สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลย อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมาในช่วงชีวิตตั้งแต่วัยเด็กถึงตอนนี้ 30 กลางๆแล้วค่ะ
ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ต่างประเทศค่ะ ความเป็นอยู่ไม่ได้สบายเท่าที่อยู่บ้านเรา ผู้คน อาหาร การเดินทาง ไม่ง่ายเลย เนื่องจากไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาอยู่ที่ต่างประเทศจึงต้องใช้ความอดทนมากๆเลย แต่ตัดสินใจไม่อยากกลับไปที่ไทยอีกแล้วเหตุผลเพราะ ครอบครัวเราเองค่ะ...
ก่อนอื่นขอเกริ่นนำเรื่องราวจนถึงที่มาที่ไปที่ต้องย้ายมาทำงานที่ต่างประเทศก่อนนะคะ
เราเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวค่ะ มีพี่สาวอีก 1 คน ที่อายุต่างกันเกือบๆ 2 ปี เราเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจนค่ะ แม่เราเรียนจบ ป.4 มีอาชีพเป็นสาวโรงงานทำงานเป็นกะ ส่วนพ่อจบ มศ.3 รับราชการเป็นลูกจ้างประจำของกรมทหารกรมนึงค่ะ ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเราไม่ค่อยราบรื่น ค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดแม่เราเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนพ่อเรานั้นเค้ามีบ้านอื่นค่ะ สิ่งที่พ่อทำให้เราคือ เบิกค่าเล่าเรียน และขอทุนการศึกษาให้เราเพื่อได้เงินส่วนหนึ่งมาใช้จ่ายในบ้านค่ะ (เทอมละประมาณ 2,000บาท) จึงทำให้แม่เราต้องทำงานหลัก และมีงานเสริมรับจ้างนอกเวลา เพื่อหาเงินมาจุนเจือและส่งเสียพวกเราให้มีการศึกษา
ช่วงประถมเราเป็นเด็กที่มีผลการเรียนกลางๆค่ะ อยู่ในระดับ 8-10 จากห้องที่มี 40 คน แต่แล้วช่วงชีวิตจุดเปลี่ยนของเราก็เกิดขึ้นซึ่งเราคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นบาดแผลทางใจในช่วงเด็กของเราเลย ตอนนั้นอยู่ ป.3 พ่อกับแม่ทะเลาะกันหนักมาก ถึงขนาดมีทำว่า "หย่า" ขึ้นมาค่ะ ตอนนั้นเราเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าหย่าคืออะไร เลยไปถามพี่สาว พี่สาวให้คำตอบมาว่า พ่อกับแม่จะแยกบ้านกันอยู่แล้ว พ่อจะไปอยู่กับเมียใหม่ ตอนนั้นพี่สาวถามเราว่ารักแม่มั้ย ถ้ารักแม่ต้องไปอยู่กับพ่อนะ ไม่งั้นแม่ต้องลำบากเลี้ยงเราทั้ง 2 คน ตอนนั้นเราซึ่งยังเด็กก็ท่องไว้ว่าต้องไปอยู่กับพ่อเพราะไม่อยากให้แม่ลำบากแบบนี้ แต่จริงๆแล้วอยากรู้กับแม่มากๆ
เรื่องมันกลับยากขึ้นตรงที่ พ่อกับแม่ทะเลาะกันใหญ่โตว่าใครจะได้พี่สาวเราไป ตอนนั้นเราเสียใจมากทำไมถึงไม่มีใครอยากได้เราเหรอ (จริงๆย้อนไปแล้ว ตอนเด็กเราไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ผอมกระหร่อง ผิวคล้ำ และแม่ก็บอกว่าเราเป็นเด็กพูดมาก แม่เคยไปดูดวงด้วยค่ะ หมอดูบอกว่า โตขึ้นมาเราเป็นคนลำบาก ส่วนพี่เราสบายไม่ทำงานหนัก อาจจะด้วยเหตุผลนี้ด้วยมั้ยนะ ถึงไม่มีใครอยากได้เรา) ชีวิตเราเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเลยค่ะ ตอนนั้นตั้งใจเรียนมากๆ อยากให้ได้ผลการเรียนดี พูดตรงๆคืออยากให้แม่รัก จากเด็กที่มีผลการเรียนกลางๆ เราก็เลื่อนเป็นที่ 1-3 (สรุปหลังจากนั้น พ่อกับแม่ไม่ได้แยกทางนะคะ) ในขณะที่ตั้งใจเรียนเราก็ทำทุกทางเพื่อช่วยแม่ค่ะ ทำงานบ้านทุกอย่างไม่ให้แม่เหนื่อย รับจ้างล้างจานตามร้านอาหารเล็กๆวันศุกร์กับวันเสาร์ ขายลูกชิ้นทอด รับจ้างทุกอย่างที่เราทำได้ตอนนั้น ในขณะที่เราทำทุกอย่าง พี่สาวเราไม่เคยต้องทำอะไรเลยค่ะ บางทีเค้าก็ไปเล่นกับเพื่อนๆของเค้า ตามประสาเด็กบางทีเราก็อยากไปด้วย แต่แพ้เพราะอยากได้เงินมากกว่า ช่วงม. ต้น พี่สาวเราเริ่มได้เรียนพิเศษ เราเองเริ่มมีความอยากเรียนบ้างพอไปถามแม่ แม่จะตอบกลับมาว่าแม่ส่งเรียน 2 คนไม่ไหว สิ่งที่แม่เราทำคือส่งเราไปทำงานก่อสร้างค่ะ ได้รายวันวันละ120 บาท แม่บอกว่าฝึกไว้ถ้าไม่มีงานทำยังไงก็มีอาชีพ ช่วงม. ปลายเราเริ่มมีรับจ้างทำรายงานที่โรงเรียนค่ะ รายได้ดีมาก และได้เป็นการทบทวนการเรียนซ้ำๆหลายๆรอบ ยิ่งทำให้การเรียนของเราดีขึ้นไปอีก ดีจนถึงขนาดติด 1-5 ลำดับของโรงเรียน (โรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งในปริมณฑล) ตอนนั้นแม่ไม่รู้ไปคุยกับใครมา กลับบ้านมาบอกเราว่าอยากให้เราเรียนวิศวะ เอาจริงๆตอนนั้นไม่มีความรู้เลยว่าอาชีพวิศวกรเนี่ยเค้าทำงานอะไร ความรู้รอบตัวเราต่ำมากๆค่ะ เพราะต้ังใจแต่กับเนื้อหาการเรียน และสุดท้ายก็ทำตามที่แม่บอก คือเลือกเรียนวิศวะค่ะ เราได้โควต้าสอบตรงของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในกทม และสอบติดแอดมินชั่น (เมื่อสมัยนั้นใช้ระบบนี้) ที่มหาลัยรัฐอีกแห่งหนึ่งด้วยค่ะ เกณฑ์การตัดสินใจของเราก็คือ ลองคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นของทั้ง 2 ที่ ค่าเดินทาง ค่าอาหารในโรงอาหาร แล้วเลือกมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายที่คำนวณตอนนั้นแล้วน้อยกว่า
ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยซึ่งจริงๆเราไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเราชอบสิ่งที่เราเรียนอยู่มั้ยนะ แต่ก็ต้องเรียนต่อ เพราะคิดว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเราไม่มีต้นทุนขนาดนั้น ตอนนั้นก็หาทุนการศึกษาทุกอย่างเท่าที่ทำได้ กู้เรียน ทำทุกวิธีที่พอจะลดค่าใช้จ่ายของแม่ เพราะช่วงแรกพี่สาวก็ยังเรียนปีสามและพี่สาวไม่ได้กู้ค่ะ ตอนที่เรียนอยู่ก็เหมือนเดิมตั้งใจเรียน รับจ้างทำงานให้เพื่อนบ้าง ติวเพื่อนบ้าง พอได้เงินมากขึ้น ตอนนั้นได้ทุนเรียนดีด้วยค่ะ ได้ที่ 1 ของภาควิชา และได้ทุนการศึกษา ปีละ 1 แสนบาท ซึ่งตอนหลังแม่นำเงินส่วนนี้ไปดาวน์รถให้พี่สาวค่ะ ตอนปีสี่ใกล้จะจบก็ได้ทุนการศึกษาเรียนฟรี ปริญญาโท สาขา วิศวะเฉพาะทางสาขาหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังของประเทศ ตอนนั้นดีใจมากๆแต่แม่กลับดับฝันด้วยคำว่า แม่ไม่มีกำลังส่งรถให้พี่สาวอยากให้เรียนจบออกมาช่วยกันทำงานช่วยที่บ้านก่อน และใช่ค่ะ เราสละทุนนั้น คิดแค่ว่ามันคงไม่ใช่ของเรา ทำให้เริ่มเกลียดความจนขึ้นมาบ้างแล้ว การหนีความจนนี่มันช่างยากจริงๆ
