JJNY : “ธนาธร”ร่วมหาเสียง│พายุ“มาลิกซี”ขึ้นฝั่งแล้ว!│อาหารสัตว์เดือด! ร้องเร่งทำลายวงจรอุบาทว์│นาโตร้องสมาชิกช่วยยูเครน

“ธนาธร” ร่วมหาเสียงโค้งสุดท้าย ช่วยผู้สมัครส.อบจ.ชลบุรี
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_726044/

 
“ธนาธร”ร่วมหาเสียงโค้งสุดท้าย ช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งส.อบจ.ชลบุรี พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนในทั้งสองตำบลให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
 
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมหาเสียงโค้งสุดท้ายกับ นายมนตรี แสนเวียงจันทร์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ชลบุรี เขต 5 อ.ศรีราชา (เบอร์ 1) แทนตำแหน่งที่ว่างลง สำหรับการเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน 2567 โดยมีการขึ้นรถแห่หาเสียงพร้อมเปิดปราศรัยไปรอบพื้นที่ ต.บึง และ ต.บ่อวิน ท่ามกลางเสียงตอบรับจากประชาชนทั้งสองข้างทางและร้านรวงต่างๆ เป็นอย่างดี
 
นอกจากเชิญชวนให้ประชาชนในทั้งสองตำบลให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ธนาธรยังได้แนะนำตัวผู้สมัคร โดยระบุว่ามนตรีไม่ใช่คนร่ำรวยมาแต่เกิด เป็นลูกหลานชาวนา พ่อเสียตั้งแต่เรียนยังไม่จบ ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย ต้องออกมาทำงานเป็นกำลังหลักให้ครอบครัว มาหางานทำที่กรุงเทพตั้งแต่จบ ม.6 เหมือนชีวิตคนส่วนใหญ่ ทำงานเป็นกรรมกรในไซต์ก่อสร้าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จนได้มาเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เติบโตจนกลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี
 
นายธนาธร กล่าวว่า วันนี้มนตรีอาสาเข้ามาทำงานการเมืองเป็นครั้งแรก ไม่เคยลงสนามไหนมาก่อน เป็นคนที่เข้าใจความลำบากของประชาชนคนส่วนใหญ่เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาใช้ความกระเ-ือกกระสนผลักดันตัวเองจนประสบความสำเร็จ จนวันนี้มั่นคงในธุรกิจแล้ว จึงขอเอาประสบการณ์ในชีวิตมารับใช้ประชาชน โดยตนรับประกันได้ว่าหากมนตรีได้รับความไว้วางใจจากประชาชน จะไม่ทุจริตเอาภาษีประชาชนมาสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองอย่างแน่นอน
 
ด้านนายมนตรี ระบุว่า ตนและคณะก้าวหน้ามีอุดมการณ์ที่ตรงกัน วันนี้ธุรกิจของตนลงตัวแล้ว จึงอยากสร้างสิ่งดีๆ ให้ประเทศนี้ ที่ผ่านมาตนทนไม่ได้เสนอกับการเรียกรับผลประโยชน์โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ที่ผ่านมาตนได้เห็นคนทำธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อนจากการทุจริตมาตลอด ตนจึงอยากเข้ามาทำการเมืองที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ใช่มรดกตกทอดของใคร แต่เป็นลมหายใจของทุกคน



พายุ “มาลิกซี” ขึ้นฝั่งแล้ว! อ่อนตัวเป็นดีเปรสชัน เช็กสภาพอากาศก่อนเดินทาง
https://www.dailynews.co.th/news/3491112/

กรมอุตนิยมวิทยา ออกประกาศ เรื่อง พายุ “มาลิกซี” ฉบับที่ 4 เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองหยางเจียง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีนแล้ว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าว ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง
 
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. กรมอุตนิยมวิทยา ออกประกาศ เรื่อง พายุ “มาลิกซี” ฉบับที่ 4 (111/2567) เมื่อเวลา 01.00 น. ของวันนี้ (1 มิ.ย. 67) พายุโซนร้อน “มาลิกซี” ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองหยางเจียง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีนแล้ว และเมื่อเวลา 04.00 น. มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 21.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 111.8 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศเหนือค่อนทางตะวันออกเล็กน้อย ด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับในระยะต่อไป ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในระยะนี้ไว้ด้วย

จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ประกาศ ณ วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เวลา 05.00 น.

กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เวลา 11.00 น.
 


