เชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนและคนวัยทำงานหลายๆ คนยังไงก็ต้องเจอปัญหา toxic ในที่ทำงานกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ทางผมเองล่าสุดก็เพิ่งเจอเรื่องแบบนี้ไป แต่ไม่ใช่เจอเองหรอก แค่ทีมที่ทำงานด้วยกันเกิดปัญหานี้ขึ้นมาจนบรรยากาศอึดอัด วันนี้เลยจะมาแชร์เรื่องราวคร่าวๆ รวมทั้งวิธีรับมือเคสนี้ครับ
เรื่องที่ผมเจอเป็นเรื่องของน้องในที่ทำงาน 2 คนที่อายุต่างกัน 5+ ปี คนที่อายุมากกว่าทำงานเก่งเพราะชั่วโมงบินสูง มีจุดที่ทำพลาดบ้างแต่ก็แก้ไขได้เองตลอด ในแง่ที่ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานแล้วถือว่าอุ่นใจทีเดียวเพราะเชื่อถือฝีมือได้ แต่ปัญหาคือน้องมันเป็นคนค่อนข้าง perfectionist ในเรื่องงานแล้วติดนิสัยขี้รำคาญทำให้ใส่อารมณ์เยอะเวลาต้องทำเรื่องเดิมซ้ำๆ เจอจุดผิดเดิมๆ และเวลาพูดก็จะตรงๆ ไม่อ้อมค้อม แต่ก็จะเป็นแค่เรื่องงาน พอจบแล้วปิดสวิตช์ตัวเองได้ไม่ติดใจกลับมาคิดมากอีก
ทีนี้ก็มีน้องเข้ามาใหม่ในทีมอีกคนโดยที่น้องคนข้างบนดูแล ซึ่งตอนเข้ามาน้องคนนี้เพิ่งจะจบได้ไม่นาน ประสบการณ์ทำงานน้อยก็จะมีจุดผิดพลาดเยอะก็ค่อยๆ เรียนรู้มาเรื่อยๆ จนตอนนี้ผ่านมาปีกว่าก็พอทำงานได้แต่ยังมีจุดที่ต้องการให้ช่วยหรือมองข้ามไปบ้าง และหลายๆ ครั้งที่ผิดจุดเดิมเพราะลืมเนื่องจากไม่ได้ทำเรื่องนั้นมาซักพัก
ปัญหามันเริ่มตรงนี้แหละ น้องคนแรกสอนไปหลายครั้งแล้ว แต่น้องที่เข้ามาใหม่ยังผิดจุดเดิมซ้ำ และยังไม่เก่งพอจะแก้ปัญหาเองได้ก็จะทำให้น้องคนแรกหงุดหงิดและใส่อารมณ์ ใส่อารมณ์นี่ไม่ได้ด่านะ แต่จะพูดว่าสอนไปหลายครั้งแล้ว มีตัวอย่างทำไมไม่ดูของเดิม และแสดงออกว่าหงุดหงิดชัดเจน ซึ่งตอนที่มารีวิวพวกข้อบกพร่องต่างๆ กันแล้วให้บอกความรู้สึกก็จะมีบอกว่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้ชี้ไปที่น้องคนที่โดนสอนเพราะมันมีเรื่องให้หงุดหงิดจากทีมอื่นที่ต้องทำงานด้วยกันเป็นปัญหามากกว่า แต่มันก็สะสมปัญหาซุกใต้พรมมาเรื่อยๆ
มารอบล่าสุด น้องที่เข้าใหม่พูดถึงเรื่องนี้และขอให้พูดกันแบบลดอารมณ์ลงหน่อย แต่น้องคนแรกบอกปรับให้ไม่ได้ ถ้ามีปัญหาคิดว่าทำงานด้วยกันไม่ได้ให้แจ้งพี่อีกคนที่เป็นหัวหน้าทีมหรือพี่ที่เป็นผู้จัดการเพื่อขอย้ายทีมหรือให้น้องคนแรกย้ายทีมจะได้ลดการปะทะได้
คืองานส่วนที่ 2 คนนี้ทำเป็นงานที่ผมช่วยได้น้อยมากเพราะไม่มีความรู้ส่วนนี้ แต่ได้มีโอกาสช่วยน้องเข้าใหม่นิดนึงตอนที่น้องติดแล้วทำไม่ได้ ตอนที่ทำได้คือน้องคนแรกมาช่วยแล้วชี้ให้เห็นว่าจุดผิดพลาดคืออะไร ให้ไปดูตัวอย่างจากของเดิมซึ่งแก้ได้ทันทีเลย แน่นอนน้องมันก็หงุดหงิดเพราะเป็นเรื่องที่สอนแล้วและมีตัวอย่าง