หลังจากนั้นเรียนจบออกมาทำงานค่ะ มีโอกาสได้ทำงานบริษัทข้ามชาติชื่อดังของประเทศอยู่เหมือนกัน ช่วงนั้นชีวิตขาขึ้นมากๆ การงานรุ่งเรืองในระดับหนึ่ง ในขณะที่ทำงานส่งเงินให้แม่ 70% ที่เหลือเก็บใช้จ่ายและพอมีเงินเก็บบ้างเพราะเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือยค่ะ ต่อมาแม่เริ่มมีความอยากได้สิ่งใหม่ ใช่ค่ะ อายุเริ่มมากขึ้นแล้วแม่ก็อยากให้แต่งงาน เรามีแฟนค่ะแต่คบกันไม่นานยังไม่รู้สึกแน่ใจขนาดนั้น แต่ใช่ค่ะเราเลือกที่จะแต่งงาน โชคดีที่แฟนกับเราไม่ใช่คนอินเรื่องงานแต่งงานมากนัก เราจัดเล็กมากๆ ในร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งใกล้บ้าน และย้ายมาอยู่ที่บ้านเรา เป็นบ้านที่เราซื้อเองเพราะแม่อยากได้ที่ต่างจังหวัด (เราย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัด เพราะรายได้มากขึ้นเยอะ) ในระหว่างนี้ชีวิตเริ่มเป็นขาลงค่ะ เริ่มสั่งเกตุความรู้สึกตัวเอง และเช็คสุขภาพจิตอยู่เรื่อย จนเจอว่าเป็นโรคซึมเศร้า เวลาผ่านมาปัญหาก็ประดังเข้ามาค่ะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องสามี เรื่องที่บ้าน ทำให้ความเครียดมากขึ้น และโรคซึมเศร้าก็กลับแย่ลงค่ะ ช่วงนั้น เเม่เริ่มมีความเป็นอยู่ดีซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากเห็นมาตลอด แต่แม่เริ่มให้เงินญาติๆยืมแล้วโดนโกงค่ะ ซึ่งมันก็เพิ่มความเครียดให้เราอีก สามีช่วงนั้นเค้ามีคนอื่นด้วย ปัญหามันช่างถาโถมเข้ามาในชีวิตมกๆเลยค่ะ จนถึงขั้น กินยานอนหลับเกินขนาดค่ะ หวังแค่เพียงว่าให้ได้หลับไป แต่สุดท้ายก็ตื่นขึ้นมา โอ้ยชีวิตตตตต...
หลังจากวันนั้นมานั่งทบทวนการกระทำของตัวเองแล้วก็นั่งขอโทษตัวเองเป็นล้านรอบที่ทำแบบนั้นลงไป ตั้งสติแล้วพยายามหาสาเหตุของปัญหาค่ะ เรื่องใหญ่ที่เจอตอนนั้นคือเรื่องงานค่ะ เจ้านายโดยตรงเปลี่ยนจากต่างชาติเป็นคนไทย และเราทำงานไม่เข้าขากันเลย ถึงขนาดเรียนรู้เลยว่า "การเป็นคนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดนี่มันเรื่องจริง" เลยตัดสินใจตัดเรื่องนี้ก่อนเป็นเรื่องแรก ใช่ค่ะ "ลาออก" เป็นสิ่งที่ตัดสินใจทำ และสิ่งที่ตามมาจากกว่าลาออกคือขาดรายได้ ใช่เลยเราต้องนั่งคำนวณว่าเราสามารถอยู่ได้โดยไม่มีรายได้เลยนานแค่ไหนนะ ตอนนั้นคิดแค่ว่า จริงๆ เราออกไปทำอะไรก่อนได้ ไปเจอสังคมใหม่ๆ เอาตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมนี้ก่อนดีที่สุด ตอนนั้นประเมิณแล้วว่างานรับจ้างอะไรก็พอทำได้เพราะเป็นคนไม่เกี่ยงงานอยู่แล้ว และหนี้สินที่มีอย่างเดียวคือบ้านซึ่งยังพอสามารถจัดการได้ช่วงระยะประมาณ 1-2 ปี หลังจากนั้นเคลียร์กับสามีค่ะ เอายังไงต่อดียังอยากจะเดินไปด้วยกันมั้ย และคำตอบคือให้โอกาสครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายค่ะ ท้ายสุดเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟังค่ะ ทั้งเรื่องโรคซึมเศร้า เรื่องจะออกจากงาน ยกเว้นเรื่องที่กินยาเกินขนาด ละก็มาถึงจุดนี้ค่ะ จุดที่เราค้นพบแล้วว่าสิ่งแวดล้อมนึงที่อาจจะ toxic กับเราตั้งแต่ตอนไหนเลยไม่รู้คือ "แม่" ค่ะ คำตอบที่แม่ให้เรามาคือ "จะทำอะไรก็ทำไปอย่าให้เดือดร้อนครอบตรัวก็พอ" ชีวิตเหมือนถล่มลงมาเลยค่ะ สิ่งที่ทำมาทั้งหมด เงินเดือนไม่เคยอยู่ในบัญชีนานเกิน 5 วันเลยค่ะ โอนให้แม่ตลอด โดยที่แม่ไม่เคยต้องทวง จริงๆสิ่งที่หวังไม่ได้ขออะไรมาก คิดว่าเป็นคำง่ายๆ เช่น ไม่เป็นไรกลับบ้านเรานะลูก อะไรประมาณนี้ แต่............
