อย่างแน่นอนมุสลิมหรือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม สามารถที่จะยืนยันได้เสมอ ว่าศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับให้ผู้คนนับถือศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เพราะว่า ไม่มีสักบัญญัติเดียวในคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม ไม่แต่จะไม่มีการบังคับแล้ว ยังมีคำสั่งห้ามการบังคับผู้คนเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเสียอีก เพราะทางศาสนาอิสลามถือว่า การห้ามคนออกหรือบังคับให้เข้ารับอิสลาม เป็นการเห็นแก่ตัว และผิดหลักจิตวิทยาของความศรัทธา มุสลิมไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรมากในเรื่องนี้ ถ้าในคัมภีร์อัลกุรอานไม่มีคำสั่งบังคับ หรือการวางโทษ เปรียบโทษกับการกระทำอาชญากรรมอื่นใด มันเห็นได้อย่างชัดแจ้งแล้ว
ในเรื่องศาสนาไม่ว่ามุสลิมผู้ใดทำการบังคับในเรื่องศาสนาเขาผู้นั้นก็คือผู้ฝ่าฝืนซึ่งถือว่าเป็นบาป
ในกรณีที่ครอบครัวมุสลิมมีการอบรมสั่งสอนลูกที่ยังไม่บรรุนิติภาวะให้มีความรู้ทางศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้นไม่เรียกว่าเป็นการบังคับ ถ้าลูกๆ อยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ไม่ว่าศาสนาใดๆก็ตามถือว่าการอบรมสั่งสอนลูกๆ ให้มีวินัยและความรู้ในการปฏิบัติศาสนาอย่างถูกต้องนั้นเป็นการป้องกันการเสื่อมของศาสนาและสร้างความมั่นคงในหลักการของศาสนาให้ยั่งยืนสืบต่อไป
แม้แต่
"พุทธศาสนา" ที่ให้อิสรภาพอย่างมากที่สุดกว่าศาสนาใดๆในโลกนี้ ยังมีข้อห้ามสงฆ์ออกจากพุทธศาสนาเมื่อได้เข้ามาบวชเป็นสงฆ์แล้ว ห้ามออกไปนับถือศาสดาอื่นนอกจากพระพุทธองค์เท่านั้น, ซึ่งการถือศาสดาอื่นๆและการเปลี่ยนศาสนาของสงฆ์ "อัญญสัตถุเทส" อภิฐานะที่ 6 นั้น ถือว่ามีโทษอย่างหนัก มากเทียบเท่าโทษของการฆ่าบิดามารดาเรียกว่า "อนันตริยกรรม 5" ทั้งนี้ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าพุทธศาสนา และหลักธรรมของพระองค์ จะเสื่อมสูญได้นั้นเกิดจากการที่สงฆ์ขาดวินัย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.jaisangma.com/major-wrong-doings/#google_vignette
ศาสนาอิสลามมีคำสั่งห้ามการบังคับในเรื่องศาสนามีดังนี้:
لَا إِكْرَاهَ فِي الدِّينِ ۖ قَدْ تَبَيَّنَ الرُّشْدُ مِنَ الْغَيِّ ۚ فَمَنْ يَكْفُرْ بِالطَّاغُوتِ وَيُؤْمِنْ بِاللَّهِ فَقَدِ اسْتَمْسَكَ بِالْعُرْوَةِ الْوُثْقَىٰ لَا انْفِصَامَ لَهَا ۗ وَاللَّهُ سَمِيعٌ عَلِيمٌ {256}
[2:256] There is no compulsion in religion; truly the right way has become clearly distinct from error; therefore, whoever disbelieves in the Shaitan and believes in Allah he indeed has laid hold on the firmest handle, which shall not break off, and Allah is Hearing, Knowing.