----------------------
เกริ่นไปยาวมากๆ แล้ว คราวนี้มาเรื่องวิธีรับมือกันบ้าง ถ้าอ่านข้างบนน่าจะเข้าใจ คือน้องคนแรกจะมีปัญหาเรื่องอารมณ์และสำหรับคนที่ต้องทำงานใต้เค้าแล้วจะนับเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอาจจะรู้สึก toxic ก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือน้องเก่งจริงๆ และสิ่งที่หงุดหงิดคือเข้าใจได้เพราะสอนซ้ำหลายรอบแล้ว แน่นอนว่าไม่มีปัญหานี้กับคนอื่นในทีมเพราะงานที่รับผิดชอบคนละส่วนกัน น้องมันมาทำแทนคนอื่นไม่ได้ก็จะเคารพงานส่วนที่คนอื่นทำ แต่พอเป็นส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบก็จะตั้งเกณฑ์ไว้สูง น้องที่เข้าใหม่แล้วต้องทำงานส่วนเดียวกันก็เลยต้องรับความคาดหวังไปด้วย
วิธีรับมือคนประเภทนี้จริงๆ แล้วไม่มีอะไรยุ่งยาก เพิ่ม skill ตัวเองและมีความรอบคอบในงานที่ทำขึ้นเยอะๆ ก็จบแล้ว เพราะถ้าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้น้องมันตั้งใจสอนโดยไม่ toxic แต่เมื่อไหร่ที่ต้องสอนซ้ำหลายๆ รอบก็จะเริ่มมีการแซะเกิดขึ้นแล้ว แต่แน่นอนว่าระหว่างเรียนรู้คนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้าทำผิดก็ยอมรับว่าตัวเองผิด ขอโทษ แล้วก็อย่าผิดซ้ำบ่อยๆ อีก ถ้าเป็นเรื่องที่มีตัวอย่างเก่าอยู่ก็ไปดูตัวอย่างเก่า ดูให้ละเอียดจนเจอจุดที่ผิดหรือแตกต่างเราก็จะแก้ปัญหาเองได้ หรือถ้าไม่แน่ใจว่ามีตัวอย่างมั้ยก็ถามถึงตัวอย่างโดยไม่ต้องให้มาสอนก็จะลดปัญหาไปได้เยอะแล้ว
ส่วนน้องที่เข้าใหม่ ตอนนี้ก็ทำงานด้วยกันมาปีกว่าแล้ว จริงอยู่ที่ชั่วโมงบินยังไม่เยอะก็ย่อมมองข้ามบางจุดได้ง่าย แต่การทำงานจริงทุกคนก็คาดหวังว่างานจะออกมาดีและช่วยลดภาระงานของทีมได้ ถึงจะไม่มีคนที่เด็กกว่าเข้ามาแต่จะทำตัวเป็นน้องเล็กให้คนช่วยตลอดไม่ได้ บางเรื่องต้องเรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้ ส่วนถ้ัาติดจริงๆ ก็ขอความช่วยเหลือ เรื่องที่เจอใส่อารมณ์ก็ต้องทำตีมึนไปบ้าง อย่าเก็บกลับไปคิดเยอะ การรับมือกับความ toxic ที่ผมใช้มานานและได้ผลเสมอคือ ถ้าเราผิดก็ขอโทษแล้วแก้ไข จำไว้เป็นบทเรียน แต่ถ้าเราไม่ผิดก็อธิบาย ถ้าตกลงกันได้ก็โอเค แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่มีเหตุผลที่ดีกว่ามาหักล้างแต่ก็ยังไม่ยอมรับเหตุผลฝั่งเรา เราก็ตีมึนไปเลยไม่ต้องคิดมาก ยังไงการทำงานมันก็ต้องมีเรื่องที่กระทบกระทั่งกันแบบนี้บ้างอยู่แล้ว มองงานให้เป็นงาน จบงานแล้วไม่ต้องกลับมาแบก สุขภาพจิตเราก็จะไม่เสีย
----------------------