ชีวิตของเราต้องไปต่อค่ะ หยุดไม่ได้ อยู่ดีๆ บริษัทต่างประเทศโทรมา เนื่องจากไปลง CV ไว้ที่ linkedin ขอสัมภาสงานค่ะ ไม่เคยคิดเรื่องทำงานต่างประเทศมาก่อนเลย แอบตกใจนิดหน่อยแต่ก็ตอบรับไปค่ะ โทรมาตอนเที่ยง ขอสัมภาสเย็น และเราได้งานวันนั้นเลย.....
ตอนนี้ย้ายมาได้ครึ่งปีแล้วค่ะ มากับสามีเค้าตามมาดูแลด้วยค่ะ อย่างที่บอกเลย คิดถึงประเทศไทยมาก คิดถึงเพื่อน คิดถึงอาหารไทย และการทำงานต้องใช้ความอดทนในการปรับตัวเยอะมากๆจริงๆ อาหารไม่แซ่บ อากาศไม่ดี ผู้คนไม่ไนซ์ หลากหลายปัญหาจริงๆ ติดต่อกลับไทยก็ช่างยากจริงแต่มีข้อดีนะคะ เหมือนเริ่มชีวิตใหม่ โดยไม่ต้องมีข้ออ้างที่จะทิ้งใครไว้ข้างหลังเลย เงินที่เคยส่งให้แม่ก็เปลี่ยนเป็นการให้สินทรัพย์แบบอื่นแทนเงินสดและลดน้อยลงเพราะหันมาโฟกัสเรื่องครอบครัวเรา (ตอนนี้แค่สามีและเราค่ะ) สุขภาพจิตดีขึ้นมาก แม้งานจะมีอุปสรรค์มากมายก็จริง แม้จะเจอความยากลำบาก แต่มันแปลกมากเลยที่สภาพใจเราดีขึ้นมาก การติดต่อกับที่บ้านน้อยลง ไม่ค่อยได้คุยกับแม่ เพราะเวลาต่างกัน มีถามกลับไปที่พี่สาวบ้าง อาการโรคซึมเศร้าแทบจะหายไปเลย ไม่ต้องกินยานอนหลับแล้ว หยุดยาต้านเศร้าแล้วด้วย ถึงตอนนี้มีความหวังแล้วว่าเราคงจะไม่สายเกินไปที่จะคิดมีเจ้าตัวน้อยสักคน เเละสัญญาได้เลยว่าเค้าจะไม่ต้องเติบโตมาเติมเต็มอะไรของเราเลย แค่เกิดมาใช้ชีวิตอย่างที่เค้าอยากจะเป็นอย่าเป็นแบบเราที่ทุกวันนี้เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราชอบทำอะไร หรือ ไม่ชอบทำอะไร หาความชอบหรือความอยากได้ของตัวเองไม่เจอจริงๆ
ปล. เงินในบัญชีเยอะมาก แบบที่ไม่เคยมีเท่านี้มาก่อน เราไม่เคยเก็บเงินของตัวเองเลยจริงตอนนี้เริ่มชอบเก็บเงินแล้ว เผื่อวันหนึ่งมีเจ้าตัวเล็ก จะได้ไม่ลำบาก
ปล2. เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจอสถานะการณ์แย่ๆแบบเรานะคะ ยังไงเราจะตื่นขึ้นมาตอนเช้าพรุ่งนี้น้าาาา
สุดท้ายนี้ถ้าการแชร์นี้มีส่วนไหนที่ไม่โอเค เราขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะคะ เป็นกระทู้แรก เเละเราแชร์เรื่องราวของเราเองจริงๆ
ทำงานต่างประเทศมาเกือบปี คิดถึงเมืองไทยมากแต่ไม่อยากกลับบ้านเลย
ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ต่างประเทศค่ะ ความเป็นอยู่ไม่ได้สบายเท่าที่อยู่บ้านเรา ผู้คน อาหาร การเดินทาง ไม่ง่ายเลย เนื่องจากไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาอยู่ที่ต่างประเทศจึงต้องใช้ความอดทนมากๆเลย แต่ตัดสินใจไม่อยากกลับไปที่ไทยอีกแล้วเหตุผลเพราะ ครอบครัวเราเองค่ะ...
