- ไม่ได้เป็น FC Franchise นี้แต่ยอมรับว่าแต่ละภาคทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตามเช่นเคย ด้วย Concept ที่ว่า ห้ามส่งเสียง นอกจากน่าสนใจแล้วยังสามารถหากินแล้วขยายจักรวาลต่อไปได้เรื่อย ๆ แม้ไม่ได้มี Scene ไหนชอบเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นภาค 1 และ ภาค 2 แต่ในแง่ของสารที่ถ่ายทอดสำหรับผมภาคนี้มันเรียบง่ายและเข้าถึงไม่ยาก เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของเรื่องแล้วการนำ น้อนแมว มาเป็นตัวชูโรงเพื่อเอาใจคนรักสัตว์เช่นกัน แล้วพอมาอยู่ในมือของ Michael Sarnoski ผู้กำกับหนัง Drama สัตว์โลกผู้ (ถูก) ลักจนสะเทือนน้ำใจมาแล้วจาก Pig (2021) รับช่วงต่อจาก John Krasinski ผู้ปลูกปั้น Franchise ชุดนี้ที่ขอขยับขึ้นมาดำรงตำแหน่ง Producer ให้เขามากำกับภาคนี้ หลังจากดูจบ สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตัวหนังมีสเกลใหญ่ขึ้น อลังการด้วยเทคนิคทุนสร้างขึ้น แต่ยังคงรักษามาตรฐานตามสไตล์ของผู้กำกับที่เลือกจะเล่าในมุมเล็ก ๆ หยิบประเด็นที่อยู่ใกล้มาเล่นแล้วขับเคลื่อนความเป็น Drama อีกทีเลยทำให้โทนหนังมีทิศทางที่แตกต่างไปจากภาคก่อน
- ระหว่างที่ Part Drama ทำหน้าที่ของมันไปขณะเดียวกันก็ไปลดทอนความบันเทิงจาก Part Action หรือ Part Horror ลงไปพอสมควร Part Action ไม่มี เพราะ ไม่ได้เป็นจุดขายใน Franchise นี้อีกทั้งเหตุการณ์ในเรื่องก็เล่าจุดเริ่มต้นว่าเกิดอะไร ? ทุกอย่างพุ่งเข้ามากระทันหัน คนเห็นพวกนี้ก็รีบวิ่งหนีเอารอดก่อน ไม่ทันได้เตรียมรับมือใด ๆ จะไปบวกสุ่มสี่สุมห้าก็ถูกพวกมันสวบลูกเดียว แต่ Part Horror ที่เป็น Theme สำคัญอีกอย่างนอกจากจะให้พื้นที่น้อยลงแล้วกลับเทใจไปให้น้อนแมวที่มี Scene เท่ากับนักแสดงนำจนบางช่วงที่พัก break จากมหกรรมวิ่งราวก็ปล่อย Joint ให้น้อนเดินชิล ๆ เหมือนดูสารคดีตามติดชีวิตสัตว์โลกคั่นโฆษณา ส่วนพวกเอเลี่ยนรอบนี้โผล่มาจะ ๆ ที่ไม่ตื่นเต้นเหมือนภาคก่อนแล้วแต่บางช่วงทำเอาตกใจได้อยู่ เช่น ใน Scene สถานีรถไฟใต้ดินที่นึกถึงบรรยากาศอึดอัดผสมระแวงเหมือนกับ 28 Weeks Later (2007 และ Scene ที่ Sam ฝันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเอเลี่ยนโผล่หน้ากระจก ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจเบา ๆ
- การเดินเรื่อง go to ตามชื่อเรื่องผ่านตัวละคร Sam สาวที่กำลังเผชิญกับโรคมะเร็งในระยะสุดท้ายโดยมีน้อนแมวเป็นทั้งสัตว์เลี้ยง เจ้านาย และ เป็นทุกอย่างที่ Heel ใจเธอในโรงพยาบาล ตรงนี้หนังได้ใช้เวลาให้เราทำความรู้จักกันไม่นานจนกระทั่งระหว่างที่ Sam ขึ้นไปบนรถประจำทางกำลังจะกลับรอล้อหมุน จู่ ๆ เกิดระเบิดขึ้นสด ๆ เท่านั้นแหล่ะจึงเข้าสู่มหกรรมความบันเทิงที่เรารอคอยและให้อารมณ์เหวี่ยง ๆ ในระยะประชิดที่รู้สึกแบบเดียวกับ Cloverfield (2008) จนกระทั่งมาเจอกับ Eric ตัวละครสำคัญอีกคนที่กว่าจะโผล่ก็ปาไปกลางเรื่อง ขณะดูมีสงสัยด้วยความระแวงพร้อมกับตัว Sam ว่าหมอนี่จะมาดีหรือมาไม่ดีกันแน่ ? พอมี Scene ที่ทั้งคู่วิ่งหนีฝูงเอเลี่ยนด้วยกัน มีการพูดคุยหรือทำ Activity ร่วมกัน เราก็เห็นความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันโดยมีน้อนแมวเป็นกาวใจเชื่อมความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เคมีคู่จิ้นแต่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ตัวละครอีกคนที่มาจากภาค 2 อย่าง Henri รับบทโดยลุง Djimon ถึงภาคนี้โผล่ไม่เยอะแต่การปรากฎของลุงนอกจากเป็นเสาค้ำยันที่มั่นคงแล้วยังช่วยทำหน้าที่เชื่อมโยง Timeline ให้จักรวาล Franchise นี้แตกแขนงไปอีกหน่ออย่างแข็งแรงขึ้นไปอีก Step
