อยากมาระบายปัญหาครอบครัว อยากออกไปอยู่คนเดียว

เราอาจจะเล่าไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่นะคะ พอดีอยากระบาย
ชอบทะเลาะกับที่บ้านบ่อยมากค่ะ เรื่องที่เล็กมากๆก็ยังทะเลาะกันได้ ที่บ้านมีพี่ชายป่วยติดเตียงและก็มียายย้ายมาอยู่ด้วยเพราะแม่เป็นห่วงสุขภาพ
พี่ชายเริ่มป่วยติดเตียงช่วงเราอยู่ม.5 ตอนแรกเขาอาการดีขึ้นแต่ดันเส้นเลือดในสมองแตกแล้วแม่เราตอนนั้นก็เอาเงินประมาณแสนกว่าบาทไปไถ่ชีวิตวัวเพื่อหวังว่าพี่เราจะดีขึ้น แต่บ้านเราการเงินก็ไม่ดีอยู่แล้วตอนนั้นเราก็พยายามบอกแม่ว่าให้เชื่อมือหมอเถอะส่วนเงินแสนอันนี้เก็บไว้แทนดีกว่ามันช่วยหนูเรียนต่อมหาลัยได้นะ แต่เขาก็ไม่ยอมเขาบอกทำเพื่อพี่ค่ะ เราเข้าใจค่ะว่าเป็นแม่ห่วงลูกทุกคนแต่ไม่อยากให้ลืมอนาคตของลูกอีกคนค่ะ พอซื้อวัวมาป้าเราที่อยู่ศรีสะเกษเป็นคนเลี้ยง เอาตรงๆตอนเรารู้ว่าพี่เส้นเลือดในสมองแตกเราอยากให้เขาไปเลยเราไม่อยากให้เขาอยู่ติดเตียงเพราะเรารู้เลยว่าบ้านเราดูแลเขาไม่ได้แน่นอน บ้านการเงินก็ไม่ดี ทุกคนในบ้านก็ไม่มีใครว่างพ่อแม่ทำงานกันหมด ส่วนเราเรียนใครจะดูเขา แม่เราเป็นคนโมโหง่าย พ่อก็ติดเหล้าบอกจะเลิกก็ไม่เคยเลิก พ่อแม่ก็ทะเลาะกันบ่อยมากตั้งแต่เรายังเด็กประถมจนโต เราเป็นคนต้องคอยมาแยกพวกเขาตลอด ตอนนั้นเราเห็นภาพในหัวเลยว่าถ้าพี่ติดเตียงพ่อแม่จะเป็นยังไง ก่อนพี่เราติดเตียงเราวางแผนอนาคตเราไว้แล้วค่ะว่าอยากต่อมหาลัยคณะที่ชอบไกลบ้านอยากไปอยู่คนเดียวหรือกับเพื่อนเราไม่อยากได้ยินเสียงพ่อแม่เราทะเลาะกันตอนกลางคืนแล้วเราต้องมาร้องไห้คนเดียวในห้องตลอดค่ะ แต่พอเรารู้ว่าพี่เราติดเตียงเราฝันสลายเลยค่ะ พ่อแม่ก็ขัดเราไม่ให้เรียนคณะที่เราอยากเรียน คณะที่อยากเรียนตอนนั้นคือคณะดิจิทัลอาร์ตค่ะ อยากทำงานกับบริษัทเกม เราเก่งวาดรูปอย่างเดียวทำพอร์ตเพื่อเอาทุน100%เสร็จแล้วด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมทะเลาะกันรุนแรงมากทั้งใช้คำพูดดูถูกเราจากที่เราเป็นคนมีความมั่นใจมากๆจนตอนนี้เราเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจเองและขาดความมั่นใจไปเลยค่ะ พ่อเราไม่ยอมให้เราไปอยู่หอค่ะ เขาบอกว่า "มันไปอยู่กรุงเทพเดี๋ยวมันก็ไปขายตัว" ตอนเราได้ยินเราโมโหและเสียใจมากๆค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อคิดแบบนั้น เราไม่เชื่อว่าพ่อแม่คนอื่นๆจะคิดกับลูกแบบนั้นด้วย เราไม่เคยมั่วสุมไม่เคยเที่ยวกลางคืน แม้แต่นอนค้างบ้านเพื่อนก็ไม่เคย กลุ่มเพื่อนที่เราคบก็ไม่ใช่คนไม่ดี