เพิ่มอีกนิด
เรื่องนี้ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝั่งนะ เพราะส่วนตัวก็ไม่ใช่คนเก่งอะไร เคยผ่านจุดที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็นมาก่อน ก็ต้องให้คนอื่นสอน โชคดีที่พี่ที่เป็นคนสอนเค้าใจเย็นค่อยๆ สอนจนสะสมประสบการณ์มากพอให้ทำงานได้ แต่ผมเองก็ตั้งธงไว้กับตัวเองว่าจะต้องไม่พลาดเรื่องเดิมซ้ำหรืออย่างน้อยต้องไม่พลาดในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ขนาดเราเคยผ่านจุดที่เคยพลาดมาก่อนแต่เจอคนพลาดเรื่องเดิมซ้ำๆ ก็ยังหงุดหงิดเลย ที่ต่างคงมีแค่ผมไม่ใส่อารมณ์เพราะผมเข้าใจและพี่ๆ ที่เคยสอนผมมาก็คงรู้สึกคล้ายๆ กันตอนที่ผมยังเป็นเด็กใหม่
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ถ้าอ่านแล้ว relate กับตัวเองก็ลองปรับตัวดูนะ ถ้าคุณเป็นฝั่งน้องคนแรก ลองใจเย็นแล้วคิดถึงสมัยที่คุณยังเป็นเด็กใหม่ให้คนอื่นสอนดู ไม่ถึงกับต้องโอ๋แต่อย่างน้อยก็ไม่แสดงความหงุดหงิดออกมาข้างนอกก็พอแล้ว ส่วนถ้าคุณเป็นน้องคนเข้าใหม่ คุณก็ลองหัดเรียนรู้ด้วยตัวเอง แก้ปัญหาด้วยตัวเอง หัดดูจากตัวอย่างเก่าที่คล้ายกันดู บางทีตัวอย่างเก่ามันอาจจะใช้ไม่ได้ 100% หรอก แต่ถ้าคุณดูจนเข้าใจมันจะมีจุดที่คุณสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคุณถึงใช้มันไม่ได้และต้องขอความช่วยเหลือ ถ้าคุณมีเหตุผลที่เข้าใจได้ การขอความช่วยเหลือก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดีหรอก
How to ทนต่อความ toxic ในที่ทำงาน
เรื่องที่ผมเจอเป็นเรื่องของน้องในที่ทำงาน 2 คนที่อายุต่างกัน 5+ ปี คนที่อายุมากกว่าทำงานเก่งเพราะชั่วโมงบินสูง มีจุดที่ทำพลาดบ้างแต่ก็แก้ไขได้เองตลอด ในแง่ที่ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานแล้วถือว่าอุ่นใจทีเดียวเพราะเชื่อถือฝีมือได้ แต่ปัญหาคือน้องมันเป็นคนค่อนข้าง perfectionist ในเรื่องงานแล้วติดนิสัยขี้รำคาญทำให้ใส่อารมณ์เยอะเวลาต้องทำเรื่องเดิมซ้ำๆ เจอจุดผิดเดิมๆ และเวลาพูดก็จะตรงๆ ไม่อ้อมค้อม แต่ก็จะเป็นแค่เรื่องงาน พอจบแล้วปิดสวิตช์ตัวเองได้ไม่ติดใจกลับมาคิดมากอีก
ทีนี้ก็มีน้องเข้ามาใหม่ในทีมอีกคนโดยที่น้องคนข้างบนดูแล ซึ่งตอนเข้ามาน้องคนนี้เพิ่งจะจบได้ไม่นาน ประสบการณ์ทำงานน้อยก็จะมีจุดผิดพลาดเยอะก็ค่อยๆ เรียนรู้มาเรื่อยๆ จนตอนนี้ผ่านมาปีกว่าก็พอทำงานได้แต่ยังมีจุดที่ต้องการให้ช่วยหรือมองข้ามไปบ้าง และหลายๆ ครั้งที่ผิดจุดเดิมเพราะลืมเนื่องจากไม่ได้ทำเรื่องนั้นมาซักพัก
