NME สื่อวงการเพลงชื่อดังได้ออกมาพูดถึงอัลกอริธึมของ Spotify หลังจากที่เพลง Espresso ของ Sabrina Carpenter นั้นโด่งดังแทบฉุดไม่อยู่ (บ้านเราก็ หนาวฮี! กันทั่วบ้านทั่วเมืองเช่นเดียวกัน!) ว่าทำไมเพลงนี้ถึงวนมาในเพลยลิสต์บ่อยมาก! ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นเพลง Magnetic ของ Illit อย่างพอดิบพอดี เรียกได้ว่าเป็นเคสเดียวกันกับ Sabrina เป๊ะ ๆ (ก็คือคนสงสัยว่าทำไมเพลงวนมาบ่อยจัง แม้ว่าจะไม่ใช่เพลงแนวเดียวกับเพลงที่ฟังก่อนหน้าก็ตาม)
โดยเจ้าของคอลัมน์เล่าว่า ตอนนั้นเขากำลังฟังเพลง Starbursster วงดนตรีแนวโพสต์พั้งค์ของวง Fontaines D.C. แต่พอฟังจบปุ๊บเพลง Espresso ก็ดังขึ้นมาเฉยเลย! นี่มันคนละแนวกันชัด ๆ ถ้าเพลงมันแนวเดียวกันจะไม่รู้สึกแปลกใจ ก็เลยไปหาสาเหตุว่าทำไมเพลงนี้ถึงมาเล่นต่อทั้ง ๆ ที่เป็นคนละแนวก็พบคำตอบ
โดยทาง Spotify ให้ข้อมูลว่ามีหลายปัจจัยมาก ๆ ที่อัลกอริธึมของ Spotify จะเลือกเพลงใดเพลงนึงขึ้นมาเล่นต่อ ซึ่งปัจจัยที่ว่าได้แก่ "เพลง ๆ นั้นกำลังกราฟพุ่ง ได้รับความนิยมในขณะนั้น" "เพลย์ลิสต์จัดโดยทีมงานของ Spotify" "เพลงสุ่มขึ้นมาโดยอ้างอิงจากคนที่ฟังเพลงแนวเดียวกันว่าเขาฟังเพลงอะไรบ้าง (+เพลย์ลิสต์ของผู้ใช้ Spotify)" ดังนั้นถ้าเพลง ๆ นั้นกำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น ทางทีมงานของ Spotify ก็จะเลือกเพลง ๆ นั้นเข้าปในเพลย์ลิสต์เพลงยอดนิยม ซึ่งก็จะเพิ่มโอกาสในการสุ่มเพลงเพิ่มขึ้นมาอีก
สรุปก็คืออัลกอริธึ่มของ Spotify ตอนนี้
ไม่ได้อ้างอิงจากแนวเพลงของผู้ใช้ เพื่อแนะนำเพลงต่อไป แต่
อ้างอิงความนิยมของเพลงในขณะนั้น รวมถึง
อิงจากผู้ใช้คนอื่นที่ฟังเพลงคล้าย ๆ กับเราด้วยว่าเขาฟังเพลงอะไรบ้าง ซึ่งการปรับแบบนี้ก็เพื่อเป็นการสนับสนุนศิลปินหน้าใหม่หรือศิลปินที่ยังไม่ดังมาก ให้มีโอกาสได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากเดิมที่คนจะเลือกฟังแต่เพลงที่ตัวเองชอบ คุ้นเคย ก็จะได้เปิดใจลองฟังเพลงอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้น
ซึ่งนอกจากสาเหตุนี้แล้ว ยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า ต้นสังกัดของ Sabrina Carpenter นั้นขึ้นตรงกับ Universal Music Group ซึ่งถือหุ้นของ Spotify อยู่ด้วย ซึ่งก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งในการเลือกเพลงที่จะเข้าสู่ระบบแนะนำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเล่นเป็นเพลงถัดไปมากขึ้น (ซึ่งเพลงศิลปินในเครือ HYBE นั้นดูแลการเผยแพร่และลิขสิทธิ์โดย UMG เช่นกัน)
