คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ต้องกล่าวก่อนว่าตัวผมพึ่งมต้น ประสบการณ์ไม่ได้มากอะไร แต่เห็นอกเห็นใจ จขกทนะครับ
ผมยอมรับว่าอาจไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งอย่างที่เจ้าของเจอ เราไม่ได้รู้จักกัน
และผมไม่มีทางรู้ทุกอย่างและเข้าใจความรู้สึกของ จขกทได้แน่นอน แต่ขอให้ผมได้พยายามทำให้ดีที่สุดนะครับ
ส่วนตัวผมเองก็เรียนรร ที่เค้าว่ากันว่าtopประเทศ ไม่ติดโครงการgifted แต่ได้ห้องคิงภาคธรรมดา พอขออนุญาตเดาว่าเราคงมีอะไรที่คล้ายๆกันบ้างนะครับตรงจุดนี้
จุดเริ่มต้นมากจากการที่ผมชอบอ่านphilosophyมาแต่ไหนแต่ไร ผมจึงชอบคิด ชอบตั้งคำถาม ชอบมองอนาคตตลอด เราเกิดมาทำไม พระเจ้ามีจริงไหม เราควรทำอะไรดีในชีวิต อะไรแบบเนี่ยครับ ผมก็วาวแผนชีวิตตัวเอง ทำให้ผมลองอ่านของมปลายล่วงหน้าบ้าง ลองหาdekd ลองไปopen house ลองถามคนทำงานสายนู้นสายนี้ ลองหาทุนเรียนต่อ เหมือนกับเราexploreโลกรอบตัวเราครับ เห็นคนนั้นได้ดี เรียนจบที่นี่ ทำงานที่นี่ เราก็ฝันต่างๆนาๆ ผนวกกับผมเคยผ่านค่ายสอวนคอมค่ายแรก แล้วก็เป็นคนชอบเลขชอบฟิสิกส์ ชอบการproblem solving แล้วพอชอบphilosophy ส่งผลให้ผมชอบกฏหมายไปด้วย เคยเอาข้อสอบพวกนิติปรัชญา กฏหมายแพ่งพาณิชย์ที่รามมาลองทำ เอ้ย นี่ตัวเองเลย บวกกับเคยเห็นในredditว่า engineer มาต่อ law schoolกัน จึงสนใจ มันไม่ค่อยมีคนมากันหนิ ส่วนมากไปfinanceกัน ผมจึงได้จุดขายตัวเองว่าอยากเป็นlawyerที่เป็นtechด้วย มันมีข้อดีตรงผมว่าอนาคตคดียังไงtechnologyก็มีผล คนจบนิติ ไม่น่าเข้าใจtech ส่วนสายtechคงไปต่อmba ไม่มากฏหมายหรอก อย่างที่ จขกท สนใจmit sloanนั่นแหละ ผมจะลองยกตัวอย่างเช่น คดีหมิ่นประมาท บ้านเราแค่สมัครเพิ่มอีก20บัญชี เค้าก็ตามยากแล้ว แต่เป็นผม ผมสนใจhyperlink ไม่สนใจว่าจะมีกี่บัญชี แบบเนี่ยครับ ความรู้มันผสมกันได้ ผมลองคุยเล่นๆกับพี่ทนายคนนึงอรู้สึกถ้าเรามีความรู้ทั้งlawyer ทั้งengineer มันต้องไปได้ดีมากแน่ๆ
จากนั้น ผมเป็นคนชอบคุยกับครูครับ มีคาบนึงอาจารย์สอนกฏหมาย บอกทำงานนอกเวลาต้องได้OT ผมจึงสงสัยว่า ถ้าทำงานตอนพักเที่ยงหล่ะ เค้าให้ไปพัก ผมดันมาทำงานแทน แบบนี้จ่ายไหม เราจึงสนิทกัน วันนึง อาจารย์บอกว่าจะทำไร ผมก็บอกว่าจะเป็นlawyerกับengineer พอจบมต้นจะเรียนpredegreeรามแล้ว18เข้าวิศวะคอม อาจารย์ก็บอกว่ามันหนักนะ เพราะอาจารย์ท่านนี้สอนผม ก็เลยบอกผมลองhomeschoolกับทางรร.ดู คืออยู่ในระบบ ผมไม่ได้ลาออก ผมแค่ไม่ต้องมา(แต่มาก็ได้นะ หาเพื่อนๆ)ทำงานให้ครบ สอบให้ผ่าน จะได้มีเวลาไปเรียนพิเศษ ไปเรียนpredegree ไปฝึกเขียนโปรแกรม ผมว่าก็ว่าเข้าท่าดี ตอนนี้กำลังทำเรื่องอยู่ คงได้สักเทอมครับ
