รีวิวปรึกษาคลีนิคปลูกผมย่านรัชดา ( ติด MRT ศูนย์ฯ ) เกือบคิดฆ่าตัวตาย
ผมเข้ารับการปรึกษาเพื่อจะปลูกผมกับคลีนิคแห่งหนึ่งย่านรัชดา พอถึงขั้นตอนที่จะทำการรักษาได้มีการตรวจเลือดก่อน โดยเครื่องตรวจแบบเทส ซึ่งจะดูโรค
HIV (Anti-HIV)
โรคไวรัสตับอักเสบ ชนิด B และ C (HBsAg, AntiHCV)
โรคซิฟิลิส (VDRL)
แต่ปรากฎว่า มีขึ้นตรง HIV ขีดบางๆ เส้น 2 เราจึงบอกหมอขอตรวจอีกรอบ หมอบอกตรวจแล้ว 2 เทส แล้วเอาตัวเทสให้เราดู จนท และ หมอแจ้ง ตัวเทสมีความแม่นยำมากกว่า 90% และบอกว่าถ้าจะปลูกผมปลูกได้แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์อีก20,000 บาท ยอมรับว่าเครียดมาก เพราะไม่ใช่คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไปอยู่ในสถานะการณ์เสี่ยงใดๆเลย เครียดถึงขนาดว่าจะคิดสั้น อึ้งไปพักใหญ่ ทำไรไม่ถูก จุกอกไปหมด เลยตั้งสติ รวบรวมสติ แล้วรีบไปตรวจ รพ แต่อยากได้ผลเร็วในวันด้วย รพ จึงแนะนำไปตรวจกับคลีนิคอีกที่ย่านอโศก ซึ่งตรวจแบบ Lab เป็นแบบเดียวกันกับ รพ มีความแม่นยำ 100% ขับรถไปเครียดไปนั่งหาข้อมูลแม้กระทั่งว่าถ้าเป็นจริงๆจะต้องอยู่ยังไง ต้องรักษายังไง
จนถึง Lab ตรวจ ก็รีบติดต่อขอตรวจ และ แจ้งข้อมูลกับหมอว่าตรวจเทสแล้วขึ้นแบบนี้ เมื่อเจาะเลือดและรอผลตรวจประมาณ 1 ชั่วโมง ผลตรวจออกมาคือ Non reactive หรือแปลว่า ไม่ติดเชื้อ
วันรุ่งขึ้นเลยไปคุยกับคลีนิคผม ตอนแรกได้เจอกับทาง จนท และ หมอ คนที่ตรวจเลือดวันนั้น แจ้งว่า เคสนี้เพิ่งเคยเกิดขึ้นเคสแรก ปกติเครื่องเทสจะค่อนข้างแม่นยำถึง 90% แต่ก็บอกว่าไม่ใช่ความผิดของคลีนิค เป็นความผิดของบริษัทผลิตเครื่องเทส (แต่ในมุมลูกค้า อะไรที่คลีนิคนำมาใช้ก็คือของที่อยู่ในความรับผิดชอบของคลีนิค) เราแค่ต้องการให้ทางคลีนิคแสดงความรับผิดชอบบ้างว่าเคสปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขยังไง จนมี จนท. อีกท่านที่เราต้องคุยเรื่องรายละเอียด(เพราะเขาเป็นคนรับเรื่องและคุยเกี่ยวกับราคา โปรโมชั่นต่างๆตั้งแต่แรก และทาง จนท ท่านอื่นแจ้ง ต้องคุยกับคนนี้คนเดียว) คือ คุณส.. จนท ท่านนี้พอมาถึงก็ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ใช่ความผิดของคลีนิค และ จะไม่รับผิดชอบใดๆ ลูกค้าไปตรวจเลือดเองก็เปรียบเหมือนกับ ลูกค้าไปตรวจสุขภาพตามปกติที่ลูกค้าต้องจ่าย (ตอนคุยเรื่อง คชจ ตรวจเลือด ตอนไปติดต่อครั้งแรกแจ้งว่าฟรี คชจ. แต่มาคุยวันนี้บอกว่าที่ฟรีคือตัวเทส (ที่ผิดพลาด) ) และบอกว่าเคสแบบนี้ไม่ใช่เคสแรกที่เกิดขึ้น มีเคสอื่นที่ตรวจเทสแล้วเจอ ไปตรวจ รพ. แล้วไม่เจอก็มี ลูกค้าก็กลับมาเอาผลตรวจยืนยันแล้วทำผมตามปกติ คลีนิคก็ไม่ได้ช่วย คชจ ตรงนี้ ผมจึงบอกว่าข้อมูลขัดแย้งกันกับ จนท ที่ตรวจเลือดให้ผมบอกว่าเป็นเคสแรก จนท คุณส..