เตี้ย

"นักเรียนนนน ... กราบบบบบ ..." เสียงเอื้อนยาวของ ด.ช. รุ่งโรจน์ หัวหน้าห้อง ป 6/3 โรงเรียนวัดพระโต

   "สวัสดีค่ะ นักเรียน วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของ ป.6 แล้วนะ ครูชื่อ ครูพรทิพย์ เป็นครูประจำชั้น ป.6/3 ..." เสียวหวานเจี๊ยบของคุณครูสาวสุดสวย ที่ผมทราบภายหลังว่าเพิ่งจบว.ค. (วิทยาลัยครู) มาจากจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ

   "... วันนี้เรามีเพื่อนใหม่ 2 คน ย้ายมาเรียนกับเราด้วย" ครูพูดพลางหันมาทางเราสองคน ...

   "คนนี้ ด.ช. .... ชื่อเล่นว่าเตี้ย ส่วนคนนี้ ด.ช. ... ชื่อเล่นว่า นก" ... ครูแนะนำเตี้ยกับผมให้เพื่อนๆทั้งห้องรู้จัก

   เตี้ย ... เป็นเด็กเตี้ยสมชื่อ มะขามข้อเดียว จุดศูนย์ถ่วงต่ำ แน่น ตัน ไหล่กว้าง ถ้าเล่นรักบี้ ชนอย่างไร เตี้ยคงไม่ล้มง่ายๆแน่ ผิวเตี้ยสีน้ำผึ้งเข้ม จมูกบานสไตล์อีสานแท้ ผมหยักโศก

   ถ้าเป็นสมัยนี้ผมน่าจะพูดได้ว่า ผมมีเพื่อนเป็นลูกครึ่ง และ เป็นเด็กสองภาษา(ไบลิงกวล)

   พ่อเตี้ยเป็นเขมร แม่เป็นลาว เตี้ยพูดได้คล่อง 2 ภาษา คือ เขมร และ ลาว คือ ลาวจริงๆ ไม่ใช่ไทยอีสาน เตี้ยเคยเล่าว่า พ่อเป็นคนเขมรอยู่ชายแดนไทยตรงอำเภอกันทรลักษณ์ แม่เป็นคนลาวขายของอยู่ในตลาดตำบลเล็กๆติดชายแดน เมื่อเตี้ยเกิดพ่อจึงตัดสินใจมาอยู่กับแม่ที่ตลาด

   เราสองคนเป็นตัวอย่างของความขัดแย้งที้สุดขั้วของสังคมไทยต่างจังหวัดในปี พ.ศ. 2520

   ผมเป็นลูกข้าราชการจากเมืองหลวง พ่อแม่จบปริญญาตรี เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป.1 โรงเรียนคาทอลิก พูดภาษากลางชัด อ่านภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่อีสานไม่ได้เลย

   เตี้ยเป็นเด็กชายขอบความเจริญ พ่อแม่อ่านภาษาไทยไม่ออกและเขียนไม่ได้ เตี้ยเกิดในเขตไทยจึงได้สัญชาติไทย พูดภาษาไทยกลางไม่ได้ เรียนที่โรงเรียนชายแดน

   แม้จะต่างที่มา แต่ที่ไปให้เรามาเป็นเพื่อนกันในชั้น ป.6 ที่โรงเรียนวัดพระโต อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ

   เราสนิทกันเร็วเพราะว่าเราเป็นเด็กใหม่เข้ากลางชั้นประถมปลาย เราจึงไม่รู้จักใครมาก่อนเลย ผมรู้หลายสิ่งที่เตี้ยไม่รู้ เตี้ยทำเป็นหลายอย่างในสิ่งที่ผมทำไม่เป็น ... ส่วนผสมที่แปลกๆ

   วิชาหนึ่งที่ผมเป็นที่หัวเราะเยาะของเพื่อนๆ คือ วิชาเกษตร นักเรียนทุกคนต้องถางหญ้าพื้นที่หลังโรงเรียน และ "ยกร่องทำแปลงผัก" ... เป็นครั้งแรกที่ผมเห็น และ ได้จับจอบจับเสียม ที่เคยเห็นแต่ในแผ่นภาพแปะบอร์ดทำรายงานข้างกระดานดำในชั้นแรียนตอน ป.5