แล้วผมก็ลองดูทุนต่างประเทศ อยากreverse engineer ว่านักเรียนทุนเค้าโปรไฟล์ยังไง ผมก็จำมา dmไปถามเลยก็มี อย่างล่าสุดผมไปถามในyoutubeพี่ท่านนึงที่เรียนนิติที่cornell ได้ทุนองค์ภาไป พี่เค้าใจดีตอบคอมเม้นด้วย แปลว่าทั้งสองเราก็สนใจเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลกเหมือนกันนะครับ
อย่างแผนชีวิตผมอาจจะแปลกหน่อย เพราะผมคงอยากลองสอบkvis posn mwit tuเหมือนกัน แต่ถึงติดก็คงไม่ไปครับ ทำไมหรือ คือผมชอบระบบhomeschoolกับรร.มากกว่านะครับ คือถ้าผอ.อนุญาต ผมก็มีgapyearดีๆนี่เอง ผมว่าคนสอบติด คือคนกวดวิชาครับ ลองมองแบบsurvivorship biasนะครับ จริงๆที่เก่งๆกัน เก่งเพราะอะไร ผมก็เก่งเพราะกวดวิชา เด็กทุนก็ได้พวกagencyช่วย เด็กเก่งๆกวดวิชาเยอะครับ ทำไมหรือ เพราะกวดวิชาเค้าสอนproblem solvingครับ ในขณะมี่รร.สอนเขียนตามคำบอกลงสมุด อย่างข่าว รร.แถวอโศกล่าสุดที่ตกกันครึ้งนึง แต่ที่tu ก็ซ่อมที่โรงอาหารทุกปีหนิครับ ช่วงสอบsum สอนง่าย ออกข้อสอบยาก ถามว่าเค้าเก่งจากไหนหล่ะ ก็ข้างนอกไง ผมจึงยึดจุดยุทธศาสตร์นี้ มองว่า ถ้ากวดวิขา นั่นแหละคือจุดร่วมจริงๆของsurvivorship biasนี้ ไม่ปฏิเสธว่าคนเก่งจบจากที่ดังๆ แต่ผมว่าจุดที่เค้าเก่งคือเค้ากวดวิชาต่างหาก ผมจึงhomeschoolแล้วเรียนพิเศษทั้งวันดีกว่า เนื้อหาม.ปลายผมจบละ ตะลุยโจทย์แล้ว เดี๋ยวนี้เรียนออนไลน์สบายๆ เอาเวลาไปgapyear ค้นหาตัวเอง ฝึกทักษะ สร้างprofileใส่linkedin อย่างผมก็ทุ่มให้นิติราม แล้วก็สอวน คอม เกิดผมได้นิติตอน18 แล้วได้เป็นผู้แทนศูนย์ ผมผ่านสบายเลยไม่ต้องสอบ พอเข้าไปข้างในผมก็เรียนมาหมดแล้ว สบายเลย ผมก็แสดงพลัง ไปแข่งhackathon acm ipcp ctfบลาๆ สอบแข่งกฏหมายวันรพี แข่งmoot court พอจบก็สอบเนติ สอบตั๋ว ขอทุนเรียนต่อ กลับมาจะไปlawfirmใหญ่ๆ สอบสนามเล็กสนามใหญ่ก็เอาเลย profileเราดีอยู่แล้ว
เราก็จะเห็นว่าพวกเรามีความฝันหวานที่มีคล้ายๆกัน คิดไปไกล วางแผนไกลๆ ความคาดหวัง จินตนาการของเราต่างๆนาๆ และผมเข้าใจจขกทนะว่า สิ่งที้จขกท ต้องการเป็น ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันดีมากที้เราวางแผนอนาคตตัวเอง อยากให้จขกทเก็บข้อดีตรงนี้ไว้ อย่าให้ความเสียใจมาทำร้ายเราเลย และการที่จขกทผิดพลาด นั่นเป็นสิ่งที่รับได้ในชีวิตของเรา มันมีปัจจัยเยอะมากกก ที่เราควบคุมไม่ได้ดั่งใจเรา เราได้ทำส่วนของเราให้ดีในทุกๆวันก็ดีมากๆแล้ว
ถ้าหากอนาคต ผมผิดหวังจากทุกอย่างที่ฝันแบบจขกท ผมจะตอบตัวเองอย่างไร
ผมก็คงรักตัวเอง ยอมรับความผิดพลาด ประตูบางบานปิดลงไปแล้ว และประตูบางบานอีกมากที่ยังเปิดอยู่ เราก็จะทำให้ดีที้สุด ที่เราจะทำได้แล้วครับ
ผมยอมรับว่าอาจไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งอย่างที่เจ้าของเจอ เราไม่ได้รู้จักกัน
และผมไม่มีทางรู้ทุกอย่างและเข้าใจความรู้สึกของ จขกทได้แน่นอน แต่ขอให้ผมได้พยายามทำให้ดีที่สุดนะครับ
