง อันนี้คือ เคารพแล้วเนอะ? ทั้งที่ความจริงพี่ทั้งสองคนเก่งและเป็นคนที่ดีมาก
- อีกทั้งวิจารณ์ Founder ต่อหน้าพนักงาน ด้วยความไม่ให้เกียรติ ทำต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง กล่าวเรื่องไม่จริงที่เป็นการให้ร้าย อันนี้คือกตัญญูในความหมายของนางใช่มะ
- ตั้งบริษัทตัวเองมารับเงินจากลูกค้าทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นพนักงานประจำ คือตั้งใจผ่านบริษัทตัวเองก่อนแล้วค่อยส่งมาให้บริษัทที่ตัวเองเป็นพนักงาน หลังจากนั้นมาบอก Founder ว่าเป็นคนหางานมา อวยตัวเองว่าขยันสุด เธอจะเอาให้ได้ทั้งหน้าจาก Founder และเอาให้ได้ทั้งเงินเข้าตัวเอง แต่ความจริงคือกว่าเงินจะมาถึงเหล่า Founder ก็เป็นส่วนเหลือหลังจากที่เธอเอาผ่านบริษัทของเธอเท่าที่จะทำได้ อันนี้คือเรื่องที่เราจะทำกับคนในครอบครัว ใช่ป่ะ
- นอกจากนั้นกินข้าวส่วนตัว ยังเอาบิลเบิกบริษัท อันนี้คือตอบแทนความผูกพันธ์ซะอิ่มจังตังค์อยู่ครบเลยที่เดียวอารมณ์กงสีอ่ะหนูจ๋าาา
3. ประเด็นบอกว่าทำเพื่อบริษัทมาตลอด
- ความจริงคือ ทำเพื่อใคร? เพื่อบริษัทของใคร? ถ้าไม่รู้จริง ๆ ก็ให้ย้อนกลับไปดูว่าเงินมันเข้าไปที่ใคร
- นางใช้ Resource ของบริษัทที่นางรับเงินเดือน ทั้งงานครีเอทีฟคิดไอเดีย Graphic designer
ที่ต้องทำงานภายใต้เวลาที่เร่งเกินความจำเป็นเพราะต้องทำตามคำสั่ง คนที่ต้องเข้ามาช่วยประสานงานที่ต้องเป็นประสาทเพราะต้องรับอารมณ์แบบคาดเดาไม่ได้ เพื่อให้นางเอางานที่ใช้ Resource ฟรี ไปสร้างเสริม Connection ของตัวเองและความสัมพันธ์ส่วนตัว โดยไม่มีส่วนไหนเป็นรายได้ของบริษัท นอกจากนั้นงานบางส่วนเอาบริษัทของตัวเองเข้ารับรายได้
- อีกประเด็นสำคัญ บริษัทนั้นจ้างนางเป็นพนักงานประจำ แต่นางกลับเอาบริษัทของตัวเองมารับเงิน อันนี้คือซื่อสัตย์ในแบบของนางที่นางกำลังพยายามบอกทุกคนนะอย่าไปว่านาง
- รวมถึงการที่นางไปรับผลประโยชน์ที่บริษัทอื่น ได้ทั้งผลตอบแทนในรูปแบบเงินและทรัพย์สินอื่น โดยใช้เวลาการทำงานของบริษัทที่นางเป็นพนักงานประจำ อันนี้คือถูกต้องในแบบของนางอีกเช่นกัน
พิมพ์มาซะยาวได้แต่ร้อง เฮ้ออออ แยกแยะให้ได้ก่อนน๊าาาาาาา ผิดชอบชั่วดี คือพื้นฐานความเป็นคน
ถ้าคุณอยากแก้ไขข้อผิดพลาด ลองไม่ต้องพยายามทำให้ตัวเองเป็นคนถูก จากสิ่งที่สื่อออกมาเขียนออกมา เพราะความจริงคือความจริง
แต่ควรหันมองตัวเองว่าทำอะไรผิดมาบ้าง แล้วแก้ไขให้ความถูกต้องเกิดขึ้น จากการสำนึกที่แท้จริง
การยึดมั่นในความดี คือ มาจากการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูดสวยๆ
คุณไม่ต้องตั้งคำถามมาถามใคร ความซื่อสัตย์ถูกตั้งคำถามเพราะคุณโดนจับได้ คุณเงียบไปเพราะความจริงเปิดเผย
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหาร พนักงานระดับไหน ทุกคนต่างมีความสำคัญต่อองค์กรในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง และมีครอบครัวที่รักไม่ต่างกัน
เอาหล่ะ เรื่องเล่านิทานของเราก็จะประมาณนี้ ถ้าผลตอบรับดีเราก็อาจจะมีภาคต่อกันได้
แล้วไม่ต้องไปหาในอากู๋หรอก เพราะเรื่องนี้ยังไม่น่าจะมีลงเพราะยังใหม่ ๆ อยู่
บะบายยยยยยยยย...........
