ค่ำคืนดึกสะงัด บรรยากาศเย็นๆ ชื้นๆ ท่ามกลางห้องแสงไฟสลัว แสงจ้าจากทีวีจอนูนที่มีปุ่มหมุนสำหรับเปลี่ยนช่อง ปรากฏภาพของรายการทีวีที่เปิดไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาในยามดึกสำหรับเหล่านกฮูกที่ยังไม่หลับใหล ซึ่งเป็นรายการเพียงไม่กี่ช่องที่ยังออกอากาศอยู่ และคงเป็นความบันเทิงหนึ่งเดียวในค่ำคืนนี้ นี่คือสัมผัสจากกายเนื้อที่รู้สึกได้จากการรับชม Late Night with the Devil ในโรงภาพยนตร์

.
“คืนนี้ผีมาคุย” แม้ว่าด้วยตัวพล็อตเรื่องจะทำให้เรารู้ได้ทันทีว่า “แขกรับเชิญ” ดาวเด่นในคืน(เรื่อง)นี้ คือ ตัวของเด็กสาวนามว่า “ลิลลี่” (Ingrid Torelli) ที่อ้างว่ามีปีศาจสิงอยู่ในตัวเธอและสามารถแสดงการมีอยู่ของมันได้ แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่สองผู้กำกับคาเมร่อนและโคลิน (Cameron/Colin Cairnes) สร้างขึ้นนั้น ทำให้สมองของผู้ชม(จริงๆ) ไม่ได้อยู่เฉยและครุ่นคิดไปพร้อมๆ กับการดำเนินเรื่องตลอดเวลา เพื่อหาคำตอบว่า สิ่งที่เราได้เห็นในรายการนั้นที่จริงแล้วมันคือละครปาหี่หรือว่าเป็นเรื่องจริง(ในหนัง)กันแน่

.
นักสื่อสารวิญญาณ “คริสตู” (Fayssal Bazzi) และ นักจับผิดเรื่องลวงโลก “คาร์ไมเคิล” (Ian Bliss) คือ สองตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างชาญฉลาด ฝ่ายแรกถูกใส่มาเพื่อสร้างความแคลงใจให้กับผู้ชมในช่วงแรกของรายการ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นกับเขาที่ทำให้เราสงสัยว่าเขากำลังเล่นละครอยู่หรือไม่ ส่วนฝ่ายหลังเป็นตัวแทนของความไม่เชื่อและมองว่าทั้งหมดเป็นแค่การเล่นกลหรือการสะกดจิตหมู่เท่านั้น

.
รูปแบบของรายการจึงมีการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน คริสตู ลิลลี่ และผู้ปกครองของเธออย่าง “เจน” (Laura Gordon) ที่อยู่ในฝั่งเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างหมดใจ? หรือ “กัส” (Rhys Auteri) หัวหน้าทีมเครื่องดนตรีที่ดูจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง(จิตอ่อน) ส่วนฝั่งที่ไม่เชื่อเห็นทีจะเป็นตัวของคาร์ไม่เคิลที่มองเรื่องเหล่านี้เป็นแค่การแสดงละครและพยายามจะจับผิด กับทีมงานบางส่วนที่อาจจะไม่สนใจอะไรและทำงานของตัวเองต่อไป ซึ่งผู้ชมอย่างเราๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ฝั่งไหนก็ได้ โดยท้ายที่สุดผู้ที่อยู่ตรงกลางไม้กระดกนี้ ก็คือ ตัวของพิธีกรอย่าง “แจ็ค เดลรอย” (David Dastmalchian) นี่เอง

.
ความสนุกของเรื่องอยู่ตรงที่เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและตัวละครออกมากันครบแล้ว ในช่วงกลางเรื่องลิลลี่เริ่มแสดง “ปีศาจ” ที่อยู่กับตัวเธอออกมา ทุกอย่างก็เริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเราเกิดเผลอใจขึ้นมาว่า “หรือจะจริง” (สำหรับคนที่อยู่ฝั่งไม่เชื่อ) และเมื่อเวลาผ่านไป ความโกลาหลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันกลับไปถึงจุดที่ทุกอย่างดูสั่นคลอนขึ้นอีกครั้ง และมันกลายเป็นว่า “อ้าว หรือจะไม่จริง” ไม่เพียงแค่กับเราในฐานะผู้ชม แต่กับตัวละครในเรื่องเองด้วยเช่นกัน

.
เรื่องไม่ได้จบที่การหาว่าตกลงแล้วจริงหรือไม่จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นการเตลิดไปจนแทบจะหาคำอธิบายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อทุกอย่างกลายเป็นความวิปลาส สิ่งที่เป็นเหมือนเนื้อเรื่องรองที่ผู้ชมอย่างเราต้องคอยปะติดปะต่อมันก็ผุดขึ้นมา มันคือ เรื่องของแจ็ค เดลรอย ที่ตอนแรกเราเข้าใจได้ว่าเขาก็แค่เป็นพิธีกร แต่จากคำใบ้ทั้งหลายไปจนแทบจะจบเรื่อง กลับให้ความรู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเวทีของเขาคนเดียวด้วยซ้ำ

