ดาเนียล (อันโตนีโอ ซาบอย) นายตำรวจหนุ่มบราซิลที่มีอนาคต
แต่หลังจากที่เขาถูกพักงานอย่างไม่มีกำหนดในข้อหาใช้ความรุนแรงระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ประกอบกับซาร่า คนรักทางออนไลน์ที่เขาคุยอยู่ด้วยทุกวันก็ติดต่อไม่ได้อย่างกะทันหัน
ดาเนียล เลยตัดสินใจตามหาตัวเธอ
ดาเนียลขับรถไปทั่วประเทศเป็นระยะทางกว่า 2,000 ไมล์เพื่อตามหาเธอ
เขาเอารูปของซาร่าไปติดทั่วเมือง แต่ไม่มีใครรู้จักหรือจำเธอได้เลย
จนกระทั่งวันนึงเขาได้รับโทรศัพท์ลึกลับจากคนที่อ้างว่ารู้จักเธอและขอเจอเขา
แต่สิ่งที่ดาเนียลพบหลังจากนั้น ได้เปลี่ยนแปลงความจริงในใจของเขาไปตลอดกาล
ในประเทศบราซิลซึ่งมีอัตราอาชญากรรมต่อคนข้ามเพศและเพศทางเลือกสูงที่สุดในโลก
ทางผู้กำกับ Aly Muritiba ได้นำเสนอถึงความรักและสิทธิในการเลือกที่จะใช้ชีวิตของผู้คนในกลุ่ม LGBTQ
ซึ่งถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปิดกว้างมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ในหลายพื้นที่กลับมองว่า LGBTQ เหมือนเป็นโรคร้ายที่ยังต้องการการรักษา
ทั้งในเรื่องความเชื่อทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการแสดงออกในเรื่องของเพศที่ตัวเองอยากจะเป็นแต่ก็ไม่สามารถที่จะกระทำได้
สิ่งเหล่านี้ถูกสะสมจนกลายเป็นปัญหาทางสังคมที่ต้องการทางออก..
ความเข้าใจและการพูดคุยกันในครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
หากแต่ว่าถ้าคนในบ้านไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจ ก็เท่ากับเราผลักพวกเขาให้ออกไปด้วยตัวเอง
ในหนังจะมีบทของ ร็อบสัน (เปโดร ฟาซานาโร) เป็นเด็กหนุ่มชนชั้นแรงงานที่ต้องทำงานหลายอย่าง
เพื่อดูแลยายผู้เคร่งศาสนาในโซบราดินโอ เมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
ซึ่งต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขาไว้เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้
เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดว่าสิ่งที่เขาต้องพบเจอนั้นมันเจ็บปวดมากแค่ไหน
Private Desert จึงเป็นเหมือนภาพยนตร์ที่เป็นสะพานให้เราได้รู้จักและเข้าใจพวกเขาเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
และทำให้เรารู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ และไม่มีกำแพงใดจะมาขวางกั้นได้
เอาล่ะครับกับรีวิว 4 หนังเรื่องราวเกี่ยวกับ LGBTQIA+ ความรักอันหลากหลายที่ไม่มีข้อจำกัด
ที่ผมนำรวมมาเสนอในเดือนมิถุนายน Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจ
จริงๆแล้วยังภาพยนตร์มีอีกมากมายหลายเรื่องนะครับที่เกี่ยวกับความรักหลากหลายเช่นนี้
มีโอกาสผมจะมาทยอยรีวิวให้อ่านกันอีกในโอกาสหน้า ส่วนเดือนกรกฎาคมที่จะมาถึงจะรีวิวหนังเอา concept ไรต่อดีล่ะเนี่ย นึกไม่ออก 555
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Private Desert (2021) ตามหารัก.. ที่สูญหาย ==
ดาเนียล (อันโตนีโอ ซาบอย) นายตำรวจหนุ่มบราซิลที่มีอนาคต
แต่หลังจากที่เขาถูกพักงานอย่างไม่มีกำหนดในข้อหาใช้ความรุนแรงระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ประกอบกับซาร่า คนรักทางออนไลน์ที่เขาคุยอยู่ด้วยทุกวันก็ติดต่อไม่ได้อย่างกะทันหัน
ดาเนียล เลยตัดสินใจตามหาตัวเธอ
ดาเนียลขับรถไปทั่วประเทศเป็นระยะทางกว่า 2,000 ไมล์เพื่อตามหาเธอ
เขาเอารูปของซาร่าไปติดทั่วเมือง แต่ไม่มีใครรู้จักหรือจำเธอได้เลย
จนกระทั่งวันนึงเขาได้รับโทรศัพท์ลึกลับจากคนที่อ้างว่ารู้จักเธอและขอเจอเขา
แต่สิ่งที่ดาเนียลพบหลังจากนั้น ได้เปลี่ยนแปลงความจริงในใจของเขาไปตลอดกาล
ในประเทศบราซิลซึ่งมีอัตราอาชญากรรมต่อคนข้ามเพศและเพศทางเลือกสูงที่สุดในโลก
ทางผู้กำกับ Aly Muritiba ได้นำเสนอถึงความรักและสิทธิในการเลือกที่จะใช้ชีวิตของผู้คนในกลุ่ม LGBTQ
ซึ่งถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปิดกว้างมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ในหลายพื้นที่กลับมองว่า LGBTQ เหมือนเป็นโรคร้ายที่ยังต้องการการรักษา
ทั้งในเรื่องความเชื่อทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการแสดงออกในเรื่องของเพศที่ตัวเองอยากจะเป็นแต่ก็ไม่สามารถที่จะกระทำได้
สิ่งเหล่านี้ถูกสะสมจนกลายเป็นปัญหาทางสังคมที่ต้องการทางออก..
ความเข้าใจและการพูดคุยกันในครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
หากแต่ว่าถ้าคนในบ้านไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจ ก็เท่ากับเราผลักพวกเขาให้ออกไปด้วยตัวเอง
ในหนังจะมีบทของ ร็อบสัน (เปโดร ฟาซานาโร) เป็นเด็กหนุ่มชนชั้นแรงงานที่ต้องทำงานหลายอย่าง
เพื่อดูแลยายผู้เคร่งศาสนาในโซบราดินโอ เมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
ซึ่งต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขาไว้เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้
เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดว่าสิ่งที่เขาต้องพบเจอนั้นมันเจ็บปวดมากแค่ไหน
Private Desert จึงเป็นเหมือนภาพยนตร์ที่เป็นสะพานให้เราได้รู้จักและเข้าใจพวกเขาเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
และทำให้เรารู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ และไม่มีกำแพงใดจะมาขวางกั้นได้
เอาล่ะครับกับรีวิว 4 หนังเรื่องราวเกี่ยวกับ LGBTQIA+ ความรักอันหลากหลายที่ไม่มีข้อจำกัด
ที่ผมนำรวมมาเสนอในเดือนมิถุนายน Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจ
จริงๆแล้วยังภาพยนตร์มีอีกมากมายหลายเรื่องนะครับที่เกี่ยวกับความรักหลากหลายเช่นนี้
มีโอกาสผมจะมาทยอยรีวิวให้อ่านกันอีกในโอกาสหน้า ส่วนเดือนกรกฎาคมที่จะมาถึงจะรีวิวหนังเอา concept ไรต่อดีล่ะเนี่ย นึกไม่ออก 555
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===