Blubox Earbud AP01:

ข้อดี:

ราคาประหยัด (ประมาณ 500 บาท)
เสียงเบสหนัก
ใช้งานสะดวก
ข้อเสีย:

เสียงแหลมอาจจะใสจนแสบหู
ไมโครโฟนไม่ค่อยชัด
การตัดเสียงรบกวนไม่ดี
Blue Boox SN01:

ข้อดี:

เสียงดี สมดุล
ใส่ออกแบบตามหลักสรีรวิทยา ใส่นานๆ ไม่เจ็บหู
ไมโครโฟนชัดเจน
ข้อเสีย:

ราคาค่อนข้างสูง (ประมาณ 1,500 บาท)
ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน
Techpro T206:

ข้อดี:

ราคาประหยัด (ประมาณ 300 บาท)
เสียงดี เบสหนัก
ดีไซน์สวย
ข้อเสีย:

ไมโครโฟนไม่ค่อยชัด
การตัดเสียงรบกวนไม่ดี
สายหูฟังอาจจะพันกันง่าย
Sony headphone wh-ch520:

ข้อดี:

เสียงดี สมดุล
ใส่ออกแบบตามหลักสรีรวิทยา ใส่นานๆ ไม่เจ็บหู
ระบบตัดเสียงรบกวนดี
ข้อเสีย:

ราคาค่อนข้างสูง (ประมาณ 2,500 บาท)
ดีไซน์ดูใหญ่เทอะทะ
Bluebox bb001:

ข้อดี:

ราคาประหยัด (ประมาณ 400 บาท)
เสียงดี เบสหนัก
กันน้ำ กันฝุ่น
ข้อเสีย:

ไมโครโฟนไม่ค่อยชัด
การตัดเสียงรบกวนไม่ดี
สายหูฟังอาจจะพันกันง่าย
Techpro th002:

ข้อดี:

ราคาประหยัด (ประมาณ 250 บาท)
เสียงดี เบสหนัก
ดีไซน์สวย
ข้อเสีย:

ไมโครโฟนไม่ค่อยชัด
การตัดเสียงรบกวนไม่ดี
สายหูฟังอาจจะพันกันง่าย
Jlab studio pro over ear:

ข้อดี:

เสียงดี เบสหนัก
ใส่ออกแบบตามหลักสรีรวิทยา ใส่นานๆ ไม่เจ็บหู
ไมโครโฟนชัดเจน
กันน้ำ กันฝุ่น
ข้อเสีย:

ราคาค่อนข้างสูง (ประมาณ 3,000 บาท)
ดีไซน์ดูใหญ่เทอะทะ
สรุป:

จากตัวเลือกทั้งหมด Techpro T206 น่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด  เพราะราคาไม่แพง เสียงดี เบสหนัก และดีไซน์สวย

แต่ หากคุณต้องการหูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวน แนะนำ Sony headphone wh-ch520  หรือ Jlab studio pro over ear

อย่างไรก็ตาม  การเลือกหูฟังที่ดีที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของคุณ  แนะนำให้ลองไปฟังเสียงจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

เพิ่มเติม:

หูฟังแบบ in-ear มักจะมีการแยกเสียงซ้ายขวาที่ดีกว่าหูฟังแบบ on-ear หรือ over-ear
หูฟังที่มีไมโครโฟน เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม
หูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวน เหมาะสำหรับการเล่นเกมในสถานที่ที่มีเสียงรบกวน
หูฟังกันน้ำ กันฝุ่น เหมาะสำหรับการเล่นเกมกลางแจ้ง