ส่วนตัวผมเองก็เรียนรร ที่เค้าว่ากันว่าtopประเทศ ไม่ติดโครงการgifted แต่ได้ห้องคิงภาคธรรมดา พอขออนุญาตเดาว่าเราคงมีอะไรที่คล้ายๆกันบ้างนะครับตรงจุดนี้
จุดเริ่มต้นมากจากการที่ผมชอบอ่านphilosophyมาแต่ไหนแต่ไร ผมจึงชอบคิด ชอบตั้งคำถาม ชอบมองอนาคตตลอด เราเกิดมาทำไม พระเจ้ามีจริงไหม เราควรทำอะไรดีในชีวิต อะไรแบบเนี่ยครับ ผมก็วาวแผนชีวิตตัวเอง ทำให้ผมลองอ่านของมปลายล่วงหน้าบ้าง ลองหาdekd ลองไปopen house ลองถามคนทำงานสายนู้นสายนี้ ลองหาทุนเรียนต่อ เหมือนกับเราexploreโลกรอบตัวเราครับ เห็นคนนั้นได้ดี เรียนจบที่นี่ ทำงานที่นี่ เราก็ฝันต่างๆนาๆ ผนวกกับผมเคยผ่านค่ายสอวนคอมค่ายแรก แล้วก็เป็นคนชอบเลขชอบฟิสิกส์ ชอบการproblem solving แล้วพอชอบphilosophy ส่งผลให้ผมชอบกฏหมายไปด้วย เคยเอาข้อสอบพวกนิติปรัชญา กฏหมายแพ่งพาณิชย์ที่รามมาลองทำ เอ้ย นี่ตัวเองเลย บวกกับเคยเห็นในredditว่า engineer มาต่อ law schoolกัน จึงสนใจ มันไม่ค่อยมีคนมากันหนิ ส่วนมากไปfinanceกัน ผมจึงได้จุดขายตัวเองว่าอยากเป็นlawyerที่เป็นtechด้วย มันมีข้อดีตรงผมว่าอนาคตคดียังไงtechnologyก็มีผล คนจบนิติ ไม่น่าเข้าใจtech ส่วนสายtechคงไปต่อmba ไม่มากฏหมายหรอก อย่างที่ จขกท สนใจmit sloanนั่นแหละ ผมจะลองยกตัวอย่างเช่น คดีหมิ่นประมาท บ้านเราแค่สมัครเพิ่มอีก20บัญชี เค้าก็ตามยากแล้ว แต่เป็นผม ผมสนใจhyperlink ไม่สนใจว่าจะมีกี่บัญชี แบบเนี่ยครับ ความรู้มันผสมกันได้ ผมลองคุยเล่นๆกับพี่ทนายคนนึงอรู้สึกถ้าเรามีความรู้ทั้งlawyer ทั้งengineer มันต้องไปได้ดีมากแน่ๆ
จากนั้น ผมเป็นคนชอบคุยกับครูครับ มีคาบนึงอาจารย์สอนกฏหมาย บอกทำงานนอกเวลาต้องได้OT ผมจึงสงสัยว่า ถ้าทำงานตอนพักเที่ยงหล่ะ เค้าให้ไปพัก ผมดันมาทำงานแทน แบบนี้จ่ายไหม เราจึงสนิทกัน วันนึง อาจารย์บอกว่าจะทำไร ผมก็บอกว่าจะเป็นlawyerกับengineer พอจบมต้นจะเรียนpredegreeรามแล้ว18เข้าวิศวะคอม อาจารย์ก็บอกว่ามันหนักนะ เพราะอาจารย์ท่านนี้สอนผม ก็เลยบอกผมลองhomeschoolกับทางรร.ดู คืออยู่ในระบบ ผมไม่ได้ลาออก ผมแค่ไม่ต้องมา(แต่มาก็ได้นะ หาเพื่อนๆ)ทำงานให้ครบ สอบให้ผ่าน จะได้มีเวลาไปเรียนพิเศษ ไปเรียนpredegree ไปฝึกเขียนโปรแกรม ผมว่าก็ว่าเข้าท่าดี ตอนนี้กำลังทำเรื่องอยู่ คงได้สักเทอมครับ
แล้วผมก็ลองดูทุนต่างประเทศ อยากreverse engineer ว่านักเรียนทุนเค้าโปรไฟล์ยังไง ผมก็จำมา dmไปถามเลยก็มี อย่างล่าสุดผมไปถามในyoutubeพี่ท่านนึงที่เรียนนิติที่cornell ได้ทุนองค์ภาไป พี่เค้าใจดีตอบคอมเม้นด้วย แปลว่าทั้งสองเราก็สนใจเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลกเหมือนกันนะครับ
อย่างแผนชีวิตผมอาจจะแปลกหน่อย เพราะผมคงอยากลองสอบkvis posn mwit tuเหมือนกัน แต่ถึงติดก็คงไม่ไปครับ ทำไมหรือ คือผมชอบระบบhomeschoolกับรร.มากกว่านะครับ คือถ้าผอ.อนุญาต ผมก็มีgapyearดีๆนี่เอง ผมว่าคนสอบติด คือคนกวดวิชาครับ ลองมองแบบsurvivorship biasนะครับ จริงๆที่เก่งๆกัน เก่งเพราะอะไร ผมก็เก่งเพราะกวดวิชา เด็กทุนก็ได้พวกagencyช่วย เด็กเก่งๆกวดวิชาเยอะครับ ทำไมหรือ เพราะกวดวิชาเค้าสอนproblem solvingครับ ในขณะมี่รร.สอนเขียนตามคำบอกลงสมุด อย่างข่าว รร.แถวอโศกล่าสุดที่ตกกันครึ้งนึง แต่ที่tu ก็ซ่อมที่โรงอาหารทุกปีหนิครับ ช่วงสอบsum สอนง่าย ออกข้อสอบยาก ถามว่าเค้าเก่งจากไหนหล่ะ ก็ข้างนอกไง ผมจึงยึดจุดยุทธศาสตร์นี้ มองว่า ถ้ากวดวิขา นั่นแหละคือจุดร่วมจริงๆของsurvivorship biasนี้ ไม่ปฏิเสธว่าคนเก่งจบจากที่ดังๆ แต่ผมว่าจุดที่เค้าเก่งคือเค้ากวดวิชาต่างหาก ผมจึงhomeschoolแล้วเรียนพิเศษทั้งวันดีกว่า เนื้อหาม.ปลายผมจบละ ตะลุยโจทย์แล้ว เดี๋ยวนี้เรียนออนไลน์สบายๆ เอาเวลาไปgapyear ค้นหาตัวเอง ฝึกทักษะ สร้างprofileใส่linkedin อย่างผมก็ทุ่มให้นิติราม แล้วก็สอวน คอม เกิดผมได้นิติตอน18 แล้วได้เป็นผู้แทนศูนย์ ผมผ่านสบายเลยไม่ต้องสอบ พอเข้าไปข้างในผมก็เรียนมาหมดแล้ว สบายเลย ผมก็แสดงพลัง ไปแข่งhackathon acm ipcp ctfบลาๆ สอบแข่งกฏหมายวันรพี แข่งmoot court พอจบก็สอบเนติ สอบตั๋ว ขอทุนเรียนต่อ กลับมาจะไปlawfirmใหญ่ๆ สอบสนามเล็กสนามใหญ่ก็เอาเลย profileเราดีอยู่แล้ว
เราก็จะเห็นว่าพวกเรามีความฝันหวานที่มีคล้ายๆกัน คิดไปไกล วางแผนไกลๆ ความคาดหวัง จินตนาการของเราต่างๆนาๆ และผมเข้าใจจขกทนะว่า สิ่งที้จขกท ต้องการเป็น ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันดีมากที้เราวางแผนอนาคตตัวเอง อยากให้จขกทเก็บข้อดีตรงนี้ไว้ อย่าให้ความเสียใจมาทำร้ายเราเลย และการที่จขกทผิดพลาด นั่นเป็นสิ่งที่รับได้ในชีวิตของเรา มันมีปัจจัยเยอะมากกก ที่เราควบคุมไม่ได้ดั่งใจเรา เราได้ทำส่วนของเราให้ดีในทุกๆวันก็ดีมากๆแล้ว
ถ้าหากอนาคต ผมผิดหวังจากทุกอย่างที่ฝันแบบจขกท ผมจะตอบตัวเองอย่างไร
ผมก็คงรักตัวเอง ยอมรับความผิดพลาด ประตูบางบานปิดลงไปแล้ว และประตูบางบานอีกมากที่ยังเปิดอยู่ เราก็จะทำให้ดีที้สุด ที่เราจะทำได้แล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
การที่ไม่ได้เรียนที่กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม จะสามารถประสบความสำเร็จ และมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองได้หรือเปล่า
ในตอนเด็ก ถ้าคุณเรียนได้เกรดสูงๆติดอันดับของห้อง ของระดับชั้น ไปสอบแข่งขันได้รางวัลระดับจังหวัด พวกคุณคงจะดีใจใช่ไหม ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมเริ่มคิดได้ว่า
ถ้าเอาชนะระดับโรงเรียนได้ ก็ต้องมีระดับจังหวัด
ถ้าเอาชนะระดับจังหวัดได้ ก็ต้องมีระดับภูมิภาค
ถ้าเอาชนะระดับภูมิภาคได้ ก็ต้องมีระดับประเทศ
ถ้าเอาชนะระดับประเทศได้ ก็ต้องแข่งกับคนจีน ฝรั่ง ฯลฯ
ถ้าเอาชนะทุกคนบนโลกได้ สักวันหนึ่ง ก็จะต้องมีมนุษย์ต่างดาว
ถ้าเอาชนะในวิชาวิทยาศาสตร์ได้ ก็ยังมีวิชาคณิตศาสตร์