- ถึงช่วงท้ายจะรู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร ? แต่ระหว่างทางจนถึงใกล้จะจบลุ้นไปกับ Scene ที่ทั้งคู่วิ่งหนีจากบรรดาเอเลี่ยนในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วงท้ายที่มีการพลิกแพลงจากสิ่งที่พวกมันชอบให้เป็นประโยชน์แล้วเอื้อต่อการเอาชีวิตรอดได้น่าสนใจรวมถึงสารที่ขับมาจากพลังของนักแสดง , ตัวบท หรือตัวน้อนแมวผ่านบทสนทนาและการกระทำก็ตามใน way ที่ไม่รุนแรงหรือฟูมฟายถึงขีดสุด อีกอย่างคือสงสัยในตัวน้อนแมวว่าทำไมไม่มีเสียงร้องในสถานการณ์หน้าสิ่งหน้าขวาน ทั้งที่จริงมันต้องร้องออกมาตามสัญชาตญาณแต่พอดูจบก็ได้อ่าน Comment ก็เลย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ซึ่งในภาพรวมเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาทีที่เนิบ ๆ เป็นส่วนใหญ่จนเกิดอาการหาวเป็นระยะ แต่ด้วยบรรยากาศรายล้อมที่เหมือนอยู่ในสถานที่ปิดก็ทำให้ใจเราตื่นตระหนกขวัญผวาเป็นระยะเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับในเรื่อง น่าเสียดายที่ไม่ได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงอีกว่าไอ้พวกเอเลี่ยนมาทำไมกันแน่แล้วทำไมถึงชอบเสพติดเสียงร้องกันจัง ?
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.107 A Quiet Place : Day One (2024) : อุบัติการณ์วันงดออกเสียง ยกที่ 1
- ไม่ได้เป็น FC Franchise นี้แต่ยอมรับว่าแต่ละภาคทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตามเช่นเคย ด้วย Concept ที่ว่า ห้ามส่งเสียง นอกจากน่าสนใจแล้วยังสามารถหากินแล้วขยายจักรวาลต่อไปได้เรื่อย ๆ แม้ไม่ได้มี Scene ไหนชอบเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นภาค 1 และ ภาค 2 แต่ในแง่ของสารที่ถ่ายทอดสำหรับผมภาคนี้มันเรียบง่ายและเข้าถึงไม่ยาก เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของเรื่องแล้วการนำ น้อนแมว มาเป็นตัวชูโรงเพื่อเอาใจคนรักสัตว์เช่นกัน แล้วพอมาอยู่ในมือของ Michael Sarnoski ผู้กำกับหนัง Drama สัตว์โลกผู้ (ถูก) ลักจนสะเทือนน้ำใจมาแล้วจาก Pig (2021) รับช่วงต่อจาก John Krasinski ผู้ปลูกปั้น Franchise ชุดนี้ที่ขอขยับขึ้นมาดำรงตำแหน่ง Producer ให้เขามากำกับภาคนี้ หลังจากดูจบ สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตัวหนังมีสเกลใหญ่ขึ้น อลังการด้วยเทคนิคทุนสร้างขึ้น แต่ยังคงรักษามาตรฐานตามสไตล์ของผู้กำกับที่เลือกจะเล่าในมุมเล็ก ๆ หยิบประเด็นที่อยู่ใกล้มาเล่นแล้วขับเคลื่อนความเป็น Drama อีกทีเลยทำให้โทนหนังมีทิศทางที่แตกต่างไปจากภาคก่อน