ทั้งนี้ ทางเจ้าของคอลัมน์ก็กล่าวว่ากลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สุดท้ายความนิยมก็จะเป็นคำตอบในเรื่องนี้อยู่ดี แม้ว่า Spotify หรือทางค่ายเพลงเองจะพยายามผลักดันเพลงมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้ไวรัลและดัง แต่
ถ้าเพลงมันไม่ปัง สุดท้ายมันก็จะไม่ถูกหยิบมาแนะนำต่อในระยะยาวอยู่ดี หรือพูดง่าย ๆ ก็คือตัวเพลงเองส่งผลเป็นอย่างมาก อย่างในเคสของ Espresso เนื้อเพลงได้เขียนออกมาอย่างชาญฉลาดเพื่อให้คนหยุดฟังต่อไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นท่อน “Walked in and dream came trued it for ya” หรือท่อนที่ชวนสงสัยอย่าง
“Mountain Dew it for ya” * ที่ทำให้คนต้องไปหาคำตอบว่ามันคืออะไรนะ ซึ่งพอรู้คำตอบปุ๊บมันก็เพิ่มความชื่นชอบในความสร้างสรรค์ของนักร้อง เลยทำให้หยุดที่จะฟังต่อไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Mountain Dew it for ya เล่นเสียงกับคำว่า Mount & do it for you ซึ่งความหมายเป็นเชิง 18+...
ซึ่งทาง Spotify ก็ได้ยกตัวอย่างว่า เมื่อเทียบเพลง Espresso กับเพลงฮิตอีกเพลงของ Benson Boone อย่าง Beautiful Things แล้ว... Espresso นั้นมียอดสตรีมมากกว่าด้วยยอด 257 ล้านครั้งทั่วโลก และถูกเพิ่มในเพลย์ลิสต์มากกว่า 6 ล้านเพลย์ลิสต์ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเวลาฟัง Sptotify ระบบถึงสุ่มเพลง Espresso มาให้ "หนาวฮี" กันทั่วโลก
NME ไขข้อข้องใจ ทำไมเพลงนี้วนมาอีกแล้ว! (Illit - Magnetic & SC - Espresso)
NME สื่อวงการเพลงชื่อดังได้ออกมาพูดถึงอัลกอริธึมของ Spotify หลังจากที่เพลง Espresso ของ Sabrina Carpenter นั้นโด่งดังแทบฉุดไม่อยู่ (บ้านเราก็ หนาวฮี! กันทั่วบ้านทั่วเมืองเช่นเดียวกัน!) ว่าทำไมเพลงนี้ถึงวนมาในเพลยลิสต์บ่อยมาก! ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นเพลง Magnetic ของ Illit อย่างพอดิบพอดี เรียกได้ว่าเป็นเคสเดียวกันกับ Sabrina เป๊ะ ๆ (ก็คือคนสงสัยว่าทำไมเพลงวนมาบ่อยจัง แม้ว่าจะไม่ใช่เพลงแนวเดียวกับเพลงที่ฟังก่อนหน้าก็ตาม)
โดยเจ้าของคอลัมน์เล่าว่า ตอนนั้นเขากำลังฟังเพลง Starbursster วงดนตรีแนวโพสต์พั้งค์ของวง Fontaines D.C. แต่พอฟังจบปุ๊บเพลง Espresso ก็ดังขึ้นมาเฉยเลย! นี่มันคนละแนวกันชัด ๆ ถ้าเพลงมันแนวเดียวกันจะไม่รู้สึกแปลกใจ ก็เลยไปหาสาเหตุว่าทำไมเพลงนี้ถึงมาเล่นต่อทั้ง ๆ ที่เป็นคนละแนวก็พบคำตอบ
โดยทาง Spotify ให้ข้อมูลว่ามีหลายปัจจัยมาก ๆ ที่อัลกอริธึมของ Spotify จะเลือกเพลงใดเพลงนึงขึ้นมาเล่นต่อ ซึ่งปัจจัยที่ว่าได้แก่ "เพลง ๆ นั้นกำลังกราฟพุ่ง ได้รับความนิยมในขณะนั้น" "เพลย์ลิสต์จัดโดยทีมงานของ Spotify" "เพลงสุ่มขึ้นมาโดยอ้างอิงจากคนที่ฟังเพลงแนวเดียวกันว่าเขาฟังเพลงอะไรบ้าง (+เพลย์ลิสต์ของผู้ใช้ Spotify)" ดังนั้นถ้าเพลง ๆ นั้นกำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น ทางทีมงานของ Spotify ก็จะเลือกเพลง ๆ นั้นเข้าปในเพลย์ลิสต์เพลงยอดนิยม ซึ่งก็จะเพิ่มโอกาสในการสุ่มเพลงเพิ่มขึ้นมาอีก