ถ้าเอาชนะในวิชาคณิตศาสตร์ได้ ก็ยังมีวิชาภาษา
ถ้าเอาชนะในวิชาภาษาได้ ก็ยังมีทฤษฎีดนตรี ศิลปะ และความรู้อีกหลายแขนง ไม่สิ้นสุด
ในอนาคตเมื่อโตขึ้น แม้จะเอาชนะทางด้านวิชาการได้ ก็ยังต้องเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า หน้าที่การงานดีกว่า ทำธุรกิจได้ร่ำรวยกว่า ฯลฯ
แม้จะเอาชนะได้ทุกด้าน หล่อกว่าคนอื่น หน้าที่การงานดีกว่าคนอื่น จนมีแต่สาวสวยๆรุมล้อม แต่ก็ยังมีปัญหาของโลกที่ยังสามารถมากวนชีวิตของเราได้ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ สงคราม ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ฯลฯรวมถึงปัญหาส่วนตัว เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาในครอบครัว
ทำไมต้องเอาชนะผู้อื่น?
1. ผมต้องการให้ทางบ้านภูมิใจ
2. ต่อมาในชีวิต ผมได้รับการปลูกฝังว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องสร้างประโยชน์ต่อสังคมให้ได้มากที่สุด อย่าให้เสียชาติเกิด(ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าตัวตายไปซะ ผมต่อเอง)ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครปลูกฝัง การได้ที่ 1 ก็คือการการันตีอย่างหนึ่งว่าเราสามารถนำความสามารถ พลังของเราไปใช้ได้ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผมสิ่งหนึ่ง คือ การที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นขยะสังคม รอรับเงินรัฐบาลไปวันๆ ไม่สามารถหางานทำได้ ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ ใช้ชีวิตเหลวไหล ดื่มเหล้า เมาไปวันๆ
สิ่งเหล่านี้ เท่าที่จำความได้ น่าจะติดค้างในใจของผม มาตั้งแต่ประมาณ ป.3
เหตุผลที่ต้องเกริ่นเรื่องนี้มา เพราะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.3 ถึง ตอนที่จบม.6 ได้ประมาณ 2 ปี ผมค่อนข้างติดค้างเรื่องเหล่านี้มาตลอด และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมต้องการที่จะเก่งกว่าคนอื่น สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่า ผมไม่ใช่ขยะสังคมคือ การสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมในระดับประเทศได้ และสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงเพื่อไปเรียนต่อนอกได้
การสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ (สำหรับสายวิทยาศาสตร์ มี 5 ทุนต่อปี เท่านั้น)
สำหรับผม คือ จุดสูงสุดของการเป็นนักเรียนมัธยม แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมมีความเครียดสูง จึงไม่สามารถสอบได้ผมได้พิมพ์ไปในกระทู้ก่อนๆ กระทู้นี้ผมจะเน้นในส่วนของมัธยมปลาย
สิ่งที่ผมสงสัยคือ