- ระหว่างที่ Part Drama ทำหน้าที่ของมันไปขณะเดียวกันก็ไปลดทอนความบันเทิงจาก Part Action หรือ Part Horror ลงไปพอสมควร Part Action ไม่มี เพราะ ไม่ได้เป็นจุดขายใน Franchise นี้อีกทั้งเหตุการณ์ในเรื่องก็เล่าจุดเริ่มต้นว่าเกิดอะไร ? ทุกอย่างพุ่งเข้ามากระทันหัน คนเห็นพวกนี้ก็รีบวิ่งหนีเอารอดก่อน ไม่ทันได้เตรียมรับมือใด ๆ จะไปบวกสุ่มสี่สุมห้าก็ถูกพวกมันสวบลูกเดียว แต่ Part Horror ที่เป็น Theme สำคัญอีกอย่างนอกจากจะให้พื้นที่น้อยลงแล้วกลับเทใจไปให้น้อนแมวที่มี Scene เท่ากับนักแสดงนำจนบางช่วงที่พัก break จากมหกรรมวิ่งราวก็ปล่อย Joint ให้น้อนเดินชิล ๆ เหมือนดูสารคดีตามติดชีวิตสัตว์โลกคั่นโฆษณา ส่วนพวกเอเลี่ยนรอบนี้โผล่มาจะ ๆ ที่ไม่ตื่นเต้นเหมือนภาคก่อนแล้วแต่บางช่วงทำเอาตกใจได้อยู่ เช่น ใน Scene สถานีรถไฟใต้ดินที่นึกถึงบรรยากาศอึดอัดผสมระแวงเหมือนกับ 28 Weeks Later (2007 และ Scene ที่ Sam ฝันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเอเลี่ยนโผล่หน้ากระจก ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจเบา ๆ
- การเดินเรื่อง go to ตามชื่อเรื่องผ่านตัวละคร Sam สาวที่กำลังเผชิญกับโรคมะเร็งในระยะสุดท้ายโดยมีน้อนแมวเป็นทั้งสัตว์เลี้ยง เจ้านาย และ เป็นทุกอย่างที่ Heel ใจเธอในโรงพยาบาล ตรงนี้หนังได้ใช้เวลาให้เราทำความรู้จักกันไม่นานจนกระทั่งระหว่างที่ Sam ขึ้นไปบนรถประจำทางกำลังจะกลับรอล้อหมุน จู่ ๆ เกิดระเบิดขึ้นสด ๆ เท่านั้นแหล่ะจึงเข้าสู่มหกรรมความบันเทิงที่เรารอคอยและให้อารมณ์เหวี่ยง ๆ ในระยะประชิดที่รู้สึกแบบเดียวกับ Cloverfield (2008) จนกระทั่งมาเจอกับ Eric ตัวละครสำคัญอีกคนที่กว่าจะโผล่ก็ปาไปกลางเรื่อง ขณะดูมีสงสัยด้วยความระแวงพร้อมกับตัว Sam ว่าหมอนี่จะมาดีหรือมาไม่ดีกันแน่ ? พอมี Scene ที่ทั้งคู่วิ่งหนีฝูงเอเลี่ยนด้วยกัน มีการพูดคุยหรือทำ Activity ร่วมกัน เราก็เห็นความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันโดยมีน้อนแมวเป็นกาวใจเชื่อมความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เคมีคู่จิ้นแต่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ตัวละครอีกคนที่มาจากภาค 2 อย่าง Henri รับบทโดยลุง Djimon ถึงภาคนี้โผล่ไม่เยอะแต่การปรากฎของลุงนอกจากเป็นเสาค้ำยันที่มั่นคงแล้วยังช่วยทำหน้าที่เชื่อมโยง Timeline ให้จักรวาล Franchise นี้แตกแขนงไปอีกหน่ออย่างแข็งแรงขึ้นไปอีก Step
- ถึงช่วงท้ายจะรู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร ? แต่ระหว่างทางจนถึงใกล้จะจบลุ้นไปกับ Scene ที่ทั้งคู่วิ่งหนีจากบรรดาเอเลี่ยนในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วงท้ายที่มีการพลิกแพลงจากสิ่งที่พวกมันชอบให้เป็นประโยชน์แล้วเอื้อต่อการเอาชีวิตรอดได้น่าสนใจรวมถึงสารที่ขับมาจากพลังของนักแสดง , ตัวบท หรือตัวน้อนแมวผ่านบทสนทนาและการกระทำก็ตามใน way ที่ไม่รุนแรงหรือฟูมฟายถึงขีดสุด อีกอย่างคือสงสัยในตัวน้อนแมวว่าทำไมไม่มีเสียงร้องในสถานการณ์หน้าสิ่งหน้าขวาน ทั้งที่จริงมันต้องร้องออกมาตามสัญชาตญาณแต่พอดูจบก็ได้อ่าน Comment ก็เลย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ซึ่งในภาพรวมเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาทีที่เนิบ ๆ เป็นส่วนใหญ่จนเกิดอาการหาวเป็นระยะ แต่ด้วยบรรยากาศรายล้อมที่เหมือนอยู่ในสถานที่ปิดก็ทำให้ใจเราตื่นตระหนกขวัญผวาเป็นระยะเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับในเรื่อง น่าเสียดายที่ไม่ได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงอีกว่าไอ้พวกเอเลี่ยนมาทำไมกันแน่แล้วทำไมถึงชอบเสพติดเสียงร้องกันจัง ?
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้