   "นี่มันอะไร ไม่น่าจะเป็นแปลงผักนะพ่อหนุ่มกรุงเทพ" ครูเรียกผมไปดูผลงาน ... "ครูว่ามันดูเหมือนหลุมศพนะ เอาไม้มาปักไชว้กันนี่ใช่เลย"

   "ฮา ฮา ฮา" ... เสียงเพื่อนๆหัวเราะ ไม่ได้เยอะหยั่น แต่ขำแบบเอ็นดูพ่อหนุ่มกรุงเทพ

   ผมรู้จักความมหัศจรรย์ของจอบจากเตี้ย เหล็กแผ่นหนึ่งกับไม้เนื้อแข็งกลมๆยาวๆ จอบเป็นเครื่องมือธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

   เตี้ยชี้ให้ดูที่ขอบจอบ จอบถาก เหล็กบางเบา ขอบตรง เอาไว้ถางหญ้า จอบขุด เหล็กหนาหนัก ขอบเหล็กจะโค้งคว่ำ ขอบสองข้างจะแหลม ยิ่งโค้งมาก จะยิ่งขุดได้ลึก แต่กินแรงตอนงัด

   เวลาถางหญ้า ให้กางขาออกถางกวักเข้าหว่างขาแล้วก้าวไปข้างหน้า เวลาจะคิดว่าหยุดพักได้หรือยัง ให้เงยหน้ามองไปข้างหน้าว่าเหลือที่ยังไม่เสร็จอีกเท่าไร ไม่ใช่หันไปดูว่าที่เสร็จแล้วมากแค่ไหน และ นอกจากครูเกษตรแล้ว เตี้ยเป็นคนเดียวในห้องที่เหลาลิ่ม และ ตอกประกอบเข้าด้ามจอบได้

   บ้านพักอัยการอยู่ข้างรั้วศาลากลางจังหวัด มีทั้งหมด 5 หลัง วางเหมือนจุดบนลูกเต๋า แต่ล่ะบ้านไม่มีรั้วเป็นของตัวเอง มีแต่รั้วร่วมรอบทั้ง 5 หลัง เหมือนแนวขอบลูกเต๋า

   บ้านอัยการจังหวัด(หัวหน้า)เป็นจุดตรงกลาง บ้านอัยการที่อาวุโสอายุงานอยู่ขอบด้านติดถนน คุณพ่อผมอาวุโสอายุตัว แต่อายุงานน้อยสุด จึงได้อยู่บ้านหลังในสุดติดสวนขนุนของป้าที่ข้างๆ ในบริเวณบ้านพักอัยการอุดมไปด้วย มะม่วง มะขามหวาน มะขามเทศ ขนุน กล้วย และ มะละกอ

   หน้าบ้านพักอัยการมีต้นยางนาใหญ่มาก 1 ต้นเป็นจุดสังเกตุเวลาบอกสามล้อถีบให้เลี้ยวเข้าบริเวณบ้านพัก ถัดจากต้นยางนาเป็นคูน้ำแห้งๆเล็กๆ แล้วก็ถนนยางมะตอยขนาดแค่รถเก๋งสวนกันได้ จากนั้นก็เป็นคูน้ำแห้งเล็กๆอีกฟาก รั้วไม้โปร่งๆ หลังรั้วไม้เป็นห้องสมุดประชาชนจังหวัด

   เตี้ยอาศัยอยู่ที่ห้องสมุดนั้นกับพี่ชายญาติห่างๆที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวของศาลากลางให้เฝ้าห้องสมุด

   ห้องสมุดเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวยกสูง ข้างในมีโต๊ะใหญ่ยาว 3 ตัวตามแนวตัวอาคาร ซึ่งตอนกลางคืนก็กลายเป็นเตียงนอนของเตี้ย มีเก้าอี้ และ หนังสือต่างๆทั่วๆไปในตู้ริมผนัง มุมหนึ่งด้านปลายสุดอาคารกั้นเป็นส่วนเล็กๆของพนักงาน เป็นที่เก็บของเล็กน้อยของเตี้ย พวกมุ้งหมอนเสื้อผ้าห่มและชุดนักเรียน เตี้ยมีสมบัติเท่านี้จริงๆ สมัยนี้คงเรียกเท่ๆว่า อยู่แบบ มินิมอล

