หนึ่งปีที่ผันผ่าน วันวานในด้านกลับ

ปีนั้นเป็นปีที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน
               ผมมั่นใจในเส้นทางสายนั้น แต่ทว่าปู่กลับให้ผมไตร่ตรอง
               สุดท้ายแล้ว นั่นเป็นหุบเหว ที่ผมล่วงผ่านไปห้วงหนึ่ง...

              ___

               ปีนั้น...เป็นปีที่ผ่านวันเวลาที่สวยงามมาจนถึงจุดอิ่มตัว
               และกราฟโน้มถ่วงของชีวิตในเส้นสายแห่งวานวันนั้น ก็ลิ่วลง...
               แต่ผมกลับเปี่ยมไปด้วยหวังอันแสนเฉิดฉาย คิดว่าฟ้าฟากใหม่ในต่างถิ่นคงมีเรื่องราวแปลกใหม่ให้ได้สัมผัส
               ก่อนที่ผมจะตัดสินใจจากบ้านไปอาศัยอยู่บ้านอายุบ ปู่เคยกล่าวกับผม “ไปลองอยู่ดูก่อนสักเดือนไหม จะได้ดูว่าอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้”
               ปู่หมายความถึงเดือนเมษาของปีนั้น ก่อนช่วงของการเรียนจะมาถึง
               ผมกลับโง่เง่าถึงขนาดที่ว่าอยากรักษาช่วงเวลาเพียงแค่เดือนเดียวเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับปู่
               และนั่น...ทำให้ผมเสียเวลาไปเกือบปี และไม่ได้มีโอกาสอยู่กับปู่ในช่วงชีวิตสุดท้ายของท่าน

               ___

              ผมไม่รู้เลยว่าทำไม... คนกลุ่มหนึ่งนั้น ถึงต้องสมคบคิดกัน เพื่อควบคุมชีวิตผมขนาดนั้น
               ผมซื่อเกินกว่าที่จะทันเหลี่ยมอันตื้นเขิน ในวัยที่อายุกำลังจะเยื้องย่างเข้าสู่ปีที่ 19
              ก่อนที่จะไปอาศัยยังเนินชานพระนคร ผมตระเวนปั่นจักรยานไปยลหลังคาบ้านของ ‘ป๋อมแป๋ม’ หญิงสาวอันอยู่ในหัวใจดวงแคบๆ ของผม กลัวว่าจากหมู่บ้านแห่งเดิมของตนไปแล้วเกรงว่าทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่มันก็คงต้องเป็นเช่นนั้นตามวัฏจักรของธรรมชาติ นั่นทำให้ผมมองข้ามเรื่องของปู่
               ผมจำวันที่จากไปได้ดี
               มันเป็นวันที่ผมพกประมวลกฎหมายเล่มเล็กไปอ่านระหว่างทาง อาศัยญาติของแฟบและฉุนั่งรถของพวกเขาไป แฟบและฉุกำลังเดินทางไปยังบ้านตน ผมกำลังเดินทางไปสู่สิ่งที่มืดมนสิ่งหนึ่ง
               วันนั้นมันทึมเทา ผมนึกว่ามันจะเป็นการเดินทางอันแสนยิ่งใหญ่ดั่งในภาพยนตร์
               เริ่มด้วยการจากบ้านที่ผมเกิดความรู้สึกใจหวิวที่สุด บ้านที่ผมอาศัยอันมี ปู่ ย่า พ่อ แม่ อาตุ่ย และยี่หวา ที่อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนานนับเกือบยี่สิบปี
               แม่พูดกับผมหลายเรื่องก่อนที่จะจาก ยี่หวาเหมือนไม่มีอะไรแต่พอผมใกล้จะไปก็ไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำ
               ส่วนปู่นั่งซึมอยู่เก้าอี้ตัวยาวหน้าบ้าน ตามองตรงไปพยายามกลั้นน้ำตาด้วยขอบตาที่เริ่มแดง
               นั่นเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ผมเห็นปู่ร้องไห้
               ผมสลัดภาพพวกนั้นไป เดินทางไปสู่หุบเหวแห่งการสูญสิ้นแห่งวันเวลา แต่ทว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ผมได้ฉุกคิดในวันข้างหน้า