ก่อนอื่นขอเกริ่นนำเรื่องราวจนถึงที่มาที่ไปที่ต้องย้ายมาทำงานที่ต่างประเทศก่อนนะคะ
เราเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวค่ะ มีพี่สาวอีก 1 คน ที่อายุต่างกันเกือบๆ 2 ปี เราเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจนค่ะ แม่เราเรียนจบ ป.4 มีอาชีพเป็นสาวโรงงานทำงานเป็นกะ ส่วนพ่อจบ มศ.3 รับราชการเป็นลูกจ้างประจำของกรมทหารกรมนึงค่ะ ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเราไม่ค่อยราบรื่น ค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดแม่เราเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนพ่อเรานั้นเค้ามีบ้านอื่นค่ะ สิ่งที่พ่อทำให้เราคือ เบิกค่าเล่าเรียน และขอทุนการศึกษาให้เราเพื่อได้เงินส่วนหนึ่งมาใช้จ่ายในบ้านค่ะ (เทอมละประมาณ 2,000บาท) จึงทำให้แม่เราต้องทำงานหลัก และมีงานเสริมรับจ้างนอกเวลา เพื่อหาเงินมาจุนเจือและส่งเสียพวกเราให้มีการศึกษา
ช่วงประถมเราเป็นเด็กที่มีผลการเรียนกลางๆค่ะ อยู่ในระดับ 8-10 จากห้องที่มี 40 คน แต่แล้วช่วงชีวิตจุดเปลี่ยนของเราก็เกิดขึ้นซึ่งเราคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นบาดแผลทางใจในช่วงเด็กของเราเลย ตอนนั้นอยู่ ป.3 พ่อกับแม่ทะเลาะกันหนักมาก ถึงขนาดมีทำว่า "หย่า" ขึ้นมาค่ะ ตอนนั้นเราเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าหย่าคืออะไร เลยไปถามพี่สาว พี่สาวให้คำตอบมาว่า พ่อกับแม่จะแยกบ้านกันอยู่แล้ว พ่อจะไปอยู่กับเมียใหม่ ตอนนั้นพี่สาวถามเราว่ารักแม่มั้ย ถ้ารักแม่ต้องไปอยู่กับพ่อนะ ไม่งั้นแม่ต้องลำบากเลี้ยงเราทั้ง 2 คน ตอนนั้นเราซึ่งยังเด็กก็ท่องไว้ว่าต้องไปอยู่กับพ่อเพราะไม่อยากให้แม่ลำบากแบบนี้ แต่จริงๆแล้วอยากรู้กับแม่มากๆ
เรื่องมันกลับยากขึ้นตรงที่ พ่อกับแม่ทะเลาะกันใหญ่โตว่าใครจะได้พี่สาวเราไป ตอนนั้นเราเสียใจมากทำไมถึงไม่มีใครอยากได้เราเหรอ (จริงๆย้อนไปแล้ว ตอนเด็กเราไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ผอมกระหร่อง ผิวคล้ำ และแม่ก็บอกว่าเราเป็นเด็กพูดมาก แม่เคยไปดูดวงด้วยค่ะ หมอดูบอกว่า โตขึ้นมาเราเป็นคนลำบาก ส่วนพี่เราสบายไม่ทำงานหนัก อาจจะด้วยเหตุผลนี้ด้วยมั้ยนะ ถึงไม่มีใครอยากได้เรา) ชีวิตเราเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเลยค่ะ ตอนนั้นตั้งใจเรียนมากๆ อยากให้ได้ผลการเรียนดี พูดตรงๆคืออยากให้แม่รัก จากเด็กที่มีผลการเรียนกลางๆ เราก็เลื่อนเป็นที่ 1-3 (สรุปหลังจากนั้น พ่อกับแม่ไม่ได้แยกทางนะคะ) ในขณะที่ตั้งใจเรียนเราก็ทำทุกทางเพื่อช่วยแม่ค่ะ ทำงานบ้านทุกอย่างไม่ให้แม่เหนื่อย รับจ้างล้างจานตามร้านอาหารเล็กๆวันศุกร์กับวันเสาร์ ขายลูกชิ้นทอด รับจ้างทุกอย่างที่เราทำได้ตอนนั้น ในขณะที่เราทำทุกอย่าง พี่สาวเราไม่เคยต้องทำอะไรเลยค่ะ บางทีเค้าก็ไปเล่นกับเพื่อนๆของเค้า ตามประสาเด็กบางทีเราก็อยากไปด้วย แต่แพ้เพราะอยากได้เงินมากกว่า ช่วงม. ต้น พี่สาวเราเริ่มได้เรียนพิเศษ เราเองเริ่มมีความอยากเรียนบ้างพอไปถามแม่ แม่จะตอบกลับมาว่าแม่ส่งเรียน 2 คนไม่ไหว สิ่งที่แม่เราทำคือส่งเราไปทำงานก่อสร้างค่ะ ได้รายวันวันละ120 บาท แม่บอกว่าฝึกไว้ถ้าไม่มีงานทำยังไงก็มีอาชีพ ช่วงม. ปลายเราเริ่มมีรับจ้างทำรายงานที่โรงเรียนค่ะ รายได้ดีมาก และได้เป็นการทบทวนการเรียนซ้ำๆหลายๆรอบ ยิ่งทำให้การเรียนของเราดีขึ้นไปอีก ดีจนถึงขนาดติด 1-5 ลำดับของโรงเรียน (โรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งในปริมณฑล) ตอนนั้นแม่ไม่รู้ไปคุยกับใครมา กลับบ้านมาบอกเราว่าอยากให้เราเรียนวิศวะ เอาจริงๆตอนนั้นไม่มีความรู้เลยว่าอาชีพวิศวกรเนี่ยเค้าทำงานอะไร ความรู้รอบตัวเราต่ำมากๆค่ะ เพราะต้ังใจแต่กับเนื้อหาการเรียน และสุดท้ายก็ทำตามที่แม่บอก คือเลือกเรียนวิศวะค่ะ เราได้โควต้าสอบตรงของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในกทม และสอบติดแอดมินชั่น (เมื่อสมัยนั้นใช้ระบบนี้) ที่มหาลัยรัฐอีกแห่งหนึ่งด้วยค่ะ เกณฑ์การตัดสินใจของเราก็คือ ลองคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นของทั้ง 2 ที่ ค่าเดินทาง ค่าอาหารในโรงอาหาร แล้วเลือกมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายที่คำนวณตอนนั้นแล้วน้อยกว่า
ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยซึ่งจริงๆเราไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเราชอบสิ่งที่เราเรียนอยู่มั้ยนะ แต่ก็ต้องเรียนต่อ เพราะคิดว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเราไม่มีต้นทุนขนาดนั้น ตอนนั้นก็หาทุนการศึกษาทุกอย่างเท่าที่ทำได้ กู้เรียน ทำทุกวิธีที่พอจะลดค่าใช้จ่ายของแม่ เพราะช่วงแรกพี่สาวก็ยังเรียนปีสามและพี่สาวไม่ได้กู้ค่ะ ตอนที่เรียนอยู่ก็เหมือนเดิมตั้งใจเรียน รับจ้างทำงานให้เพื่อนบ้าง ติวเพื่อนบ้าง พอได้เงินมากขึ้น ตอนนั้นได้ทุนเรียนดีด้วยค่ะ ได้ที่ 1 ของภาควิชา และได้ทุนการศึกษา ปีละ 1 แสนบาท ซึ่งตอนหลังแม่นำเงินส่วนนี้ไปดาวน์รถให้พี่สาวค่ะ ตอนปีสี่ใกล้จะจบก็ได้ทุนการศึกษาเรียนฟรี ปริญญาโท สาขา วิศวะเฉพาะทางสาขาหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังของประเทศ ตอนนั้นดีใจมากๆแต่แม่กลับดับฝันด้วยคำว่า แม่ไม่มีกำลังส่งรถให้พี่สาวอยากให้เรียนจบออกมาช่วยกันทำงานช่วยที่บ้านก่อน และใช่ค่ะ เราสละทุนนั้น คิดแค่ว่ามันคงไม่ใช่ของเรา ทำให้เริ่มเกลียดความจนขึ้นมาบ้างแล้ว การหนีความจนนี่มันช่างยากจริงๆ
หลังจากนั้นเรียนจบออกมาทำงานค่ะ มีโอกาสได้ทำงานบริษัทข้ามชาติชื่อดังของประเทศอยู่เหมือนกัน ช่วงนั้นชีวิตขาขึ้นมากๆ การงานรุ่งเรืองในระดับหนึ่ง ในขณะที่ทำงานส่งเงินให้แม่ 70% ที่เหลือเก็บใช้จ่ายและพอมีเงินเก็บบ้างเพราะเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือยค่ะ ต่อมาแม่เริ่มมีความอยากได้สิ่งใหม่ ใช่ค่ะ อายุเริ่มมากขึ้นแล้วแม่ก็อยากให้แต่งงาน เรามีแฟนค่ะแต่คบกันไม่นานยังไม่รู้สึกแน่ใจขนาดนั้น