นิทาน Agency ตอน เรื่องวุ่น ๆ ของวัย(ไม่)รุ่นผู้บริหาร ปี 2567
คำเตือน !!!! ใครไม่ชอบนิทานดราม่า เรื่องชาวบ้านข้ามผ่านไปเลย แต่ถ้าชอบก็มากองรวมกันตรงนี้
เอาหล่ะ นิทานเรื่องมันมีอยู่ว่ามันมีบริษัท Agency ที่มีคนไทยเป็นทั้งหนึ่งในหุ้นส่วนและเจ้าของ เขามาร่วมกัน Work งานกัน แล้วเขาก็จ้างหญิงนางนึงมาช่วยเป็นหนึ่งในผู้บริหารเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยทำงาน มีชื่อว่านางรสชาติของน้ำผึ้งมะนาวผสมน้ำตาลและเกลือ ทีนี้นางก็ทำงานมาตั้งสิบกว่าปีก็ยังไม่มีอะไรก็ดำเนินงานไปตามเรื่อง แต่ดันมามีเรื่องให้มันแดงขึ้นมาในปีนี้ ก็จำพวกเรื่องปัญหาที่มักเจอในผู้บริหารที่น่ารักจัด ๆ นะ โดยที่ทางบริษัทแม่ก็มีการโพสต์ประกาศแจ้งลงทางเฟสบริษัทตามปรกตินะใจความสรุปว่าลูกจ้างไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทแล้ว
ต่อมาเกือบเดือนบริษัทก็ลบโพสต์ไปเพราะเห็นแก่อนาคตของสตรีนางนี้จะได้สามารถใช้ชีวิตและหางานทำเพื่อเลี้ยงชีพหรือเลี้ยงผู้ชายหรือหมาแมวอะไรก็ว่าไปตามแต่อยากจะเลี้ยง
แต่ ๆ ๆ สตรีนางนี้ก็ดันฉวยโอกาสที่บริษัทลบโพสต์ไป โดยการไปโพสต์ที่เฟสตัวเองสรุปในใจความว่านางขยัน ทุ่มเท ซื่อสัตย์ ก่อร่างสร้างตัวกันมาตั้งแต่วันแรก แปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม โคตรจะรักและเคารพเจ้าของเลย เอาเป็นว่าอ่านแล้วซึ้งอ่ะ การเอาเค้าออกนี้เจ้าของดูเฬวววไปเลย
เรื่องควรจะจบเงียบๆไปตั้งแต่วันที่พ้นสภาพพนักงานไปแล้วใช่มะ แต่มันไม่ใช่ไง นางก็ออกมาโพสต์สร้างความดูดีหรือเตรียมตัวหลอกที่ใหม่ก็ไม่รู้อะนะ
แต่ว่าขุ่นพระ !!! ใครเลยจะรู้ความจริง “ความจริงก็คือความจริง”(ใส่เสียงครูปรี) นิทานเรื่องนี้มันก็เลยมีภาคต่อมาซะเลย ซึ่งมีอยู่แว้...... ในมุมของบริษัทก็จำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายน่ะสิ เนื้อหามีอยู่ว่า
นางยังกล้าออกมาตอบแบบตั้งคำถาม ทำให้เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิด และนางพยายามทำให้เหมือนว่านางเป็นผู้ถูกกระทำและเป็นผู้บริสุทธิ์
คงมีคนเชื่อ ถ้าคุณไม่รู้จักผู้หญิงนางนี้…
จับสามประเด็นที่ผู้หญิงนางนี้ต้องการสื่อสารในโพสต์ เพื่อปกป้องตัวเอง และบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น (แตะอกแล้วอุทานว่าแม่เจ้า !!!)