อาหารสัตว์เดือด! ร้องรัฐเร่งทำลายวงจรอุบาทว์ข้าวโพดไทยปั่นราคา
https://www.khaosod.co.th/economics/news_8263695

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อร้องเรียนอย่างหนักจากสมาชิก ถึงความยากลำบากในการหาซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเรียกร้องราคาขยับสูงขึ้น โดยมีเป้าสูงกว่า 13 บาท/ก.ก. จากปกติควรจะอยู่ที่ 11 บาท/ก.ก. ในช่วงนี้ ซ้ำขู่ไม่ส่งข้าวโพดเข้าโรงงาน ระบุโรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากถูกมัดมือมัดเท้าจากมาตรการรัฐหลายมาตรการ จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือด่วนที่สุดไปยังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

การกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เกิดผลประโยชน์กับกลุ่มพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แม้แต่บาทเดียว เพราะผลผลิตข้าวโพดทั้งหมดอยู่ในมือพ่อค้าคนกลางหมดแล้ว ราคาข้าวโพดที่ขยับขึ้นแค่ก.ก. ละ 1 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระต้นทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะธุรกิจอาหารสัตว์ขาดทุนสะสมและมีการปิดโรงงานและขายกิจการไปแล้วหลายแห่ง เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ก็ขาดทุนและเลิกเลี้ยงกันไปจนนับไม่ถ้วน” นายพรศิลป์กล่าว
 
ทั้งนี้ สิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้าคนกลางสามารถมีพฤติกรรมกักตุนข้าวโพดเพื่อเก็งกำไรได้มีหลายประการ อาทิ

1. ผลผลิตข้าวโพดไทยมีแนวโน้มลดลง และจะออกสู่ตลาดอีกครั้งกลางเดือนก.ย. ช่วงนี้จึงเข้าสู่ภาวะขาดแคลนวัตถุดิบยาวนานกว่า 3 เดือน เปิดโอกาสให้มีการกักตุนสินค้า

2. โรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกในการนำเข้าวัตถุดิบทดแทน เพราะถูกบีบด้วย “มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วน” ด้วยข้อกำหนดให้ซื้อข้าวโพดภายในประเทศก่อน เพื่อนำไปใช้แลกนำเข้าข้าวสาลี แต่โรงงานไม่มีข้าวโพดเพียงพอ จึงเท่ากับถูกบังคับให้ซื้อข้าวโพดจากพ่อค้าในราคาที่เขาต้องการก่อน เป็นสาเหตุหลักให้พ่อค้าชะลอการส่งข้าวโพดเข้าโรงงานเพื่อดึงราคาให้สูงขึ้นอีก
 
3. ราคาวัตถุดิบทดแทนปรับตัวสูงขึ้น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ค่าระวางเรือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว รวมถึงสถานการณ์เพาะปลูกข้าวสาลีที่มีแนวโน้มลดน้อยลง ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีนำเข้าอยู่ที่ 12 บาท/ก.ก. พ่อค้าคนกลางทราบถึงสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี จึงตั้งราคาขายข้าวโพดไว้ที่ 13 บาท/ก.ก. สูงกว่าราคานำเข้าข้าวสาลี เพราะหากไม่ซื้อข้าวโพดก่อนก็ไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้

4. จากนโยบายรัฐที่มุ่งแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยกระทรวงเกษตรฯ ผลักดันการหยุดรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยขานรับและสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ทำให้พ่อค้าเร่งทำการกักตุนข้าวโพด เพราะรู้ดีว่าข้าวโพดที่โรงงานจะรับซื้อได้นั้น จะมีปริมาณลดน้อยลง เพราะไม่สามารถซื้อข้าวโพดที่ผ่านการเผาแปลงได้

นายพรศิลป์ ระบุว่า การแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด คือ กระทรวงพาณิชย์ต้องปลดล็อกมาตรการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วนในทันที เพื่อให้มีปริมาณข้าวสาลีเข้ามาเป็นทางเลือก คลายความกดดันในด้านปริมาณที่ขาด และลดสิ่งที่เอื้อให้พ่อค้าคนกลางทำการกักตุนเก็งกำไร แม้ราคาข้าวสาลี ณ ตอนนี้จะสูงถึง 12 บาท/ก.ก. ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเข้า มิฉะนั้นจะไม่มีวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิต ย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์ ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ “ทันที” เพื่อไม่ให้สายพานการผลิตหยุดชะงัก นอกจากนี้ ต้องพิจารณาปลดมาตรการนำเข้าอื่นๆ โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO เพื่อรองรับนโยบายไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งจะทำให้ข้าวโพดที่ซื้อขายในระบบหายไปกว่า 2 ล้านตันด้วย

หากยังปล่อยให้สถานการณ์กักตุนนี้ยืดเยื้อต่อไป จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งระบบ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ไม่สามารถประกอบอาชีพต่อได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่ขาดทุนมาก่อนหน้า จากต้นทุนสูง และจากปัญหาหมูเถื่อน ที่สุดแล้วเศรษฐกิจชาติจะพังไม่เป็นท่า ไม่คุ้มเลยถ้าจะมัวอุ้มกลุ่มพ่อค้าคนกลางกลุ่มเดียวแบบนี้” นายพรศิลป์กล่าว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่