แต่ใช่ค่ะเราเลือกที่จะแต่งงาน โชคดีที่แฟนกับเราไม่ใช่คนอินเรื่องงานแต่งงานมากนัก เราจัดเล็กมากๆ ในร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งใกล้บ้าน และย้ายมาอยู่ที่บ้านเรา เป็นบ้านที่เราซื้อเองเพราะแม่อยากได้ที่ต่างจังหวัด (เราย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัด เพราะรายได้มากขึ้นเยอะ) ในระหว่างนี้ชีวิตเริ่มเป็นขาลงค่ะ เริ่มสั่งเกตุความรู้สึกตัวเอง และเช็คสุขภาพจิตอยู่เรื่อย จนเจอว่าเป็นโรคซึมเศร้า เวลาผ่านมาปัญหาก็ประดังเข้ามาค่ะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องสามี เรื่องที่บ้าน ทำให้ความเครียดมากขึ้น และโรคซึมเศร้าก็กลับแย่ลงค่ะ ช่วงนั้น เเม่เริ่มมีความเป็นอยู่ดีซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากเห็นมาตลอด แต่แม่เริ่มให้เงินญาติๆยืมแล้วโดนโกงค่ะ ซึ่งมันก็เพิ่มความเครียดให้เราอีก สามีช่วงนั้นเค้ามีคนอื่นด้วย ปัญหามันช่างถาโถมเข้ามาในชีวิตมกๆเลยค่ะ จนถึงขั้น กินยานอนหลับเกินขนาดค่ะ หวังแค่เพียงว่าให้ได้หลับไป แต่สุดท้ายก็ตื่นขึ้นมา โอ้ยชีวิตตตตต...
หลังจากวันนั้นมานั่งทบทวนการกระทำของตัวเองแล้วก็นั่งขอโทษตัวเองเป็นล้านรอบที่ทำแบบนั้นลงไป ตั้งสติแล้วพยายามหาสาเหตุของปัญหาค่ะ เรื่องใหญ่ที่เจอตอนนั้นคือเรื่องงานค่ะ เจ้านายโดยตรงเปลี่ยนจากต่างชาติเป็นคนไทย และเราทำงานไม่เข้าขากันเลย ถึงขนาดเรียนรู้เลยว่า "การเป็นคนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดนี่มันเรื่องจริง" เลยตัดสินใจตัดเรื่องนี้ก่อนเป็นเรื่องแรก ใช่ค่ะ "ลาออก" เป็นสิ่งที่ตัดสินใจทำ และสิ่งที่ตามมาจากกว่าลาออกคือขาดรายได้ ใช่เลยเราต้องนั่งคำนวณว่าเราสามารถอยู่ได้โดยไม่มีรายได้เลยนานแค่ไหนนะ ตอนนั้นคิดแค่ว่า จริงๆ เราออกไปทำอะไรก่อนได้ ไปเจอสังคมใหม่ๆ เอาตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมนี้ก่อนดีที่สุด ตอนนั้นประเมิณแล้วว่างานรับจ้างอะไรก็พอทำได้เพราะเป็นคนไม่เกี่ยงงานอยู่แล้ว และหนี้สินที่มีอย่างเดียวคือบ้านซึ่งยังพอสามารถจัดการได้ช่วงระยะประมาณ 1-2 ปี หลังจากนั้นเคลียร์กับสามีค่ะ เอายังไงต่อดียังอยากจะเดินไปด้วยกันมั้ย และคำตอบคือให้โอกาสครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายค่ะ ท้ายสุดเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟังค่ะ ทั้งเรื่องโรคซึมเศร้า เรื่องจะออกจากงาน ยกเว้นเรื่องที่กินยาเกินขนาด ละก็มาถึงจุดนี้ค่ะ จุดที่เราค้นพบแล้วว่าสิ่งแวดล้อมนึงที่อาจจะ toxic กับเราตั้งแต่ตอนไหนเลยไม่รู้คือ "แม่" ค่ะ คำตอบที่แม่ให้เรามาคือ "จะทำอะไรก็ทำไปอย่าให้เดือดร้อนครอบตรัวก็พอ" ชีวิตเหมือนถล่มลงมาเลยค่ะ สิ่งที่ทำมาทั้งหมด เงินเดือนไม่เคยอยู่ในบัญชีนานเกิน 5 วันเลยค่ะ โอนให้แม่ตลอด โดยที่แม่ไม่เคยต้องทวง จริงๆสิ่งที่หวังไม่ได้ขออะไรมาก คิดว่าเป็นคำง่ายๆ เช่น ไม่เป็นไรกลับบ้านเรานะลูก อะไรประมาณนี้ แต่............