ก็พูดมาเสียงแข็งๆเลยว่าใครบอก ใครพูด ไม่ใช่เคสแรก น้องอีกคนเพิ่งมาทำไม่รู้หรอก กลายเป็นว่าน้องอีกคนก็พูดเออออว่าตัวเองเพิ่งมาทำ จนท.คุณส.. เลยพูดตัดบทว่า จะชดเชย คชจ ตรวจเลือดให้ครึ่งนึงแล้วไม่ขอรับทำเคส เหตุผลไม่สบายใจ กลัวจะทำให้ไม่ดี (คือหมอทำเคสยืนเงียบ ขนาดเป็นคนทำ) ผมจึงตัดสินใจ ไม่ทำ และ ไม่รับเงินชดเชยใดๆ เพราะเงินไม่ใช่ปัญหา แค่อยากเห็นความจริงใจและความรับผิดชอบของคลีนิคแค่นั้น ที่สำคัญคือบริการ แม้คุณจะทำงานที่นี่มานานกี่สิบปีแล้วก็ตาม คุณควรให้ใจบริการลูกค้ามากกว่านี้ ไม่ใช่ยืนเถียง ยืนปฏิเสธ และใช้น้ำเสียงไม่ดี ขนาดหมอเดินไปสกิดยังไม่หยุด ลองทบทวน พิจารณากันเอาเองนะครับ
ถ้าเป็นคุณจะทำยังไง และ ถ้าในวันนั้นผมไม่มีกำลังใจที่ดี ผมคงคิดสั้นฆ่าตัวตาย จบชีวิตตัวเองไปแล้ว
ป.ล. คลีนิคควรมีอุปกรณ์ตรวจเลือด ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่มีมาตรฐานกว่านี้ หรือ จริงๆแล้วควรให้ลูกค้าไปตรวจที่ รพ. ตั้งแต่ต้น จะดีกว่า
[CR] รีวิวปรึกษาคลีนิคปลูกผมย่านรัชดา ( ติด MRT ศูนย์ฯ ) เกือบคิดฆ่าตัวตาย
ผมเข้ารับการปรึกษาเพื่อจะปลูกผมกับคลีนิคแห่งหนึ่งย่านรัชดา พอถึงขั้นตอนที่จะทำการรักษาได้มีการตรวจเลือดก่อน โดยเครื่องตรวจแบบเทส ซึ่งจะดูโรค
HIV (Anti-HIV)
โรคไวรัสตับอักเสบ ชนิด B และ C (HBsAg, AntiHCV)
โรคซิฟิลิส (VDRL)
แต่ปรากฎว่า มีขึ้นตรง HIV ขีดบางๆ เส้น 2 เราจึงบอกหมอขอตรวจอีกรอบ หมอบอกตรวจแล้ว 2 เทส แล้วเอาตัวเทสให้เราดู จนท และ หมอแจ้ง ตัวเทสมีความแม่นยำมากกว่า 90% และบอกว่าถ้าจะปลูกผมปลูกได้แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์อีก20,000 บาท ยอมรับว่าเครียดมาก เพราะไม่ใช่คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไปอยู่ในสถานะการณ์เสี่ยงใดๆเลย เครียดถึงขนาดว่าจะคิดสั้น อึ้งไปพักใหญ่ ทำไรไม่ถูก จุกอกไปหมด เลยตั้งสติ รวบรวมสติ แล้วรีบไปตรวจ รพ แต่อยากได้ผลเร็วในวันด้วย รพ จึงแนะนำไปตรวจกับคลีนิคอีกที่ย่านอโศก ซึ่งตรวจแบบ Lab เป็นแบบเดียวกันกับ รพ มีความแม่นยำ 100% ขับรถไปเครียดไปนั่งหาข้อมูลแม้กระทั่งว่าถ้าเป็นจริงๆจะต้องอยู่ยังไง ต้องรักษายังไง
จนถึง Lab ตรวจ ก็รีบติดต่อขอตรวจ และ แจ้งข้อมูลกับหมอว่าตรวจเทสแล้วขึ้นแบบนี้ เมื่อเจาะเลือดและรอผลตรวจประมาณ 1 ชั่วโมง ผลตรวจออกมาคือ Non reactive หรือแปลว่า ไม่ติดเชื้อ