และเราก็ไม่ซื่อบื้อถึงขนาดให้คนหลอกได้ง่ายๆ แม่เราก็พยายามแก้ตัวให้พ่อบอกพ่อเป็นห่วงเลยพูดอย่างนั้น เราเข้าใจว่าเป็นห่วงแต่พูดเหมือนไม่รู้จักลูกตัวเองมันทำให้เราโมโหกับเสียใจมากกว่า สรุปเราก็ได้แต่ยอมเรียนรามภาษาญี่ปุ่น แต่ขอไปอยู่หอกับเพื่อนแต่ช่วงนั้นโควิดระบาดหนักอยู่ได้ประมาณปีกว่าๆ แม่ให้เรากับมาอยู่บ้านเรียนออนไลน์แทนเพราะตอนนั้นแม่เราตกงาน แต่แม่ได้งานใหม่ใกล้บ้านก็จะมีเวลาเข้ามาดูพี่ชาย เพื่อนคนอื่นร้องไห้คิดถึงบ้านแต่เราร้องไห้ไม่อยากกลับบ้านค่ะ ไม่อยากไปได้ยินเสียงทะเลาะหรือทะเลาะกันอีก ช่วงเวลาที่อยู่หอเรามีความสุขมากกกกกได้ทำในสิ่งที่อยากทำวาดรูปไม่มีอะไรมาคอยกวนใจทำให้วิตกกังวล
แต่พอกลับมาอยู่บ้านเราเรียนออนไลน์ไม่รู้เรื่องค่ะ ติดFระนาวจนถึงปี2 ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยค่ะเพราะมีเรื่องพี่ชายให้คอยกังวลตลอด โดนเรียกใช้บ่อยช่วงทำงานฟรีแลนซ์วาดรูปงานเลยไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักที เวลาเพื่อนชวนไปเที่ยวก็ออกไปไม่ได้เพราะต้องอยู่ดูแลพี่ พ่อแม่ก็ทะเลาะกันบ่อยเรื่องพ่อชอบออกไปบ้านเพื่อนกินเหล้า เราคุยกับพ่อหลายรอบมากเรื่องเลิกเหล้าเราถามเขาว่าไม่ห่วงแม่กับพี่ชายเลยหรอ เขาบอกไม่ใช่เรื่องของกู ทั้งๆที่ตอนพี่เราออกจากโรงบาลใหม่ๆพ่อกับแม่ทะเลาะกันพ่อบอกจะเอาพี่กลับไปอยู่ศรีสะเกษด้วย แล้วทีนี้มาบอกไม่ใช่เรื่องของกู แล้วคือนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะแต่เรื่องเดิมๆ หลังจากนั้นเราเกลียดพ่อเลยค่ะ แล้วเราก็เครียดเรื่องเงินด้วยค่ะ จนเราไม่เรียนต่อแล้วเพราะตกเยอะมากแล้วต้องเสียตังสอบแก้บ่อยมากเลยหางานทำแทน ตอนสัมภาษณ์งานเขาให้เราเล่าเรื่องตัวเองกับครอบครัวค่ะ หลังจากพี่ที่สัมภาษณ์งานฟังเสร็จเขาบอกกับเราว่า เราควรเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ ถ้าเป็นพี่เสียแขนข้างนึงไปพี่จะดูแลแขนอีกข้างนึงให้ดีที่สุด ตอนเราได้ยินเราร้องไห้เลยค่ะ เราออกมาตาแดงมากคนที่รอสัมภาษณ์ต่อตกใจว่าสัมภาษณ์โหดหรอ5555
เป็นงานโรงงานสลับทำกะเช้ากะดึกทำ7โมงเช้าเลิก1ทุ่มกับ1ทุ่มเลิก7โมงเช้า เขาจ่ายให้เป็นวีคศุกร์เว้นศุกร์รวมเดือนนึงก็ได้ประมาณ14,000-15,000 ได้มาเราก็เอาให้แม่ 7,000 ทุกเดือนให้เขาไปจ่ายหนี้สินต่างๆ พ่อกับแม่ไม่เคยบอกเราจำนวนเงินหนี้สินที่แน่นอนตลอดเลยค่ะ ส่วนเงินที่เหลือเราเก็บไม่ใช้เลยนอกจากซื้อของกิน พ่อกับแม่ก็มีมายืมเพิ่มบ้าง