ชีวิตของเราต้องไปต่อค่ะ หยุดไม่ได้ อยู่ดีๆ บริษัทต่างประเทศโทรมา เนื่องจากไปลง CV ไว้ที่ linkedin ขอสัมภาสงานค่ะ ไม่เคยคิดเรื่องทำงานต่างประเทศมาก่อนเลย แอบตกใจนิดหน่อยแต่ก็ตอบรับไปค่ะ โทรมาตอนเที่ยง ขอสัมภาสเย็น และเราได้งานวันนั้นเลย.....
ตอนนี้ย้ายมาได้ครึ่งปีแล้วค่ะ มากับสามีเค้าตามมาดูแลด้วยค่ะ อย่างที่บอกเลย คิดถึงประเทศไทยมาก คิดถึงเพื่อน คิดถึงอาหารไทย และการทำงานต้องใช้ความอดทนในการปรับตัวเยอะมากๆจริงๆ อาหารไม่แซ่บ อากาศไม่ดี ผู้คนไม่ไนซ์ หลากหลายปัญหาจริงๆ ติดต่อกลับไทยก็ช่างยากจริงแต่มีข้อดีนะคะ เหมือนเริ่มชีวิตใหม่ โดยไม่ต้องมีข้ออ้างที่จะทิ้งใครไว้ข้างหลังเลย เงินที่เคยส่งให้แม่ก็เปลี่ยนเป็นการให้สินทรัพย์แบบอื่นแทนเงินสดและลดน้อยลงเพราะหันมาโฟกัสเรื่องครอบครัวเรา (ตอนนี้แค่สามีและเราค่ะ) สุขภาพจิตดีขึ้นมาก แม้งานจะมีอุปสรรค์มากมายก็จริง แม้จะเจอความยากลำบาก แต่มันแปลกมากเลยที่สภาพใจเราดีขึ้นมาก การติดต่อกับที่บ้านน้อยลง ไม่ค่อยได้คุยกับแม่ เพราะเวลาต่างกัน มีถามกลับไปที่พี่สาวบ้าง อาการโรคซึมเศร้าแทบจะหายไปเลย ไม่ต้องกินยานอนหลับแล้ว หยุดยาต้านเศร้าแล้วด้วย ถึงตอนนี้มีความหวังแล้วว่าเราคงจะไม่สายเกินไปที่จะคิดมีเจ้าตัวน้อยสักคน เเละสัญญาได้เลยว่าเค้าจะไม่ต้องเติบโตมาเติมเต็มอะไรของเราเลย แค่เกิดมาใช้ชีวิตอย่างที่เค้าอยากจะเป็นอย่าเป็นแบบเราที่ทุกวันนี้เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราชอบทำอะไร หรือ ไม่ชอบทำอะไร หาความชอบหรือความอยากได้ของตัวเองไม่เจอจริงๆ
ปล. เงินในบัญชีเยอะมาก แบบที่ไม่เคยมีเท่านี้มาก่อน เราไม่เคยเก็บเงินของตัวเองเลยจริงตอนนี้เริ่มชอบเก็บเงินแล้ว เผื่อวันหนึ่งมีเจ้าตัวเล็ก จะได้ไม่ลำบาก
ปล2. เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจอสถานะการณ์แย่ๆแบบเรานะคะ ยังไงเราจะตื่นขึ้นมาตอนเช้าพรุ่งนี้น้าาาา
สุดท้ายนี้ถ้าการแชร์นี้มีส่วนไหนที่ไม่โอเค เราขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะคะ เป็นกระทู้แรก เเละเราแชร์เรื่องราวของเราเองจริงๆ