เรื่องมีอยู่ว่า ภรรยาผมเป็นคนที่ชอบทำบุญ ตื่นเช้าทำอาหารใส่บาตร สวดมนต์ และไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ ชอบบริจาคปัจจัยใส่ตู้รับบริจาค หรือถวายปัจจัยซื้อเครื่องสังฆทานที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ไปทำสังฆทานบ่อยๆ
อยู่มาวันหนึ่งผมได้รับติดต่อจากรุ่นพี่ที่สนิทกันโทรมาปรึกษาว่า พระหลวงพี่ที่รุ่นพี่ผมสนิทนั้นได้รับมรดกเป็นที่ดินผืนใหญ่จากมารดาที่เสียชีวิต แต่เนื่องจากหลวงพี่ท่านบวชมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับที่ดินผืนนั้นจึงได้บริจาคที่ดินผืนนั้นเข้ามูลนิธิธรรมที่หลวงพี่ดูแลอยู่
ทางหลวงพี่มีความต้องการที่จะสร้างวัดเป็นกุศลให้กับโยมแม่ที่เสียชีวิตและหารายได้ทำโรงทานให้กับคนที่มาวัด แต่ไม่อยากขอรับบริจาคจากชาวบ้านจึงมีความคิดที่จะหาคนช่วยขายที่ดินผืนนั้นและเอาเงินมาทำสิ่งที่ทางหลวงพี่ตั้งใจ แต่รุ่นพี่ผมโทรมาปรึกษาว่าผมพอจะมีทางอื่นในการทำผลประโยชน์บนที่ดินผืนนั้นโดยที่ไม่ต้องขายได้ไหม ซึ่งผมก็ได้เสนอแนวทางในการทำธุรกิจบนที่ดินผืนนั้นโดยธุรกิจที่เสนอสามารถทำรายได้ ได้มากกว่าราคาขายที่ดิน โดยที่ทางผมและรุ่นพี่อาสาที่จะเป็นผู้บริหารโครงการธุรกิจบนที่ดินผืนนั้นให้และเอาผลกำไรที่ทำได้ส่วนหนึ่งเข้ามูลนิธิเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่หลวงพี่ต้องการและส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ต้องขายที่ดินออกไป ซึ่งทางหลวงพี่ก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
ผมรู้สึกภูมิใจว่าผมได้มีส่วนช่วยในการหาปัจจัยสร้างวัดและสร้างโรงทาน โดยไม่ต้องขอรับบริจาคหรือต้องขายที่ดิน จึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ทางภรรยาฟัง แต่กลับถูกทางภรรยาต่อว่า บอกว่าผมหากินกับวัด ในมุมมองของเขาบอกว่าผมทำบาปและเขาไม่เห็นด้วยอย่างแรงจนถึงขั้นทะเลาะกัน จนสุดท้ายทางภรรยาผมพูดว่า เธออยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ฉันเตือนแล้วน่ะ
ผมพยายามนั่งคิดว่าผมทำอะไรผิดหรือหากินกับวัดอย่างไร ผมก็ไม่ได้เอาที่ดินของวัดมาหาผลประโยขน์ เพราะที่ดินนั้นเป็นมรดกของหลวงพี่ และ ไม่ได้เป็นที่ดินที่เกี่ยวข้องกับวัดเลย และธุรกิจที่ทำบนที่ดินก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับศาสนา ไม่ได้หากินกับความศรัทธาของคนเพื่อขอรับบริจาคใดๆกับธุรกิจที่ผมทำ และไม่เคยบอกใครว่ารายได้จากการทำธุรกิจนี้จะเอาไปทำบุญ
ใครพอจะบอกได้ไหมครับว่าทำไมภรรยาผมจึงเข้าใจว่าผมหากินกับวัดและกำลังทำบาป เผื่อว่าผมมองตรงไหนพลาดไป
ภรรยาบอกว่าผมหากินกับวัด
อยู่มาวันหนึ่งผมได้รับติดต่อจากรุ่นพี่ที่สนิทกันโทรมาปรึกษาว่า พระหลวงพี่ที่รุ่นพี่ผมสนิทนั้นได้รับมรดกเป็นที่ดินผืนใหญ่จากมารดาที่เสียชีวิต แต่เนื่องจากหลวงพี่ท่านบวชมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับที่ดินผืนนั้นจึงได้บริจาคที่ดินผืนนั้นเข้ามูลนิธิธรรมที่หลวงพี่ดูแลอยู่
ทางหลวงพี่มีความต้องการที่จะสร้างวัดเป็นกุศลให้กับโยมแม่ที่เสียชีวิตและหารายได้ทำโรงทานให้กับคนที่มาวัด แต่ไม่อยากขอรับบริจาคจากชาวบ้านจึงมีความคิดที่จะหาคนช่วยขายที่ดินผืนนั้นและเอาเงินมาทำสิ่งที่ทางหลวงพี่ตั้งใจ แต่รุ่นพี่ผมโทรมาปรึกษาว่าผมพอจะมีทางอื่นในการทำผลประโยชน์บนที่ดินผืนนั้นโดยที่ไม่ต้องขายได้ไหม ซึ่งผมก็ได้เสนอแนวทางในการทำธุรกิจบนที่ดินผืนนั้นโดยธุรกิจที่เสนอสามารถทำรายได้ ได้มากกว่าราคาขายที่ดิน โดยที่ทางผมและรุ่นพี่อาสาที่จะเป็นผู้บริหารโครงการธุรกิจบนที่ดินผืนนั้นให้และเอาผลกำไรที่ทำได้ส่วนหนึ่งเข้ามูลนิธิเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่หลวงพี่ต้องการและส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ต้องขายที่ดินออกไป ซึ่งทางหลวงพี่ก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
ผมรู้สึกภูมิใจว่าผมได้มีส่วนช่วยในการหาปัจจัยสร้างวัดและสร้างโรงทาน โดยไม่ต้องขอรับบริจาคหรือต้องขายที่ดิน จึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ทางภรรยาฟัง แต่กลับถูกทางภรรยาต่อว่า บอกว่าผมหากินกับวัด ในมุมมองของเขาบอกว่าผมทำบาปและเขาไม่เห็นด้วยอย่างแรงจนถึงขั้นทะเลาะกัน จนสุดท้ายทางภรรยาผมพูดว่า เธออยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ฉันเตือนแล้วน่ะ
ผมพยายามนั่งคิดว่าผมทำอะไรผิดหรือหากินกับวัดอย่างไร ผมก็ไม่ได้เอาที่ดินของวัดมาหาผลประโยขน์ เพราะที่ดินนั้นเป็นมรดกของหลวงพี่ และ ไม่ได้เป็นที่ดินที่เกี่ยวข้องกับวัดเลย และธุรกิจที่ทำบนที่ดินก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับศาสนา ไม่ได้หากินกับความศรัทธาของคนเพื่อขอรับบริจาคใดๆกับธุรกิจที่ผมทำ และไม่เคยบอกใครว่ารายได้จากการทำธุรกิจนี้จะเอาไปทำบุญ
ใครพอจะบอกได้ไหมครับว่าทำไมภรรยาผมจึงเข้าใจว่าผมหากินกับวัดและกำลังทำบาป เผื่อว่าผมมองตรงไหนพลาดไป