   เนื่องจากบ้านผมและห้องสมุดฯอยู่ทางเดียวกัน เราจึงเดินกลับบ้านด้วยกันเกือบทุกวัน เราเดินตัดผ่านวัดพระโต เตี้ยมักจะเดินเข้าไปขอข้าวก้นบาตรจะพระที่วัดเสมอๆ บางวันก็ได้กับข้าวนิดหน่อยติดมาด้วย เตี้ยไม่เคยเอามามากกว่าที่จะกินได้หมดในมื้อนั้น แม้ว่าหลวงพ่อจะให้มาเยอะๆ เตี้ยก็จะไม่เอา

   ข้างๆห้องสมุด มีที่เล็กๆขนาดรถกระบะจอดได้ 6 คัน เตี้ยแปลงสภาพเป็นแปลงสารพัดผัก เตี้ยเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้น แต่เตี้ยปลูกไม่เป็นระเบียบเท่าไร ดูรกๆ แต่ของที่เตี้ยปลูกกินได้ทุกอย่าง ถ้าต้องใช้เมล็ดเตี้ยก็ขอมาจากแม่ค้าหลังศาลากลาง พวกเมล็ดพริก ฟักทอง บวบ มะละกอ ส่วนพวกใช้หน่อ ใช้กิ่ง เตี้ยก็ขอคนโน้นคนนี้มา แช่น้ำแล้วปักๆ อุปกรณ์ต่างๆ เตี้ยก็ขอเอาที่เสียๆแล้วจากห้องเกษตรที่โรงเรียนเอามาซ่อมแล้วใช้ต่อ

   ส่วนเรื่องปุ๋ย เตี้ยไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเอาเศษอาหารเทๆสาดๆใส่ รดน้ำทุกวัน สองสามวันทีก็ฉี่ใส่ฝัวบัวเติมน้ำแล้วรดๆ ผมเห็นเตี้ยใส่แค่นี้จริงๆ แต่แปลงผักเตี้ยก็งามเอางามเอา

   ในห้องสมุดฯ มีหนังสือมากมาย แม้จะเก่าไปหน่อยแต่ก็เรียกว่าเยอะและหลากหลาย เตี้ยเป็นคนหัวช้าเรื่องการเรียน และ การอ่าน เตี้ยไม่ชอบอ่านอะไรที่มีแต่ตัวหนังสือ เตี้ยบ่นเวียนหัว เตี้ยจึงไม่อ่านพวกนิยาย หรือ บทความยาวๆ เตี้ยจะชอบอ่านพวกสารานุกรมที่มีรูปเยอะๆ ที่เตี้ยชอบที่สุด คือ หนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ

   ที่ห้องสมุดมีลูกโลกใบหนึ่งขนาดเท่าลูกบาส เตี้ยชอบเอามาให้ผมดูแล้วชี้ว่า อยากไปที่นั่นที่นี่ โดยเฉพาะพวก ภูเขา และ ป่าไม้ ผมได้ยินชื่อสถานที่ และ อะไรแปลกๆเป็นครั้งแรกในชีวิตก็จากเตี้ยที่แหละ แกรนเคนยอน กีวี่ จิงโจ้ ไนแองการ่า มุมเบอแรง เมารี อเมซอน อานาคอนดา ปิรันย่า ไนล์ ปิรามิด ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ เตี้ยอยากไปป่าอเมซอนที่สุด

   เตี้ยอ่านหนังสือทุกคืน และ อ่านเยอะมาก ห้องสมุดจึงเหมือนโลกที่บรรจุความฝันที่ยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กที่ชื่อเตี้ย

   ในรั้วบ้านอัยการมีมะม่วงอยู่หลายต้น แต่มีแค่ 3 พันธุ์ แก้ว อกร่อง และ แรด เราปีนขึ้นไปเก็บกินกันประจำ มีดเล่มหนึ่งเหน็บเอวกับใบตองห่อเกลือ ห่อกะปิ ก็เพียงพอแล้ว เตี้ยบอกว่า แก้วน่ะต้องจิ้มเกลือ อกร่องต้องจิ้มกะปิ ส่วนแรดน่ะ อะไรก็ได้ อร่อยเหมือนกันหมด ความรู้ใหม่สำหรับเด็กกรุงเทพอีกแล้ว ผมลองดู เออ มันก็จริง