สรุปก็คืออัลกอริธึ่มของ Spotify ตอนนี้ ไม่ได้อ้างอิงจากแนวเพลงของผู้ใช้ เพื่อแนะนำเพลงต่อไป แต่อ้างอิงความนิยมของเพลงในขณะนั้น รวมถึงอิงจากผู้ใช้คนอื่นที่ฟังเพลงคล้าย ๆ กับเราด้วยว่าเขาฟังเพลงอะไรบ้าง ซึ่งการปรับแบบนี้ก็เพื่อเป็นการสนับสนุนศิลปินหน้าใหม่หรือศิลปินที่ยังไม่ดังมาก ให้มีโอกาสได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากเดิมที่คนจะเลือกฟังแต่เพลงที่ตัวเองชอบ คุ้นเคย ก็จะได้เปิดใจลองฟังเพลงอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้น
ซึ่งนอกจากสาเหตุนี้แล้ว ยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า ต้นสังกัดของ Sabrina Carpenter นั้นขึ้นตรงกับ Universal Music Group ซึ่งถือหุ้นของ Spotify อยู่ด้วย ซึ่งก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งในการเลือกเพลงที่จะเข้าสู่ระบบแนะนำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเล่นเป็นเพลงถัดไปมากขึ้น (ซึ่งเพลงศิลปินในเครือ HYBE นั้นดูแลการเผยแพร่และลิขสิทธิ์โดย UMG เช่นกัน)
ทั้งนี้ ทางเจ้าของคอลัมน์ก็กล่าวว่ากลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สุดท้ายความนิยมก็จะเป็นคำตอบในเรื่องนี้อยู่ดี แม้ว่า Spotify หรือทางค่ายเพลงเองจะพยายามผลักดันเพลงมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้ไวรัลและดัง แต่ถ้าเพลงมันไม่ปัง สุดท้ายมันก็จะไม่ถูกหยิบมาแนะนำต่อในระยะยาวอยู่ดี หรือพูดง่าย ๆ ก็คือตัวเพลงเองส่งผลเป็นอย่างมาก อย่างในเคสของ Espresso เนื้อเพลงได้เขียนออกมาอย่างชาญฉลาดเพื่อให้คนหยุดฟังต่อไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นท่อน “Walked in and dream came trued it for ya” หรือท่อนที่ชวนสงสัยอย่าง “Mountain Dew it for ya” * ที่ทำให้คนต้องไปหาคำตอบว่ามันคืออะไรนะ ซึ่งพอรู้คำตอบปุ๊บมันก็เพิ่มความชื่นชอบในความสร้างสรรค์ของนักร้อง เลยทำให้หยุดที่จะฟังต่อไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งทาง Spotify ก็ได้ยกตัวอย่างว่า เมื่อเทียบเพลง Espresso กับเพลงฮิตอีกเพลงของ Benson Boone อย่าง Beautiful Things แล้ว... Espresso นั้นมียอดสตรีมมากกว่าด้วยยอด 257 ล้านครั้งทั่วโลก และถูกเพิ่มในเพลย์ลิสต์มากกว่า 6 ล้านเพลย์ลิสต์ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเวลาฟัง Sptotify ระบบถึงสุ่มเพลง Espresso มาให้ "หนาวฮี" กันทั่วโลก