ปัญหามันเริ่มตรงนี้แหละ น้องคนแรกสอนไปหลายครั้งแล้ว แต่น้องที่เข้ามาใหม่ยังผิดจุดเดิมซ้ำ และยังไม่เก่งพอจะแก้ปัญหาเองได้ก็จะทำให้น้องคนแรกหงุดหงิดและใส่อารมณ์ ใส่อารมณ์นี่ไม่ได้ด่านะ แต่จะพูดว่าสอนไปหลายครั้งแล้ว มีตัวอย่างทำไมไม่ดูของเดิม และแสดงออกว่าหงุดหงิดชัดเจน ซึ่งตอนที่มารีวิวพวกข้อบกพร่องต่างๆ กันแล้วให้บอกความรู้สึกก็จะมีบอกว่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้ชี้ไปที่น้องคนที่โดนสอนเพราะมันมีเรื่องให้หงุดหงิดจากทีมอื่นที่ต้องทำงานด้วยกันเป็นปัญหามากกว่า แต่มันก็สะสมปัญหาซุกใต้พรมมาเรื่อยๆ
มารอบล่าสุด น้องที่เข้าใหม่พูดถึงเรื่องนี้และขอให้พูดกันแบบลดอารมณ์ลงหน่อย แต่น้องคนแรกบอกปรับให้ไม่ได้ ถ้ามีปัญหาคิดว่าทำงานด้วยกันไม่ได้ให้แจ้งพี่อีกคนที่เป็นหัวหน้าทีมหรือพี่ที่เป็นผู้จัดการเพื่อขอย้ายทีมหรือให้น้องคนแรกย้ายทีมจะได้ลดการปะทะได้
คืองานส่วนที่ 2 คนนี้ทำเป็นงานที่ผมช่วยได้น้อยมากเพราะไม่มีความรู้ส่วนนี้ แต่ได้มีโอกาสช่วยน้องเข้าใหม่นิดนึงตอนที่น้องติดแล้วทำไม่ได้ ตอนที่ทำได้คือน้องคนแรกมาช่วยแล้วชี้ให้เห็นว่าจุดผิดพลาดคืออะไร ให้ไปดูตัวอย่างจากของเดิมซึ่งแก้ได้ทันทีเลย แน่นอนน้องมันก็หงุดหงิดเพราะเป็นเรื่องที่สอนแล้วและมีตัวอย่าง
----------------------
เกริ่นไปยาวมากๆ แล้ว คราวนี้มาเรื่องวิธีรับมือกันบ้าง ถ้าอ่านข้างบนน่าจะเข้าใจ คือน้องคนแรกจะมีปัญหาเรื่องอารมณ์และสำหรับคนที่ต้องทำงานใต้เค้าแล้วจะนับเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอาจจะรู้สึก toxic ก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือน้องเก่งจริงๆ และสิ่งที่หงุดหงิดคือเข้าใจได้เพราะสอนซ้ำหลายรอบแล้ว แน่นอนว่าไม่มีปัญหานี้กับคนอื่นในทีมเพราะงานที่รับผิดชอบคนละส่วนกัน น้องมันมาทำแทนคนอื่นไม่ได้ก็จะเคารพงานส่วนที่คนอื่นทำ แต่พอเป็นส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบก็จะตั้งเกณฑ์ไว้สูง น้องที่เข้าใหม่แล้วต้องทำงานส่วนเดียวกันก็เลยต้องรับความคาดหวังไปด้วย
วิธีรับมือคนประเภทนี้จริงๆ แล้วไม่มีอะไรยุ่งยาก เพิ่ม skill ตัวเองและมีความรอบคอบในงานที่ทำขึ้นเยอะๆ ก็จบแล้ว เพราะถ้าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้น้องมันตั้งใจสอนโดยไม่ toxic แต่เมื่อไหร่ที่ต้องสอนซ้ำหลายๆ รอบก็จะเริ่มมีการแซะเกิดขึ้นแล้ว แต่แน่นอนว่าระหว่างเรียนรู้คนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้าทำผิดก็ยอมรับว่าตัวเองผิด ขอโทษ แล้วก็อย่าผิดซ้ำบ่อยๆ อีก ถ้าเป็นเรื่องที่มีตัวอย่างเก่าอยู่ก็ไปดูตัวอย่างเก่า ดูให้ละเอียดจนเจอจุดที่ผิดหรือแตกต่างเราก็จะแก้ปัญหาเองได้ หรือถ้าไม่แน่ใจว่ามีตัวอย่างมั้ยก็ถามถึงตัวอย่างโดยไม่ต้องให้มาสอนก็จะลดปัญหาไปได้เยอะแล้ว