.
ความโดดเด่นของ Late Night with the Devil คือ การดำเนินเรื่องด้วยท่าทีของความเป็นเลทไนท์โชว์แบบถ่ายทอดสด โดยมีการแบ่งเบรครายการและตัดเข้าโฆษณา ซึ่งในช่วงที่ตัดเข้าโฆษณาเราก็จะได้เห็นบรรยากาศหลังกล้องที่ค่อนข้างวุ่นวายอันเป็นวิถีคนทำงานเบื้องหลังแล้ว มันยังเป็นพื้นที่เล่าเรื่องที่ชาญฉลาดมากๆ อีกด้วย ทั้งเรื่องราวของการพยายามฉุดเรตติ้งของ Night Owl รายการที่อยู่ในเรื่องนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคที่เรตติ้งเท่ากับพระเจ้า ผลประโยชน์ระหว่างแจ็คกับผู้ผลิตรายการคู่บุญ “ลีโอ” (Josh Quong Tart) รวมถึงประโยคคำพูดต่างๆ ที่เหมือนจะไม่สำคัญ แต่มันเป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง

.
และด้วยการนำเสนอประหนึ่งเป็นรายการทีวียุค 70 ของ Late Night with the Devil นี้เอง มันทำให้การเชิญผีมาคุย มีบรรยากาศของความสยองเพิ่มมากขึ้น จากทั้งความเป็น “แอนาล็อค” ของภาพที่ดูชัดบ้างไม่ชัดบ้าง มันจึงเปิดช่องให้มี “บางอย่าง” แทรกตัวเข้าไปได้เสมอ และในความเป็นยุคที่เรื่องราวลี้ลับกำลังเบ่งบาน และอยู่ในความสนใจของผู้คน โดยมีคนอ้างตัวเป็นนักปราบผีและนักเปิดโปงเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีภาพยนตร์ต้นแบบความสยองขวัญระดับตำนานหลายเรื่องเกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน

.
สุดท้ายแล้ว Late Night with the Devil ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดูแล้วจบเลย แต่มันอาจจะต้องการการดูซ้ำเพื่อเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีอาจจะพบเจออะไรที่ผ่านสายตาไปในคราวแรกก็เป็นได้ รวมถึงเรื่องราวของ แจ็ค เดลรอย ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกหลายอย่าง จนถึงคำถามที่ว่า ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครหรือสิ่งใดกันที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้ ปีศาจในตัวลิลลี่หรือว่ามีอำนาจลึกลับอื่น บางทีการกลับไปนั่งทบทวนหรือนอนคิดสักหนึ่งคืนก็อาจจะให้คำตอบเรื่องนี้ได้ หรือกรณีที่คาใจมากๆ การตามหาบทความ คลิปวิดีโอ ที่วิเคราะห์เรื่องนี้อย่างจริงจังก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน
Story Decoder
[รีวิว] Late Night with the Devil - คืนสยองวิปลาสสาปกลิ่นความเก่าจากยุค 70 ที่ท้าทายความคิดตลอดเรื่อง
.
“คืนนี้ผีมาคุย” แม้ว่าด้วยตัวพล็อตเรื่องจะทำให้เรารู้ได้ทันทีว่า “แขกรับเชิญ” ดาวเด่นในคืน(เรื่อง)นี้ คือ ตัวของเด็กสาวนามว่า “ลิลลี่” (Ingrid Torelli) ที่อ้างว่ามีปีศาจสิงอยู่ในตัวเธอและสามารถแสดงการมีอยู่ของมันได้ แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่สองผู้กำกับคาเมร่อนและโคลิน (Cameron/Colin Cairnes) สร้างขึ้นนั้น ทำให้สมองของผู้ชม(จริงๆ) ไม่ได้อยู่เฉยและครุ่นคิดไปพร้อมๆ กับการดำเนินเรื่องตลอดเวลา เพื่อหาคำตอบว่า สิ่งที่เราได้เห็นในรายการนั้นที่จริงแล้วมันคือละครปาหี่หรือว่าเป็นเรื่องจริง(ในหนัง)กันแน่
.
นักสื่อสารวิญญาณ “คริสตู” (Fayssal Bazzi) และ นักจับผิดเรื่องลวงโลก “คาร์ไมเคิล” (Ian Bliss) คือ สองตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างชาญฉลาด ฝ่ายแรกถูกใส่มาเพื่อสร้างความแคลงใจให้กับผู้ชมในช่วงแรกของรายการ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นกับเขาที่ทำให้เราสงสัยว่าเขากำลังเล่นละครอยู่หรือไม่ ส่วนฝ่ายหลังเป็นตัวแทนของความไม่เชื่อและมองว่าทั้งหมดเป็นแค่การเล่นกลหรือการสะกดจิตหมู่เท่านั้น
.
รูปแบบของรายการจึงมีการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน คริสตู ลิลลี่ และผู้ปกครองของเธออย่าง “เจน” (Laura Gordon) ที่อยู่ในฝั่งเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างหมดใจ? หรือ “กัส” (Rhys Auteri) หัวหน้าทีมเครื่องดนตรีที่ดูจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง(จิตอ่อน) ส่วนฝั่งที่ไม่เชื่อเห็นทีจะเป็นตัวของคาร์ไม่เคิลที่มองเรื่องเหล่านี้เป็นแค่การแสดงละครและพยายามจะจับผิด กับทีมงานบางส่วนที่อาจจะไม่สนใจอะไรและทำงานของตัวเองต่อไป ซึ่งผู้ชมอย่างเราๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ฝั่งไหนก็ได้ โดยท้ายที่สุดผู้ที่อยู่ตรงกลางไม้กระดกนี้ ก็คือ ตัวของพิธีกรอย่าง “แจ็ค เดลรอย” (David Dastmalchian) นี่เอง
.
ความสนุกของเรื่องอยู่ตรงที่เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและตัวละครออกมากันครบแล้ว ในช่วงกลางเรื่องลิลลี่เริ่มแสดง “ปีศาจ” ที่อยู่กับตัวเธอออกมา ทุกอย่างก็เริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเราเกิดเผลอใจขึ้นมาว่า “หรือจะจริง” (สำหรับคนที่อยู่ฝั่งไม่เชื่อ) และเมื่อเวลาผ่านไป ความโกลาหลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันกลับไปถึงจุดที่ทุกอย่างดูสั่นคลอนขึ้นอีกครั้ง และมันกลายเป็นว่า “อ้าว หรือจะไม่จริง” ไม่เพียงแค่กับเราในฐานะผู้ชม แต่กับตัวละครในเรื่องเองด้วยเช่นกัน
.
เรื่องไม่ได้จบที่การหาว่าตกลงแล้วจริงหรือไม่จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นการเตลิดไปจนแทบจะหาคำอธิบายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อทุกอย่างกลายเป็นความวิปลาส สิ่งที่เป็นเหมือนเนื้อเรื่องรองที่ผู้ชมอย่างเราต้องคอยปะติดปะต่อมันก็ผุดขึ้นมา มันคือ เรื่องของแจ็ค เดลรอย ที่ตอนแรกเราเข้าใจได้ว่าเขาก็แค่เป็นพิธีกร แต่จากคำใบ้ทั้งหลายไปจนแทบจะจบเรื่อง กลับให้ความรู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเวทีของเขาคนเดียวด้วยซ้ำ
.
ความโดดเด่นของ Late Night with the Devil คือ การดำเนินเรื่องด้วยท่าทีของความเป็นเลทไนท์โชว์แบบถ่ายทอดสด โดยมีการแบ่งเบรครายการและตัดเข้าโฆษณา ซึ่งในช่วงที่ตัดเข้าโฆษณาเราก็จะได้เห็นบรรยากาศหลังกล้องที่ค่อนข้างวุ่นวายอันเป็นวิถีคนทำงานเบื้องหลังแล้ว มันยังเป็นพื้นที่เล่าเรื่องที่ชาญฉลาดมากๆ อีกด้วย ทั้งเรื่องราวของการพยายามฉุดเรตติ้งของ Night Owl รายการที่อยู่ในเรื่องนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคที่เรตติ้งเท่ากับพระเจ้า ผลประโยชน์ระหว่างแจ็คกับผู้ผลิตรายการคู่บุญ “ลีโอ” (Josh Quong Tart) รวมถึงประโยคคำพูดต่างๆ ที่เหมือนจะไม่สำคัญ แต่มันเป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง
.
และด้วยการนำเสนอประหนึ่งเป็นรายการทีวียุค 70 ของ Late Night with the Devil นี้เอง มันทำให้การเชิญผีมาคุย มีบรรยากาศของความสยองเพิ่มมากขึ้น จากทั้งความเป็น “แอนาล็อค” ของภาพที่ดูชัดบ้างไม่ชัดบ้าง มันจึงเปิดช่องให้มี “บางอย่าง” แทรกตัวเข้าไปได้เสมอ และในความเป็นยุคที่เรื่องราวลี้ลับกำลังเบ่งบาน และอยู่ในความสนใจของผู้คน โดยมีคนอ้างตัวเป็นนักปราบผีและนักเปิดโปงเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีภาพยนตร์ต้นแบบความสยองขวัญระดับตำนานหลายเรื่องเกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน
.
สุดท้ายแล้ว Late Night with the Devil ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดูแล้วจบเลย แต่มันอาจจะต้องการการดูซ้ำเพื่อเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีอาจจะพบเจออะไรที่ผ่านสายตาไปในคราวแรกก็เป็นได้ รวมถึงเรื่องราวของ แจ็ค เดลรอย ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกหลายอย่าง จนถึงคำถามที่ว่า ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครหรือสิ่งใดกันที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้ ปีศาจในตัวลิลลี่หรือว่ามีอำนาจลึกลับอื่น บางทีการกลับไปนั่งทบทวนหรือนอนคิดสักหนึ่งคืนก็อาจจะให้คำตอบเรื่องนี้ได้ หรือกรณีที่คาใจมากๆ การตามหาบทความ คลิปวิดีโอ ที่วิเคราะห์เรื่องนี้อย่างจริงจังก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน
Story Decoder