   วันหนึ่งเราลืมเหน็บมีดขึ้นไปด้วย ผมกำลังจะปีนลงไปเอามีด เตี้ยบอกว่าไม่ต้อง เตี้ยหักกิ่งแก่ๆเท่าหัวแม่โป้งด้วยวิธีที่ผมไม่เคยเห็น

   เตี้ยบิดกิ่งก่อนครึ่งรอบแล้วกดสวนมาที่โคนกิ่ง กิ่งหักและแตกออกเป็นปากฉลามคล้ายลิ่มแหลมๆ เตี้ยเอามะม่วงดิบตะแคงให้ด้านสันอยู่ข้างบน แล้วก็เอากิ่งที่หักมาได้ จิ้มกระแทกลงไปที่สันมะม่วง คล้ายๆตอกลิ่ม แล้วบิดมะม่วง มะม่วงฉีกออกมาเป็นสองชิ้นอย่างง่ายๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจำติดตาจนทุกวันนี้ ... นี่มันไม่มีสอนในโรงเรียนไหนๆแน่ๆ

   เตี้ยเป็นคนที่ทำบาปขึ้นมาก ในชีวิตผมนี่ ผมทำผิดศีลข้อหนึ่งมากที่สุดก็ในช่วง 1 ปี ที่เป็นเพื่อนกับเตี้ยนี่แหละ

   หลังศาลากลางมีบึงใหญ่ขนาดสักราวๆ 3 - 4 สนามฟุตบอล รอบๆบึงมีถนนลูกรังเล็กๆ ระหว่างถนนลูกรังกับขอบบึงเต็มไปด้วยหญ้ารกแฉะ รอบบึงเป็นป่าโปร่งสลับที่เห็นได้ทั่วไปในภาคอีสาน ถัดจากขอบบึงด้านไกลสุดออกไปราว 500 เมตร เป็นคุกประจำจังหวัดที่ผมกับเตี้ยไม่เคยปั่นจักรยานไปถึงเพราะมีรั้วลวดหนามกั้น

   เตี้ยยิงหนังสติ๊กแม่นมาก เราไม่เคยกลับจากบึงมือเปล่าเลย ส่วนมากก็เป็นสัตว์เล็กๆที่เป็นเหยื่อหนังสติ๊กเตี้ย กิ้งก่า นก กบ เขียด หนูนา ฯลฯ อะไรพวกนี้ เมื่อเตี้ยยิงได้จะรีบเข้าไปจับแล้วปาคอทันที ผมถามว่าทำไมรีบจัง รอก่อไฟเสร็จก่อนก็ได้ จะได้สดๆ เตี้ยบอกว่า กินมันก็พอแล้วอย่าทรมานมันเลย พ่อสอนไว้

   รอบบึงจะมีเบ็ดปักเป็นแนวที่ชาวบ้านเอามาปักไว้ตอนหัวค่ำ แล้วมาปลดเบ็ดตอนเช้ามืด บางวันเตี้ยชวนผมมาตอนค่ำสัก 1 - 2 ทุ่ม แอบปลดเบ็ดเอาปลาไปทำกินตัวสองตัว แล้วเกี่ยวไส้เดือนแทนปลาเอาไว้ เตี้ยบอกว่า กว่าจะเช้าเดี๋ยวก็มีปลาตัวใหม่มากินเบ็ด เราก็เหมือนไม่ได้ขโมย

   "ทำไมเราไม่เอาไส้เดือนมาหลายๆตัว แล้วปลดเบ็ดไปเยอะหน่อย จะได้ไม่ต้องมาปลดเบ็ดบ่อย ที่ห้องสมุดไม่มีตู้เย็น เราก็ทำเค็มตากแห้งได้นี่นา" ... ผมเคยถาม

   เตี้ยบอกอย่าเก็บเลย จะกินแล้วค่อยมาเอา ... เตี้ยไม่เคยยิงนก จับกบเก็บไว้กินเช่นกัน

   เมนูมื้อเย็นที่เตี้ยทำริมสวนผักข้างห้องสมุด มี 2 อย่าง ไม่ต้มนึ่ง ก็ปิ้งย่าง เตี้ยไม่ทอด เตี้ยบอกว่า ไม่มีเงินซื้อน้ำมัน เตี้ยบอกว่าไม่จำเป็นต้องทอดก็ได้ เอาเงินไปซื้ออย่างอื่นที่จำเป็นดีกว่า