วันรุ่งขึ้นเลยไปคุยกับคลีนิคผม ตอนแรกได้เจอกับทาง จนท และ หมอ คนที่ตรวจเลือดวันนั้น แจ้งว่า เคสนี้เพิ่งเคยเกิดขึ้นเคสแรก ปกติเครื่องเทสจะค่อนข้างแม่นยำถึง 90% แต่ก็บอกว่าไม่ใช่ความผิดของคลีนิค เป็นความผิดของบริษัทผลิตเครื่องเทส (แต่ในมุมลูกค้า อะไรที่คลีนิคนำมาใช้ก็คือของที่อยู่ในความรับผิดชอบของคลีนิค) เราแค่ต้องการให้ทางคลีนิคแสดงความรับผิดชอบบ้างว่าเคสปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขยังไง จนมี จนท. อีกท่านที่เราต้องคุยเรื่องรายละเอียด(เพราะเขาเป็นคนรับเรื่องและคุยเกี่ยวกับราคา โปรโมชั่นต่างๆตั้งแต่แรก และทาง จนท ท่านอื่นแจ้ง ต้องคุยกับคนนี้คนเดียว) คือ คุณส.. จนท ท่านนี้พอมาถึงก็ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ใช่ความผิดของคลีนิค และ จะไม่รับผิดชอบใดๆ ลูกค้าไปตรวจเลือดเองก็เปรียบเหมือนกับ ลูกค้าไปตรวจสุขภาพตามปกติที่ลูกค้าต้องจ่าย (ตอนคุยเรื่อง คชจ ตรวจเลือด ตอนไปติดต่อครั้งแรกแจ้งว่าฟรี คชจ. แต่มาคุยวันนี้บอกว่าที่ฟรีคือตัวเทส (ที่ผิดพลาด) ) และบอกว่าเคสแบบนี้ไม่ใช่เคสแรกที่เกิดขึ้น มีเคสอื่นที่ตรวจเทสแล้วเจอ ไปตรวจ รพ. แล้วไม่เจอก็มี ลูกค้าก็กลับมาเอาผลตรวจยืนยันแล้วทำผมตามปกติ คลีนิคก็ไม่ได้ช่วย คชจ ตรงนี้ ผมจึงบอกว่าข้อมูลขัดแย้งกันกับ จนท ที่ตรวจเลือดให้ผมบอกว่าเป็นเคสแรก จนท คุณส..ก็พูดมาเสียงแข็งๆเลยว่าใครบอก ใครพูด ไม่ใช่เคสแรก น้องอีกคนเพิ่งมาทำไม่รู้หรอก กลายเป็นว่าน้องอีกคนก็พูดเออออว่าตัวเองเพิ่งมาทำ จนท.คุณส.. เลยพูดตัดบทว่า จะชดเชย คชจ ตรวจเลือดให้ครึ่งนึงแล้วไม่ขอรับทำเคส เหตุผลไม่สบายใจ กลัวจะทำให้ไม่ดี (คือหมอทำเคสยืนเงียบ ขนาดเป็นคนทำ) ผมจึงตัดสินใจ ไม่ทำ และ ไม่รับเงินชดเชยใดๆ เพราะเงินไม่ใช่ปัญหา แค่อยากเห็นความจริงใจและความรับผิดชอบของคลีนิคแค่นั้น ที่สำคัญคือบริการ แม้คุณจะทำงานที่นี่มานานกี่สิบปีแล้วก็ตาม คุณควรให้ใจบริการลูกค้ามากกว่านี้ ไม่ใช่ยืนเถียง ยืนปฏิเสธ และใช้น้ำเสียงไม่ดี ขนาดหมอเดินไปสกิดยังไม่หยุด ลองทบทวน พิจารณากันเอาเองนะครับ
ถ้าเป็นคุณจะทำยังไง และ ถ้าในวันนั้นผมไม่มีกำลังใจที่ดี ผมคงคิดสั้นฆ่าตัวตาย จบชีวิตตัวเองไปแล้ว
ป.ล. คลีนิคควรมีอุปกรณ์ตรวจเลือด ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่มีมาตรฐานกว่านี้ หรือ จริงๆแล้วควรให้ลูกค้าไปตรวจที่ รพ. ตั้งแต่ต้น จะดีกว่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้