              ___

              เดือนแรกเป็นไปด้วยดี ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นให้หมางใจกัน
               ฉุนั่งกินสุกี้หม้อไฟหน้าโทรทัศน์ บอกให้ผมว่า “ตัวผอมจะแย่ กินเยอะๆ”
               ตอนผมซื่อบื้อ ผมเคยซาบซึ้งในน้ำใจของเธอมาก
               ปีนั้นผมอายุ 19 ยี่หวากับแฟบอายุราว 15
               ส่วนฉุอายุราว 11 ปี
               ช่วงนั้นฉุแอบไปค้นเบอร์ใครสักคนมาจากมือถือของยี่หวา โทรไปคุยในรูปแบบไหนก็ไม่ทราบได้ จนคนผู้นั้นเลิกคบหากับยี่หวาไปเลยแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตอนนั้นผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเด็กอายุเพียงแค่นั้นจะมีเล่ห์กระเท่ห์อันใดให้ต้องพิจารณา
               ผมดำเนินชีวิตต่อไปในการเป็นนักศึกษาปีแรก
               นอนห้องนอนอันไม่สู้จะกว้างขวางนัก ระเบียงมีนกพิราบบินว่อน หน้าต่างที่มองผ่านมุ้งลวดมีแต่รถราสัญจรทั้งในยามกลางวันและกลางคืน แฟบเดินเอาน้ำเปล่าใส่ขวดพลาสติกใสมาให้ผมในยามมาอยู่ในช่วงแรก
               เวลามันกระดิกผ่านไปอย่างเชื่องช้าและสิ้นหวัง
               ผมวนอยู่กับศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย เจียดเงินซื้อหนังสืออ่านบรรเทาทุกข์ แล้วก็ไปซื้อลูกชิ้น ‘ป้าแก้มย้วย’กลับมากินในยามบ่ายเสมอ
               ตอนเย็นที่กินข้าว ผมมักจะนั่งเฉยๆ จนอาบวมเรียกกินข้าว อาบวมจะเคืองๆ ผมจึงเปลี่ยนไปช่วยแกะถุงแกงใส่ชาม บางครั้งแกก็หมั่นไส้คิดว่าผมอยากจะกินโน่นนี่ เผลอไปแกะถุงแกงผิด อาบวมก็จะเอ็ด “ถุงนั้นไม่แกะ”
               มีครั้งหนึ่งที่ญาติห่างๆ มาอาศัยนอนค้างบ้านอายุบ เย็นวันที่มาถึง ‘เจ๊เถียน’ ยังคุยกับผมดีๆ อยู่ ข้ามมาอีกวันหนึ่งเจ๊เถียนกลับไม่พูดกับผมเฉย ผมไม่รู้ว่าเรื่องเบื้องหลังเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ปล่อยผ่าน
               ในวันที่แฟบกับฉุตื่นขึ้นมากินข้าวกัน ผมก็มาร่วมวงกินด้วย จะมีวันหนึ่งที่อาบวมทนไม่ไหว ให้อายุบมาบอกผมว่า “ไปหาข้าวกินที่มหาลัยก็ได้” ผมก็ทำตามนั้น แม้ชามต้มเลือดหมูที่อาบวมวางไว้แบบแช่เย็น ผมก็ตักมันกินโดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาไม่อยากให้ผมร่วมวงอาหารเช้าด้วย
               ผมมานั่งนึกในใจว่าพวกเขาคงแค้นที่ตอนเด็กผมเคยแกล้งฉุกระมัง แต่มันเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเต็มที
               จำได้ว่าเราเล่นกันสนุกสนานมากเกินกว่าจะไปจำเรื่องร้องไห้ เพราะเพียงชั่วครู่ผ่านมันก็หายไปกับสายลม
               แต่ละคนมีเงินติดกระเป๋าตน เพียงไม่กี่บาทก็กินขนมกันได้หลายวัน ฉุเป็นเด็กเล็กสุด ได้เงินจากตาของเขาเยอะสุด ตาของฉุกับแฟบชื่อ ‘ตารัน’ แกเป็นคนมีน้ำใจ ผมเคยไปเที่ยวบ้านแกแล้วไปเที่ยวบนภูเขาสูง แกเห็นว่าหนาวแล้วผมไม่มีเสื้อ แกก็ไปหาเสื้อกันหนาวหนาๆ มาให้ผมสวม
               ฉุได้เงินจากแกเป็นร้อย เลี้ยงขนมพวกพี่ๆ ได้หลายวัน ซื้อกล่องสุ่มการ์ด F4 ไต้หวันได้หลายกล่อง
               ผมก็อาศัยเงินยี่หวาซื้อกล่องสุ่มการ์ด ต่างออกเงินผลัดเวียนกันไป
               วันต่อๆ มาก็ยี่หวาเลี้ยงบ้าง ผมเลี้ยงบ้าง จนเงินหมดไปตามๆ กัน เหลืออีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอม แต่ละคนเลยเอ่ยปากขอให้แฟบออกค่าขนมเลี้ยงบ้าง แฟบเฉย ทั้งๆ ที่ก็นั่งกินขนมด้วยกันมาตลอด
               มันจึงมีเรื่องดีบ้างไม่ดีบ้างคละเคล้ากันไปในวัยเด็ก แต่บางคนก็เลือกที่จะเก็บความคั่งแค้นไว้ในใจ