   บ่ายวันหนึ่งขากลับออกจากบึง ผมเห็นนกเล็กจิ๋วตัวหนึ่งในระยะที่ผมคิดว่าน่าจะยิงโดน อยากลองฝีมือหน่อย จึงยกหนังสติ๊กคู่ใจขึ้นเล็ง เตี้ยปัดมือผมออก ผมฉุนนิดๆ

   "นายจะกินมันเหรอ" ... เตี้ยถาม

   "เปล่านี่ อยากลองว่าจะโดนไหม" ... ผมตอบไปตรงๆ

   "ถ้าไม่กินมันก็อย่าไปฆ่ามัน" ... เตี้ยพูดสั้นๆแล้วก็เดินนำกลับออกจากบึง ผมไม่อยากถามต่อ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวเตี้ยก็ตอบว่า พ่อเราบอก

   ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมนึกถึงสมัยเรียนที่กรุงเทพ เด็กๆลูกผู้ดีมีการศึกษาบางคนเอาสัตว์ต่างๆมาเล่นอย่างสนุกสนานบนความทรมานของพวกมัน เอาใบสนเสียบก้นแมงปอ ปั่นจั๊กจั่นให้มึนงงแล้วให้มันเดินแข่งกัน เลี้ยงจิ้งหรีดเอามากัดพนัน เอาแมงทับใส่กล่องไม้ขีดแล้วลืมจนมันอดตาย เอาเชือกผูกขานกแล้วจูงให้มันบินเหมือนถือสายลูกโป่ง ฯลฯ

   ... ช่างต่างกันจริงๆกับลูกครึ่งคนชายขอบความเจริญที่แม้แต่พูดภาษาไทยกลางก็ยังไม่ชัด

   ก่อนถึงหลังศาลากลางมีต้นแก้วเรียงรายเป็นรั้วธรรมชาติซ้อนรั้วไม้ระแนง ผมชอบกลิ่นดอกแก้วที่หอมเย็นๆตอนใกล้ค่ำ คิดว่าจะเก็บไปใส่ถ้วยวางไว้ใต้ไม้กางเขนที่บ้าน พอจะเอื้อมมือไปเก็บมาใส่ชายเสื้อ

   "นายอย่าไปเด็ดมันเลย" ... เตี้ยพูดขึ้นมาจากข้างหลัง

   "ทำไมล่ะ" ... ผมสะดุ้งหันไปมอง ยังไม่หายเคืองที่เตี้ยปัดหนังสติ๊กผมเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา

   "ดอกไม้มันสวยที่สุดก็ตอนที่มันอยู่บนต้น แม่เราบอก" ... เตี้ยพูดลอยๆขึ้นมาเหมือนไม่ได้พูดกับผม แล้วก็เดินแซงนำหน้าผมไป ...

   ในวัยนั้นผมไม่เข้าใจนักหรอก แต่ไม่อยากทะเลาะกัน วันหลังผมก็แอบมาเก็บไปอยู่ดี

   อาจจะเป็นเพราะเตี้ยชอบชีวิตแบบนี้จึงอยากจะไปป่าอามาซอนสักครั้ง แต่ผมก็ไม่อยากทำลายควาามฝันเตี้ยด้วยการบอกว่า เรามีปัญญาไปไกลสุดได้แค่สถานีรถไฟเท่านั้น อย่าว่าไปให้ถึงกรุงเทพเลย

   อยู่กับก๋ง ... เป็นชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา ป.6 ในตอนนั้น และ ก็มีหนังเรื่องเดียวกันนี้ฉายด้วย เตี้ยยืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านได้ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ แต่วันที่โรงเรียนจัดให้ไปดูหนังกันทั้งห้อง ทุกคนต้องเสียตังค์ เตี้ยเป็นคนเดียวที่จะไม่ได้ดู ครูพรทิพย์ไปขอความอนุเคราะหฺ์เจ้าของโรงหนังให้เป็นกรณีพิเศษ โดยครูพรทิพย์ออกให้ครึ่งหนึ่ง เตี้ยจึงได้ดูหนังพร้อมเพื่อนๆ

--- ต่อที่ความเห็นที่ 1 นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่