1. ประเด็นถึงคนทำงาน และน้อง ๆ ในทีม
- นางพยายามพูดถึงตัวเองว่าพุ่งไปข้างหน้าตลอดแต่ไม่แน่ใจว่าทุกคนพร้อมไปด้วยกันไหม พร้อมเปิดรับหรือเปล่า
- อ่านไปเหมือนให้เข้าใจว่านางขยันทุ่มเท มองไปข้างหน้าแต่คนอื่นอาจจะไม่พร้อมไปกับเธอ
- แต่ความจริงที่เกิดขึ้น คือ นางคนนี้ดูถูกคนอื่นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ทั้งคำพูดและการกระทำ ด่าทอเหยียดหยามคนอื่นในที่สาธารณะ ทั้งกลางห้องประชุม ในกลุ่มไลน์ ไม่ใช่แค่ทำให้คนอื่นรู้สึกโง่ แต่มันคือการลดทอนคุณค่าความเป็นคน แล้วยกตัวเองว่าฉลาดเหนือคนอื่น เช่น ‘ถ้าโง่ขนาดนี้ สงสารลูกมากนะ’ ’แน่ใจนะว่าที่เอามาเล่าคือผ่านสมองมาแล้ว’ ’พี่ว่าเขาไม่เหมาะนะ เพราะเขาโง่เกินไป’
- มันมีหลากหลายวิธีในการนำทีม ที่ไม่ใช้การยกตัวว่าฉลาดเหนือทุกคน แล้วกดลดคุณค่าของคนอื่น ทุกคนในทีมพร้อมไปข้างหน้าและทุ่มเทไม่น้อยกว่าคุณ ความสำเร็จที่ผ่านมาคือมาจากความทุ่มเทของทุกส่วนงาน น้องๆ ทุกคน ไม่ใช่แค่คุณ
2. ประเด็นถึงเหล่า Founder
- บอกว่ารัก เคารพ ผูกพันธ์กับพี่เจ้าของทั้งหมดเหมือนครอบครัว ไม่มีทางหักหลัง
- แน่ใจใช่ไหมที่พูด? ความจริงคือมันจะมีการพูดถึง Founder อยู่ 2 คนว่าคนนึง แก่โบราณมาก และอีกคนนึง โง่เกินไป ต่อหน้าพนักงานหลายต่อหลายครั้ง อันนี้คือ เคารพแล้วเนอะ? ทั้งที่ความจริงพี่ทั้งสองคนเก่งและเป็นคนที่ดีมาก
- อีกทั้งวิจารณ์ Founder ต่อหน้าพนักงาน ด้วยความไม่ให้เกียรติ ทำต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง กล่าวเรื่องไม่จริงที่เป็นการให้ร้าย อันนี้คือกตัญญูในความหมายของนางใช่มะ
- ตั้งบริษัทตัวเองมารับเงินจากลูกค้าทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นพนักงานประจำ คือตั้งใจผ่านบริษัทตัวเองก่อนแล้วค่อยส่งมาให้บริษัทที่ตัวเองเป็นพนักงาน หลังจากนั้นมาบอก Founder ว่าเป็นคนหางานมา อวยตัวเองว่าขยันสุด เธอจะเอาให้ได้ทั้งหน้าจาก Founder และเอาให้ได้ทั้งเงินเข้าตัวเอง แต่ความจริงคือกว่าเงินจะมาถึงเหล่า Founder ก็เป็นส่วนเหลือหลังจากที่เธอเอาผ่านบริษัทของเธอเท่าที่จะทำได้ อันนี้คือเรื่องที่เราจะทำกับคนในครอบครัว ใช่ป่ะ