1. ผมต้องการทราบว่าคนที่เคยเรียนในโรงเรียนที่ผมกล่าวไปข้างบน มีบ้างไหม ที่รู้สึกว่า ชีวิตยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร หรือมีชีวิตแย่ ยกตัวอย่างประกอบได้ไหม ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่เคยเรียนต่อโรงเรียนด้านบนแล้วสามารถประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองได้ มีบ้างไหม ยกตัวอย่างประกอบได้ไหม
2. เท่าที่ผมเคยอ่านโพสต์ในเฟสบุ๊คของศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์ มีคนหนึ่งเคยโพสต์ว่า รุ่นเพื่อนเดียวกันกับเขากลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมหลายคน หลายคนเป็นประธานบริษัทนั้นบริษัทนี้ เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ มีอีกคนที่โพสต์ว่า วันนี้เขาทำงานต่างสายงานกับเพื่อนได้ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในอีกสายงาน ที่เป็นศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์เหมือนกัน สิ่งนี้ ภาษาคนทั่วไป คงจะเรียกว่า Connection ผมต้องการทราบว่า ผู้มี่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนเหล่านั้น จะสามารถหาผู้ที่มาช่วยเหลือในชีวิตได้ไหม จะมีConnection ดีๆได้ไหม ทำอย่างไรให้ไม่เสียใจที่ไม่มีเพื่อนเป็นศาสตราจารย์ ผู้บริหาร ผู้ที่มีหน้าตาในสังคม
นี่คือคำตอบของผม
มีแน่นอน และคนที่สามารถเป็นใหญ่เป็นโต ไม่จำเป็นต้องเรียนในโรงเรียนพวกนั้นก็ได้ มันขึ้นกับจังหวะชีวิตของแต่ละคน ส่วนเรื่อง Connection ในโลกนี้มี Conection มากมาย นอกจากนี้ Connection ยังขึ้นกับตัวเราด้วย ถ้าตัวเราไม่มีความเชี่ยวชาญในสายงานก็ไม่มีใครอยากมีเราเป็นเพื่อนร่วมงาน ส่วนคนที่เข้ามาโกงเรา นินทาเราลับหลัง ก็เป็นเรื่องของจังหวะชีวิตเหมือนกัน คนที่เคยได้เรียนโรงเรียนพวกนั้น เขาอาจจะเป็นคนที่เรียนเก่ง มีความสำเร็จในช่วงมัธยม แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ป่วย ไม่เคยทำธุรกิจเจ๊ง มีแต่ความราบรื่นในหน้าที่การงาน
ช่วยวิพากษ์วิจารณ์คำตอบของผมด้วยครับ
มีอะไรอยากแนะนำเพิ่มเติมไหม
ถ้าจะถามว่า ทุกวันนี้ ผมสามารถหาคำตอบของสิ่งที่ติดค้างในตอนต้น เกี่ยวกับการเอาชนะผู้อื่น ได้หรือยัง ก็ต้องบอกว่า ผมได้คำตอบที่พอใจตัวเองแล้ว แต่ผมจะไม่ขอพิมพ์รายละเอียดในนี้ เพราะว่าเป็นคำตอบส่วนตัว ผมไม่ได้กลัวว่าถ้าผู้อื่นรู้คำตอบแล้วจะเก่งกว่าผมหรอก แต่ผมเคยพยายามเล่าให้คนอื่น ทั้งเพื่อน และคนในบ้านฟัง แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นความไม่เข้าใจกัน คำตอบของผม ค่อนข้างมีรายละเอียดส่วนบุคคลเยอะมาก สำหรับผู้อื่นที่ไม่ได้อินแบบผม คิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาแบบผม คงจะไม่มีทางที่จะเข้าใจ หรือแม้จะเข้าใจก็คงไม่ได้รู้สึกอินตาม
ปล. ผมเชื่อว่า จะต้องมีคนพิมพ์ว่า “ไปหาจิตแพทย์” ผมเคยไปหาแล้วครับตอนม.ปลาย แต่สุดท้ายก็แก้ปัญหาให้ผมไม่ได้ ไปหาติดต่อกัน 2-3 ปี นี่คงเป็นปัญหาที่ไม่มีใครแก้ให้ผมได้ นอกจากตัวเอง