"ไม่มีการบังคับในศาสนา ทางที่ถูกต้องย่อมแตกต่างไปจากความผิดพลาดอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาต่อชัยฏอนและศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แน่นอนเขาได้จับที่จับที่มั่นคงที่สุดไว้ ซึ่งจะไม่หลุดออกไป และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้"
จากบัญญัตินี้ระบุข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาว่าทัศนคติที่ยอมจำนนของจิตใจและจิตใจต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ไม่สามารถจะได้มาด้วยกำลังหรือการบังคับ ดังนั้น การมองอำนาจศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจนเท่านั้น จึงจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติว่าจะยอมรับสิ่งที่ถูกต้องและปฏิเสธสิ่งผิด บัญญัตินี้ ไม่ใช่ความจำเป็นเท่านั้น แต่เป็นคำสั่งที่บ่งชี้ว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับพิจารณาว่าโองการนี้ถูกยกเลิกโดยโองการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการญิฮาด
โองการนี้ยังยืนยันว่าหลังจากที่แนวทางที่ถูกต้องชัดเจนจากความหลงแล้ว มนุษย์จะต้องปฏิเสธเทพเจ้าและเจว็ดต่างๆและมีศรัทธาต่ออัลลอฮ์พระเจ้าเท่านั้น
เซอร์เอ็ดเวิร์ด เดนนิสัน รอส (Sir Edward Dennison Ross says) กล่าวว่า:
“เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ชาวยุโรปส่วนใหญ่ใส่ความศาสนาอิสลามโดยเขียนรายงานที่บิดเบือนความเป็นจริงของศาสนาอิสลาม ซึ่งนำไปสู่การเผยแพร่คำดูหมิ่นอย่างร้ายแรงมากมาย ทำให้สิ่งดีๆในศาสนาอิสลามถูกละเลยไปอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่ไม่ดี ในสายตาของยุโรปนั้นถูกกล่าวเกินความจริงหรือตีความผิดไป แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมว่าหลักคำสอนหลักที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดสั่งสอนแก่คนรุ่นเดียวกันในอาระเบียผู้บูชาดวงดาวนั้นและแก่ชาวเปอร์เซียที่ยอมรับออร์มุซและอาห์ริมาน ( Zoroastrianism) ชาวอินเดีย ผู้เคารพสักการะเจว็ดและรูปเคารพต่างๆ, และพวกเติร์กซึ่งไม่มีการเคารพสักการะเป็นพิเศษคือความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า และความเรียบง่ายแห่งความเชื่อของพระองค์อาจเป็นปัจจัยที่ทรงพลังในการเผยแพร่ศาสนาอิสลามมากกว่าการใช้คมดาบแห่งกาซี"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Sir Edward Dennison Ross says:
"For many centuries the acquaintance which the majority of Europeans possessed of Muhammadanism was based almost entirely on distorted reports of fanatical Christians which led to the dissemination of a multitude of gross calumnies. What was good in Muhammadanism was entirely ignored, and what was not good, in the eyes of Europe, was exaggerated or misinterpreted. It must not, however, be forgotten that the central doctrine preached by Muhammad to his contemporaries in Arabia, who worshipped the stars; to the Persians who acknowledged Ormuz and Ahriman; the lndians, who worshipped idols; and the Turks, who had no particular worship, was the unity of God, and that the simplicity of his creed was probably a more potent factor in the spread of Islam than the sword of the ghazis".
แม้แต่
นายวิลเลียม มิวเออร์ (William Muir) ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของศาสนาอิสลามในข้อความต่อไปนี้ก็ยอมรับว่า: เป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างยิ่งถึงความจริงใจของท่านศาสดามูฮัมหมัดที่ว่าผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในยุคแรกๆ ไม่เพียงแต่มีบุคลิกที่เที่ยงธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนในหัวใจของเขาเองและคนในครอบครัวของเขาด้วย คุ้นเคยอย่างใกล้ชิดกับชีวิตส่วนตัวของเขา ผู้ซึ่งไม่สามารถพลาดที่จะตรวจพบความแตกต่างเหล่านั้นซึ่งมีอยู่ไม่มากก็น้อยระหว่างอาชีพของผู้หลอกลวงหลอกลวงในต่างประเทศและการกระทำของเขาที่บ้าน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Even William Muir, the worst enemy of Islam, in the following passage, admits that:
It is strongly corroborative of Muhammad's sincerity that the earliest converts to Islam were not only of upright character, but his own bosom friends and people of his household; intimately acquainted with his private life, who could not fail otherwise to have detected those discrepancies which ever more or less exist between the professions of the hypocritical deceiver abroad and his actions at home."
Let there be no compulsion in religion, for the truth stands out clearly from falsehood.
ในเรื่องศาสนาไม่ว่ามุสลิมผู้ใดทำการบังคับในเรื่องศาสนาเขาผู้นั้นก็คือผู้ฝ่าฝืนซึ่งถือว่าเป็นบาป ในกรณีที่ครอบครัวมุสลิมมีการอบรมสั่งสอนลูกที่ยังไม่บรรุนิติภาวะให้มีความรู้ทางศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้นไม่เรียกว่าเป็นการบังคับ ถ้าลูกๆ อยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ไม่ว่าศาสนาใดๆก็ตามถือว่าการอบรมสั่งสอนลูกๆ ให้มีวินัยและความรู้ในการปฏิบัติศาสนาอย่างถูกต้องนั้นเป็นการป้องกันการเสื่อมของศาสนาและสร้างความมั่นคงในหลักการของศาสนาให้ยั่งยืนสืบต่อไป
แม้แต่ "พุทธศาสนา" ที่ให้อิสรภาพอย่างมากที่สุดกว่าศาสนาใดๆในโลกนี้ ยังมีข้อห้ามสงฆ์ออกจากพุทธศาสนาเมื่อได้เข้ามาบวชเป็นสงฆ์แล้ว ห้ามออกไปนับถือศาสดาอื่นนอกจากพระพุทธองค์เท่านั้น, ซึ่งการถือศาสดาอื่นๆและการเปลี่ยนศาสนาของสงฆ์ "อัญญสัตถุเทส" อภิฐานะที่ 6 นั้น ถือว่ามีโทษอย่างหนัก มากเทียบเท่าโทษของการฆ่าบิดามารดาเรียกว่า "อนันตริยกรรม 5" ทั้งนี้ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าพุทธศาสนา และหลักธรรมของพระองค์ จะเสื่อมสูญได้นั้นเกิดจากการที่สงฆ์ขาดวินัย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ศาสนาอิสลามมีคำสั่งห้ามการบังคับในเรื่องศาสนามีดังนี้:
لَا إِكْرَاهَ فِي الدِّينِ ۖ قَدْ تَبَيَّنَ الرُّشْدُ مِنَ الْغَيِّ ۚ فَمَنْ يَكْفُرْ بِالطَّاغُوتِ وَيُؤْمِنْ بِاللَّهِ فَقَدِ اسْتَمْسَكَ بِالْعُرْوَةِ الْوُثْقَىٰ لَا انْفِصَامَ لَهَا ۗ وَاللَّهُ سَمِيعٌ عَلِيمٌ {256}
[2:256] There is no compulsion in religion; truly the right way has become clearly distinct from error; therefore, whoever disbelieves in the Shaitan and believes in Allah he indeed has laid hold on the firmest handle, which shall not break off, and Allah is Hearing, Knowing.