ส่วนน้องที่เข้าใหม่ ตอนนี้ก็ทำงานด้วยกันมาปีกว่าแล้ว จริงอยู่ที่ชั่วโมงบินยังไม่เยอะก็ย่อมมองข้ามบางจุดได้ง่าย แต่การทำงานจริงทุกคนก็คาดหวังว่างานจะออกมาดีและช่วยลดภาระงานของทีมได้ ถึงจะไม่มีคนที่เด็กกว่าเข้ามาแต่จะทำตัวเป็นน้องเล็กให้คนช่วยตลอดไม่ได้ บางเรื่องต้องเรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้ ส่วนถ้ัาติดจริงๆ ก็ขอความช่วยเหลือ เรื่องที่เจอใส่อารมณ์ก็ต้องทำตีมึนไปบ้าง อย่าเก็บกลับไปคิดเยอะ การรับมือกับความ toxic ที่ผมใช้มานานและได้ผลเสมอคือ ถ้าเราผิดก็ขอโทษแล้วแก้ไข จำไว้เป็นบทเรียน แต่ถ้าเราไม่ผิดก็อธิบาย ถ้าตกลงกันได้ก็โอเค แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่มีเหตุผลที่ดีกว่ามาหักล้างแต่ก็ยังไม่ยอมรับเหตุผลฝั่งเรา เราก็ตีมึนไปเลยไม่ต้องคิดมาก ยังไงการทำงานมันก็ต้องมีเรื่องที่กระทบกระทั่งกันแบบนี้บ้างอยู่แล้ว มองงานให้เป็นงาน จบงานแล้วไม่ต้องกลับมาแบก สุขภาพจิตเราก็จะไม่เสีย
----------------------
เพิ่มอีกนิด
เรื่องนี้ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝั่งนะ เพราะส่วนตัวก็ไม่ใช่คนเก่งอะไร เคยผ่านจุดที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็นมาก่อน ก็ต้องให้คนอื่นสอน โชคดีที่พี่ที่เป็นคนสอนเค้าใจเย็นค่อยๆ สอนจนสะสมประสบการณ์มากพอให้ทำงานได้ แต่ผมเองก็ตั้งธงไว้กับตัวเองว่าจะต้องไม่พลาดเรื่องเดิมซ้ำหรืออย่างน้อยต้องไม่พลาดในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ขนาดเราเคยผ่านจุดที่เคยพลาดมาก่อนแต่เจอคนพลาดเรื่องเดิมซ้ำๆ ก็ยังหงุดหงิดเลย ที่ต่างคงมีแค่ผมไม่ใส่อารมณ์เพราะผมเข้าใจและพี่ๆ ที่เคยสอนผมมาก็คงรู้สึกคล้ายๆ กันตอนที่ผมยังเป็นเด็กใหม่
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ถ้าอ่านแล้ว relate กับตัวเองก็ลองปรับตัวดูนะ ถ้าคุณเป็นฝั่งน้องคนแรก ลองใจเย็นแล้วคิดถึงสมัยที่คุณยังเป็นเด็กใหม่ให้คนอื่นสอนดู ไม่ถึงกับต้องโอ๋แต่อย่างน้อยก็ไม่แสดงความหงุดหงิดออกมาข้างนอกก็พอแล้ว ส่วนถ้าคุณเป็นน้องคนเข้าใหม่ คุณก็ลองหัดเรียนรู้ด้วยตัวเอง แก้ปัญหาด้วยตัวเอง หัดดูจากตัวอย่างเก่าที่คล้ายกันดู บางทีตัวอย่างเก่ามันอาจจะใช้ไม่ได้ 100% หรอก แต่ถ้าคุณดูจนเข้าใจมันจะมีจุดที่คุณสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคุณถึงใช้มันไม่ได้และต้องขอความช่วยเหลือ ถ้าคุณมีเหตุผลที่เข้าใจได้ การขอความช่วยเหลือก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดีหรอก