พูดก่อนว่า ส่วนตัวทำงานที่ร้านลูกชิ้นทอด (เป็นคนงานในร้าน มีหน้าที่ขาย คือมัดน้ำจิ้ม ใส่ถุง ใส่ผัก เก็บเงิน พูดกับลูกค้า) ซึ่งร้านค่อนข้างขายดี ลูกค้าเยอะมากกกก ยอด 15,000-20,000 ต่อวัน ขายไม้ละ 5-10 บาทนะคะ
เรื่องคือ ลูกค้าบางท่านชอบขอน้ำจิ้มเพิ่มค่ะ ซึ่งตอนเราเข้าไปทำงานวันแรก เถ้าแก่เป็นคนมาเทรนเอง เขาบอกว่าผักหยิบเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าใกล้หมดให้หยิบน้อยลง แต่เถ้าแก่เน้นสุดๆ เคร่งสุดๆ คือ "น้ำจิ้ม" วันแรกไปเถ้าแก่เน้นกับเราเลยว่า ต้นทุนน้ำจิ้ม 'ถังละ 1,000 นะ' เวลาตักไม่ต้องเยอะมากเกิน เหลือเขาก็ทิ้ง เราก็โอเค ละตักน้ำจิ้มตามที่เถ้าแก่บอก
แล้วสิ่งที่เรากล้วที่สุดคือ การที่ "ลูกค้าขอน้ำจิ้มเพิ่ม" เพราะว่าอย่างแรกเลยคือ เรากลัวเถ้าแก่ดุ ว่าให้น้ำจิ้มลูกค้า เพราะน้ำจิ้มก็ต้นทุนค่ะ ครั้งนึงลูกค้าขอน้ำจิ้มเพิ่ม (คหสต.คือน้ำจิ้มที่ให้มันเยอะแล้วนะ) แต่ก็ให้ไปถุงเล็กถุงนึง วันนั้นหนักใจ เลยไปคุยกับเถ้าแก่ว่าให้น้ำจิ้มเพิ่มเป็นอะไรมั้ย เถ้าแก่บอกว่า ให้ถุงเล็กๆ นั้นแหละ น้ำจิ้มต้นทุนสูง แค่ถุงแรกที่ให้ก็ไม่หมดแล้ว เขาขอเราก็ให้ แต่ให้แค่ถุงเล็ก โอเคเราก็เข้าใจ หลังจากนั้นไม่มีเรื่องกลุ้มใจกับน้ำจิ้มแล้ว เพราะเถ้าแก่ก็เข้าใจ และมีอีกวันนึงที่เรารู้สึกเฟลไปหมด เฟลมากคือ วันนั้นเถ้าแก่กำลังเล่นมือถืออยู่ในร้าน แล้วมีลูกค้าคนนึงซื้อลูกชิ้น 140 บาท เป็นลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นและฮอดดอกใหญ่ จำนวน 12 ไม้ (ไม้ละ 10) และเกี๊ยว 20 บาท (ขอเน้นย้ำนิดนึงนะคะ เพราะวันนั้นเฟลมาก นอยที่สุด) แล้วปกติน้ำจิ้มเนี่ย 130+ เราจะทำน้ำจิ้ม 2 ถุงให้ แต่ว่าวันนั้นเราบอกเลยว่า เป็น 140 ที่น้อยไม้มากค่ะ เราใส่ถุงแกง 8x12 เอง เราก็เลยตักน้ำจิ้มใส่แค่ถุงเดียว แต่ถุงเดียวที่มีปริมาณเท่ากับแยก 2 ถุงนะคะ (คือที่แยกเพราะถุงมันจะใหญ่แล้วกลัวโดนไม้ลูกจิ้มทิ่มแตก) แต่วันนั้นใส่ถุงเดียวรวมเลยเพราะว่า มันไม้ไม่เยอะและลูกค้าเยอะด้วยเลยไม่อยากมัดหลายถุง เลยใส่รวมถุงเดียวแต่ปริมาณเท่าเดิมนะคะ พูดเลยนะคะตอนนั้นในใจคิดเลยว่า 'น้ำจิ้มโคตรเยอะ!!' พอลูกค้าเดินมาเอาบอกว่า "นั้นน้ำแม่หรอ เาเพิ่มให้แม่สักถุงหน่อย" เราก็ค่ะ เราก็เอาถุงเล็กให้ แล้วเหมือนลูกค้าจะยังไม่เดินไป เขาก็ก้มดูน้ำจิ้มแล้วบอกว่า "มันไม่พอหรอกเนี่ย เอามาเพิ่มอีกเถอะ" เราก็แบบว่าไม่อยากปฏิเสธเลยบอกว่า งั้นเปลี่ยนถุงเล็กเป็นถุงกลางให้นะคะ เราก็เอาถุงเล็กมาเปลี่ยนถุงกลางให้ แล้วเขาก็ยังไม่ไป แล้วก็พูดอีกว่า "เนี่ยมันไม่พออยู่ดี เอามาอีกถุงนึงเลย" เราก็ยืนก้ำกึ่งค่ะเพราะถุงกลางนั้นก็สำหรับราคา 50-60 แล้ว ทีนี้ลูกค้าเลยบอกว่างั้นถุงนั้นกี่บาท เราก็เลยตัดจบไปเลยว่า "งั้นเอาถุงเล็กไปด้วยเลยค่ะ" แล้วเขาก็ไปจากร้าน สรุปเป็น 3 ถุงที่ถ้าเทียบราคาก็เป็นน้ำจิ้มสำหรับ 200 บาทเลย พูดตรงๆ ว่าตอนนั้นไม่เต็มใจให้ และเฟลมาก เพราะหันหลังไปก็เจอเถ้าแก่นั่งดูอยู่ สรุปวันนั้นโดนเรียกไปตอนเลิกงาน เถ้าแก่บอกว่าทีหลังไม่ต้องให้ก็ได้ ถุงที่ 3 บอกไปเลยว่าเถ้าแก่ให้ได้แค่นี้ เพราะถุงแรกมันเยอะแล้ว เถ้าแก่ก็ดูอยู่ น้ำจิ้มมันมีต้นทุนเหมือนกัน และเถ้าแก่ก็บอกอีกว่า "เป็นที่ลูกค้าที่ไม่พอ ไม่ใช่หนูที่ให้น้อย แต่ทีหลังไม่ต้องให้ถุงที่ 3 นะ" บอกเลยว่า ตอนแรกเกือบร้องไห้ หลังใจชื้อหน่อยที่เขาเข้าใจเรา
สุดท้ายอยากบอกผู้บริโภคว่า ถ้าไม่พอจริงๆ ค่อยเพิ่ม เพราะสิ่งที่คุณขอมันคือกำไรเจ้าของร้านค่ะ ทุกอย่างมีต้นทุน บางอย่างถ้าไม่ขอมากไปเราก็ให้ได้ ถ้ามันมากไปเราก็ให้ไม่ไหวจริงๆ ค่ะ ใจเขาใจเรา ใจเรายังอยากเอาน้ำจิ้มไว้กินวันหลัง เพื่อประหยัดเงินเลย เจ้านายเขาก็อยากได้เงินส่วนนี้เป็นกำไรเหมือนๆ กันนั่นแหละค่ะ อยากให้ทุกๆ คนเข้าใจนะคะ🥺
ทำไมผู้บริโภคลูกชิ้นทอดบางคน ชอบขอน้ำจิ้มเพิ่ม
เรื่องคือ ลูกค้าบางท่านชอบขอน้ำจิ้มเพิ่มค่ะ ซึ่งตอนเราเข้าไปทำงานวันแรก เถ้าแก่เป็นคนมาเทรนเอง เขาบอกว่าผักหยิบเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าใกล้หมดให้หยิบน้อยลง แต่เถ้าแก่เน้นสุดๆ เคร่งสุดๆ คือ "น้ำจิ้ม" วันแรกไปเถ้าแก่เน้นกับเราเลยว่า ต้นทุนน้ำจิ้ม 'ถังละ 1,000 นะ' เวลาตักไม่ต้องเยอะมากเกิน เหลือเขาก็ทิ้ง เราก็โอเค ละตักน้ำจิ้มตามที่เถ้าแก่บอก
แล้วสิ่งที่เรากล้วที่สุดคือ การที่ "ลูกค้าขอน้ำจิ้มเพิ่ม" เพราะว่าอย่างแรกเลยคือ เรากลัวเถ้าแก่ดุ ว่าให้น้ำจิ้มลูกค้า เพราะน้ำจิ้มก็ต้นทุนค่ะ ครั้งนึงลูกค้าขอน้ำจิ้มเพิ่ม (คหสต.คือน้ำจิ้มที่ให้มันเยอะแล้วนะ) แต่ก็ให้ไปถุงเล็กถุงนึง วันนั้นหนักใจ เลยไปคุยกับเถ้าแก่ว่าให้น้ำจิ้มเพิ่มเป็นอะไรมั้ย เถ้าแก่บอกว่า ให้ถุงเล็กๆ นั้นแหละ น้ำจิ้มต้นทุนสูง แค่ถุงแรกที่ให้ก็ไม่หมดแล้ว เขาขอเราก็ให้ แต่ให้แค่ถุงเล็ก โอเคเราก็เข้าใจ หลังจากนั้นไม่มีเรื่องกลุ้มใจกับน้ำจิ้มแล้ว เพราะเถ้าแก่ก็เข้าใจ และมีอีกวันนึงที่เรารู้สึกเฟลไปหมด เฟลมากคือ วันนั้นเถ้าแก่กำลังเล่นมือถืออยู่ในร้าน แล้วมีลูกค้าคนนึงซื้อลูกชิ้น 140 บาท เป็นลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นและฮอดดอกใหญ่ จำนวน 12 ไม้ (ไม้ละ 10) และเกี๊ยว 20 บาท (ขอเน้นย้ำนิดนึงนะคะ เพราะวันนั้นเฟลมาก นอยที่สุด) แล้วปกติน้ำจิ้มเนี่ย 130+ เราจะทำน้ำจิ้ม 2 ถุงให้ แต่ว่าวันนั้นเราบอกเลยว่า เป็น 140 ที่น้อยไม้มากค่ะ เราใส่ถุงแกง 8x12 เอง เราก็เลยตักน้ำจิ้มใส่แค่ถุงเดียว แต่ถุงเดียวที่มีปริมาณเท่ากับแยก 2 ถุงนะคะ (คือที่แยกเพราะถุงมันจะใหญ่แล้วกลัวโดนไม้ลูกจิ้มทิ่มแตก) แต่วันนั้นใส่ถุงเดียวรวมเลยเพราะว่า มันไม้ไม่เยอะและลูกค้าเยอะด้วยเลยไม่อยากมัดหลายถุง เลยใส่รวมถุงเดียวแต่ปริมาณเท่าเดิมนะคะ พูดเลยนะคะตอนนั้นในใจคิดเลยว่า 'น้ำจิ้มโคตรเยอะ!!' พอลูกค้าเดินมาเอาบอกว่า "นั้นน้ำแม่หรอ เาเพิ่มให้แม่สักถุงหน่อย" เราก็ค่ะ เราก็เอาถุงเล็กให้ แล้วเหมือนลูกค้าจะยังไม่เดินไป เขาก็ก้มดูน้ำจิ้มแล้วบอกว่า "มันไม่พอหรอกเนี่ย เอามาเพิ่มอีกเถอะ" เราก็แบบว่าไม่อยากปฏิเสธเลยบอกว่า งั้นเปลี่ยนถุงเล็กเป็นถุงกลางให้นะคะ เราก็เอาถุงเล็กมาเปลี่ยนถุงกลางให้ แล้วเขาก็ยังไม่ไป แล้วก็พูดอีกว่า "เนี่ยมันไม่พออยู่ดี เอามาอีกถุงนึงเลย" เราก็ยืนก้ำกึ่งค่ะเพราะถุงกลางนั้นก็สำหรับราคา 50-60 แล้ว ทีนี้ลูกค้าเลยบอกว่างั้นถุงนั้นกี่บาท เราก็เลยตัดจบไปเลยว่า "งั้นเอาถุงเล็กไปด้วยเลยค่ะ" แล้วเขาก็ไปจากร้าน สรุปเป็น 3 ถุงที่ถ้าเทียบราคาก็เป็นน้ำจิ้มสำหรับ 200 บาทเลย พูดตรงๆ ว่าตอนนั้นไม่เต็มใจให้ และเฟลมาก เพราะหันหลังไปก็เจอเถ้าแก่นั่งดูอยู่ สรุปวันนั้นโดนเรียกไปตอนเลิกงาน เถ้าแก่บอกว่าทีหลังไม่ต้องให้ก็ได้ ถุงที่ 3 บอกไปเลยว่าเถ้าแก่ให้ได้แค่นี้ เพราะถุงแรกมันเยอะแล้ว เถ้าแก่ก็ดูอยู่ น้ำจิ้มมันมีต้นทุนเหมือนกัน และเถ้าแก่ก็บอกอีกว่า "เป็นที่ลูกค้าที่ไม่พอ ไม่ใช่หนูที่ให้น้อย แต่ทีหลังไม่ต้องให้ถุงที่ 3 นะ" บอกเลยว่า ตอนแรกเกือบร้องไห้ หลังใจชื้อหน่อยที่เขาเข้าใจเรา
สุดท้ายอยากบอกผู้บริโภคว่า ถ้าไม่พอจริงๆ ค่อยเพิ่ม เพราะสิ่งที่คุณขอมันคือกำไรเจ้าของร้านค่ะ ทุกอย่างมีต้นทุน บางอย่างถ้าไม่ขอมากไปเราก็ให้ได้ ถ้ามันมากไปเราก็ให้ไม่ไหวจริงๆ ค่ะ ใจเขาใจเรา ใจเรายังอยากเอาน้ำจิ้มไว้กินวันหลัง เพื่อประหยัดเงินเลย เจ้านายเขาก็อยากได้เงินส่วนนี้เป็นกำไรเหมือนๆ กันนั่นแหละค่ะ อยากให้ทุกๆ คนเข้าใจนะคะ🥺