"ไม่มีการบังคับในศาสนา ทางที่ถูกต้องย่อมแตกต่างไปจากความผิดพลาดอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาต่อชัยฏอนและศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แน่นอนเขาได้จับที่จับที่มั่นคงที่สุดไว้ ซึ่งจะไม่หลุดออกไป และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้"
จากบัญญัตินี้ระบุข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาว่าทัศนคติที่ยอมจำนนของจิตใจและจิตใจต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ไม่สามารถจะได้มาด้วยกำลังหรือการบังคับ ดังนั้น การมองอำนาจศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจนเท่านั้น จึงจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติว่าจะยอมรับสิ่งที่ถูกต้องและปฏิเสธสิ่งผิด บัญญัตินี้ ไม่ใช่ความจำเป็นเท่านั้น แต่เป็นคำสั่งที่บ่งชี้ว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับพิจารณาว่าโองการนี้ถูกยกเลิกโดยโองการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการญิฮาด โองการนี้ยังยืนยันว่าหลังจากที่แนวทางที่ถูกต้องชัดเจนจากความหลงแล้ว มนุษย์จะต้องปฏิเสธเทพเจ้าและเจว็ดต่างๆและมีศรัทธาต่ออัลลอฮ์พระเจ้าเท่านั้น
เซอร์เอ็ดเวิร์ด เดนนิสัน รอส (Sir Edward Dennison Ross says) กล่าวว่า:
“เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ชาวยุโรปส่วนใหญ่ใส่ความศาสนาอิสลามโดยเขียนรายงานที่บิดเบือนความเป็นจริงของศาสนาอิสลาม ซึ่งนำไปสู่การเผยแพร่คำดูหมิ่นอย่างร้ายแรงมากมาย ทำให้สิ่งดีๆในศาสนาอิสลามถูกละเลยไปอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่ไม่ดี ในสายตาของยุโรปนั้นถูกกล่าวเกินความจริงหรือตีความผิดไป แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมว่าหลักคำสอนหลักที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดสั่งสอนแก่คนรุ่นเดียวกันในอาระเบียผู้บูชาดวงดาวนั้นและแก่ชาวเปอร์เซียที่ยอมรับออร์มุซและอาห์ริมาน ( Zoroastrianism) ชาวอินเดีย ผู้เคารพสักการะเจว็ดและรูปเคารพต่างๆ, และพวกเติร์กซึ่งไม่มีการเคารพสักการะเป็นพิเศษคือความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า และความเรียบง่ายแห่งความเชื่อของพระองค์อาจเป็นปัจจัยที่ทรงพลังในการเผยแพร่ศาสนาอิสลามมากกว่าการใช้คมดาบแห่งกาซี"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แม้แต่ นายวิลเลียม มิวเออร์ (William Muir) ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของศาสนาอิสลามในข้อความต่อไปนี้ก็ยอมรับว่า: เป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างยิ่งถึงความจริงใจของท่านศาสดามูฮัมหมัดที่ว่าผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในยุคแรกๆ ไม่เพียงแต่มีบุคลิกที่เที่ยงธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนในหัวใจของเขาเองและคนในครอบครัวของเขาด้วย คุ้นเคยอย่างใกล้ชิดกับชีวิตส่วนตัวของเขา ผู้ซึ่งไม่สามารถพลาดที่จะตรวจพบความแตกต่างเหล่านั้นซึ่งมีอยู่ไม่มากก็น้อยระหว่างอาชีพของผู้หลอกลวงหลอกลวงในต่างประเทศและการกระทำของเขาที่บ้าน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้