              ___

               ที่บ้านอายุบ ผมเคยไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบช็อกโกแลตมากินแท่งหนึ่ง เป็นแท่งสั้นๆ บรรจุซอง พอฉุมานับเข้าแล้วมันไม่ครบ ก็โวยวายลั่นบ้าน อายุบเดินมาบอกว่า “ของในบ้านใครๆ ก็กินได้ทั้งนั้น” ผมก็ยังเคยซึ้งใจในคำพูดนี้ แต่ภายหลังผมก็รู้ว่ามันเป็นแค่เพียงคำเคลือบ
               ฉุร้องไห้จะเป็นจะตาย “หนูเก็บไว้ว่าจะกินให้ครบวัน ถ้ามันขาดไปแล้วมันก็ไม่ครบน่ะสิ”
               ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กจะคิดเช่นนี้
               ตอนที่อาบวมไปซื้อโรตีมาให้คนละอัน ฉุมาแกล้งถามผมทุกทีว่า “พี่กินมั้ย ถ้าไม่กินให้หนูนะ”
               ผมก็บอกไปว่า “เอาไปกินสิ” เห็นฉุชอบผมก็ไม่คิดอะไร
               มาวันหนึ่งผมอยากกินโรตี ไม่ได้ให้ ฉุเหมือนไม่พอใจ อาบวมก็แกล้งพูดว่า “ซื้อให้คนละอันแล้ว”
               ผมก็รู้สึกได้ว่าที่ผมเคยแบ่งฉุไปมันไม่มีความหมายอะไรเลย เผลอๆ ฉุคิดว่านั่นคือเงินของแม่ตนเองเสียด้วยซ้ำ
              “แม่บอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ให้ไปเรียกใช้พี่” ฉุพูดออกมาด้วยความผยองเต็มเปี่ยม ผมเฉยไม่ได้ไปว่าอะไร
               บางวันที่อายุบแบ่งหน้าที่ให้ทำความสะอาดบ้าน ฉุก็ไม่พอใจ ฉุมักเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผู้อาศัยควรทำ ซึ่งผมในตอนนั้นผมก็ทำเฉพาะในเขตที่รับผิดชอบ พอผมเดินผ่านบันได ฉุก็เทน้ำนองเอ่อ แล้วเขวี้ยงถังดังลั่น
               ผมไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หันไปหาแฟบ “เป็นไรอ่ะ” ใบหน้าแฟบเหมือนรู้ แต่ตอบผมสั้นๆ ว่า “ไม่รู้”
               อาจเป็นเพราะผมไม่ได้ทำโน่นนี่เพียงพอที่จะให้พวกเขาพอใจได้
              วันหนึ่ง แฟบโผล่มาพร้อมเพื่อนๆ กำลังจะเข้าบ้าน มันเป็นวันหยุดที่อายุบไม่ได้เปิดร้าน อายุบง่วนอยู่กับการจัดของอยู่ที่โกดัง ฉุนั่งกดคอมพิวเตอร์เล่นเกมส์อย่างเพลิดเพลิน ผมเดินดูอยู่ข้างๆ อาบวมไม่ได้อยู่แถวนั้น
               “เล่นเกมส์ไร” ผมถาม แต่ไม่ได้คำตอบ มีโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมา เป็นแฟบที่บอกว่าให้ออกมาเปิดประตู
               “พี่ เปิดประตู” ฉุพูดกับผมเสียงห้วน
               “ใครมาเหรอ” ผมถามเรียบๆ
               “กูบอกให้ไปเปิดประตู ก็ไปเปิดประตูสิ” ฉุตะโกนลั่น
               ผมฉุนและเกลียด กะจะไปบอกพ่อของฉุ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูด
              เรื่องราวยิบย่อยบางเรื่องผมก็เลือนมันไปบ้าง เหมือนฉุจะล่อให้ผมเข้าไปเอาของที่ห้องของอาบวมอายุบ ผมไม่ได้เข้าไป บ้างฉุก็ดูท่าทีผม แย่งเข้าห้องน้ำตัดหน้าบ้าง เรื่องแบบนี้เด็กที่อายุน้อยที่สุดกลับวางแผนได้ดีถึงขั้นคำนวณไว้แล้วว่าห้องน้ำในบ้านสามห้องมีคนเข้าอยู่แล้ว ถึงมีโอกาสแกล้งผมที่จะพุ่งเข้าห้องน้ำห้องที่สามได้ ตอนนั้นผมปวดอึขีดสุด
              มันเป็นวันวานที่อึดอัด หายใจไม่คล่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่