เขากลัวว่าเราจะเครียด เราเครียดเรื่องเงินตั้งแต่ม.ต้นค่ะ ช่วงวัยเรียนเราไม่เคยเครียดเรื่องเรียนเลยค่ะมีแต่เรื่องที่บ้าน เราวางแผนจะทำงานที่โรงงานนี้ให้ได้ 5ปี แต่โรงงานดันเศรษฐกิจไม่ดีเงินเดือนที่ได้ก็ลดลง งานเยอะขึ้นเพราะโรงงานอยากให้ผลิตเป็นพร้อมส่งเวลาลูกต้าสั่งแต่คนออกเยอะไม่เปิดรับเพิ่ม แล้วงานก็ตกมาที่คนอยู่ต่องานมันเพิ่มแต่เงินเดือนลดลง เราพยายามทนทำต่อเพื่อเงิน มองสลิปเงินเดือนทุกครั้งที่เรารู้สึกอยากออก แต่ร่างกายเราไม่ไหวค่ะงานเปลี่ยนกะเช้ากะดึกทุกๆสองอาทิตย์ทุกครั้งเลิกงานเรากลับมอไซต์แล้วเกือบตายเพราะจะตกรถหลายรอบ บางครั้งก็เผลอหลับในที่ทำงาน
เราทำมา 1ปี 3เดือนออกค่ะ ตอนนี้เราอายุ 22 มีเงินเก็บอยู่ 58,000 กลับมาทำงานฟรีแลนซ์ที่บ้านเหมือนเดิมวางแผนจะเก็บเงินเพิ่มเพื่อย้ายออกไปอยู่คนเดียวกับเรียนต่อ
แม่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่อยากอยู่กับพวกเขาค่ะ เราคุยกับเขาบอกเขาตรงๆมานานแล้วค่ะว่าเราอยากออกไปอยู่คนเดียวเราอยากใช้ชีวิตของตัวเอง เราไม่อยากให้พวกเขามาคาดหวังมาพึ่งเรา เราไม่สามารถดูแลพี่ชายที่ติดเตียงได้เราอุ้มเขาไม่ไหวเราแค่ผู้หญิงตัวเล็กค่ะส่วนพี่เราตัวใหญ่มากหนักมากด้วย เราดูแลคนอื่นไม่ได้นอกจากตัวเราเอง อยากออกไปใช้ชีวิตตั้งแต่กลับมาจากหอไม่เคยออกจากบ้านนอกจากไปทำงานมา3-4ปี แม่บอกเราว่าเขาจะไม่ให้พี่ชายมาเป็นภาระให้เราเขาจะดูแลเอง เรารู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อยเราบอกเขาว่าเราอยากย้ายออกแต่เขาบอกว่าหาที่เรียนให้แน่นอนก่อนคือเราอยากย้ายไปอยู่ใกล้ม.ที่เราอยากเรียนน่ะแหละค่ะ แต่เขาไม่ให้ไป ตอนนี้ก็ให้ยายย้ายมาอยู่ที่บ้านกับลูกพี่ลูกน้องที่ยังเด็กย้ายมาเรียนที่นี่จริงๆมีญาติที่คอยดูแลแกนะคะแต่แม่อยากให้มาอยู่นี่ตอนนี้เราต้องดูแลยายที่เราไม่สนิทกับเขาตั้งแต่เด็กกับพี่จนเราวิตกกังวลอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะได้ไปใช้ชีวิตของตัวเองตอนไหนแล้วก็ทะเลาะกันอีกแล้ว เราอยากย้ายออกมากเราไม่อยากให้สุขภาพจิตเราแย่ไปมากกว่านี้เราอยากหาความสุขให้ตัวเองบ้าง เรามีอยู่38,000 แม่มาขอไป20,000ค่ะ เราควรออกมาเลยดีมั้ยคะ เราเองก็มีแหล่งหาเงินอยู่แล้ว เราเป็นคนเห็นแก่ตัวมากมั้ยคะ จริงๆเราอยากตัดขาดแล้วหาเงินส่งคืนค่าเลี้ยงดู เรารู้ว่าปัญหาครอบครัวเราเทียบกับครอบครัวอื่นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เราอยากใช้ชีวิตของตัวเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่