- นอกจากนั้นกินข้าวส่วนตัว ยังเอาบิลเบิกบริษัท อันนี้คือตอบแทนความผูกพันธ์ซะอิ่มจังตังค์อยู่ครบเลยที่เดียวอารมณ์กงสีอ่ะหนูจ๋าาา
3. ประเด็นบอกว่าทำเพื่อบริษัทมาตลอด
- ความจริงคือ ทำเพื่อใคร? เพื่อบริษัทของใคร? ถ้าไม่รู้จริง ๆ ก็ให้ย้อนกลับไปดูว่าเงินมันเข้าไปที่ใคร
- นางใช้ Resource ของบริษัทที่นางรับเงินเดือน ทั้งงานครีเอทีฟคิดไอเดีย Graphic designer
ที่ต้องทำงานภายใต้เวลาที่เร่งเกินความจำเป็นเพราะต้องทำตามคำสั่ง คนที่ต้องเข้ามาช่วยประสานงานที่ต้องเป็นประสาทเพราะต้องรับอารมณ์แบบคาดเดาไม่ได้ เพื่อให้นางเอางานที่ใช้ Resource ฟรี ไปสร้างเสริม Connection ของตัวเองและความสัมพันธ์ส่วนตัว โดยไม่มีส่วนไหนเป็นรายได้ของบริษัท นอกจากนั้นงานบางส่วนเอาบริษัทของตัวเองเข้ารับรายได้
- อีกประเด็นสำคัญ บริษัทนั้นจ้างนางเป็นพนักงานประจำ แต่นางกลับเอาบริษัทของตัวเองมารับเงิน อันนี้คือซื่อสัตย์ในแบบของนางที่นางกำลังพยายามบอกทุกคนนะอย่าไปว่านาง
- รวมถึงการที่นางไปรับผลประโยชน์ที่บริษัทอื่น ได้ทั้งผลตอบแทนในรูปแบบเงินและทรัพย์สินอื่น โดยใช้เวลาการทำงานของบริษัทที่นางเป็นพนักงานประจำ อันนี้คือถูกต้องในแบบของนางอีกเช่นกัน
พิมพ์มาซะยาวได้แต่ร้อง เฮ้ออออ แยกแยะให้ได้ก่อนน๊าาาาาาา ผิดชอบชั่วดี คือพื้นฐานความเป็นคน
ถ้าคุณอยากแก้ไขข้อผิดพลาด ลองไม่ต้องพยายามทำให้ตัวเองเป็นคนถูก จากสิ่งที่สื่อออกมาเขียนออกมา เพราะความจริงคือความจริง
แต่ควรหันมองตัวเองว่าทำอะไรผิดมาบ้าง แล้วแก้ไขให้ความถูกต้องเกิดขึ้น จากการสำนึกที่แท้จริง
การยึดมั่นในความดี คือ มาจากการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูดสวยๆ
คุณไม่ต้องตั้งคำถามมาถามใคร ความซื่อสัตย์ถูกตั้งคำถามเพราะคุณโดนจับได้ คุณเงียบไปเพราะความจริงเปิดเผย
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหาร พนักงานระดับไหน ทุกคนต่างมีความสำคัญต่อองค์กรในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง และมีครอบครัวที่รักไม่ต่างกัน
เอาหล่ะ เรื่องเล่านิทานของเราก็จะประมาณนี้ ถ้าผลตอบรับดีเราก็อาจจะมีภาคต่อกันได้
แล้วไม่ต้องไปหาในอากู๋หรอก เพราะเรื่องนี้ยังไม่น่าจะมีลงเพราะยังใหม่ ๆ อยู่
บะบายยยยยยยยย...........