ผมลูกคนเดียว เรียนช้ากว่าคนอื่นประมาณ 2 ปี ครับ คาดว่าจบป.ตรี ปีหน้านี้ แต่.....
สำนึกแล้วว่าจบไปไม่มีคุณภาพแน่ จากการมาฝึกงานทำให้ผมนึกไปถึงหลายๆอย่าง ได้ว่าเราพลาด เราไร้วินัยมาไกลมาก
ปีแรก
ผมเคยเข้าไปเรียน มหาวิทยาลัยที่อยู่แถวอโศก ผ่านระบบTCAS เรียนได้เทอมนึงก็รู้ได้เลยว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราเก่งนั้น ดันเป็นแค่มาตรฐานของคนที่นี่
ผมเริ่มใจเสียใจไม่ดี เหนื่อยกับการเดินทางไปกลับ ค่าใช้จ่ายก็เวอร์ไปบ้าง เพราะมีการจัดกิจกรรมบ่อยมาก แต่มีเพื่อนดีนะดีกว่าตอนมัธยมเสียด้วย เทอมหน้าที่บ้านก็ไม่มีเงิน จะไปกู้กยศ.ก็สายไปแล้ว ผมเลยบอกที่บ้านว่าจะออก เพราะไม่ไหว ทางบ้านก็บอกแค่โอเค
ผมเลยไปทำงานPart-Time ไปก่อนแล้วคิดว่าเราจะเรียนม.เปิด เลยดีไหม จนผมไปลองลงเรียนดู เนื้อหาแต่ละอย่างเช่มเดิมครับ วิชาเอกไม่เข้าหัวเลย จนรู้สึกว่าจะให้อ่านไปทำไม ตรงนู้น ตรงนี้คืออะไร มันนึกภาพไม่ออก จนผมลองออกจากงานมาเน้นเรียนมันดู สรุปไม่เข้าหัวเลย
ปีสอง
จนผมรู้สึกเหงามาก เพราะที่บ้านออกไปทำงาน เราก็กลายเหมือนเป็นคนเก็บตัวไปเลย จนวันนึงผมตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนม.ปิด โดยคุยกับเพื่อนคนนึงที่เรียน ม.ตระกูลRที่สมัครเข้าได้เลย ด้วยความที่ว่าช่วงนั้นมันเลยTCAS ไปแล้ว ผมจึงตัดสินใจที่จะเรียนโดยเลือกเรียนสาขาวิชาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไปเพราะในเมื่อก่อนหน้าวิชาการไม่เข้าหัว ก็ลองฉีกไปเลย และจะได้มีเพื่อน ถ้ามีเพื่อนก็มีไอเดียใหม่ๆจิตใจแจ่มใส......
เข้าเรียนปีที่ 1 2564....คลัสเตอร์โควิด-19
ส่งผลให้มีการเรียนออนไลน์ ใช่ครับ ปี 1 ผมเรียนออนไลน์ ไม่มีปฐมนิเทศ ไม่มีรับน้อง ไม่มีปรับพื้นฐาน ไม่มีกิจกรรม
แต่เราก็เรียนได้ ส่งงานได้ มีคุยกับบางคนบ้างที่ทักมา คือ ผมเป็นประเภทที่ถ้าไม่ได้เจอตัวจริงๆก็ไม่ทักหาใครในเน็ตเลย ซึ่งบางคนก็เป็นแบบนั้น
ทีแรกผมคิดว่าก็เรียนกันเยอะอยู่นะ แต่พอจบปีที่ 1 ไป มารู้ว่าที่จริงในนั้นมี 3 สาขา แค่เรียนรวมกันตอนปีที่ 1 เฉยๆ สรุปมีคนสนิทแค่ 2 คน เพราะคนที่เหลือเขามีสังคมของเขาอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี 1 ไม่ว่าจะเพื่อนเก่าหรือคนแถวบ้าน ซึ่งผมไม่มี มันเลยกลายเป็นว่า ไม่ค่อยมีใครต้องการเพื่อนใหม่จากตอนเรียนมากนัก
การเรียนผมไม่แน่ใจกับการมาเปรียบเทียบกับ มหาวิทยาลัยที่อยู่ใจกลางกรุงเทพที่ผมซิ่วมา เนื่องจากเนื้อหาต่างกัน+เรียนออนไลน์ แต่จากนี้จะรู้กัน
เข้าเรียนปีที่ 2 2565...ความจริงอันโหดร้ายของม.R
ช่วงปีที่ 1 อาจารย์ที่มาสอนนั้นดีนะครับ ตั้งใจสอน แต่พอขึ้นปี 2 มันราวกับอาจารย์ช่วงชั้นปีที่ 2 เหมือนไม่ได้คุยอาจารย์ที่สอนชั้นปีที่ 1 ว่าเด็กเรียนอะไรมาบ้าง
คนที่ 1 ให้ทำงานข้ามขั้น สั่งแต่งานไม่ แทบไม่สอนเลย วิจารณ์บ่นลูกเดียวแล้วก็เป็นคนอัธยาศัยไม่ดี มีแต่คนเกลียด
คนที่ 2 ดูมีภูมิฐานครับ แต่เหมือนเขารับงานนอก ทำให้บางคลาสไม่เข้า ไม่แจ้งนักศึกษาด้วยบางที งานที่ให้ทำก็ชิลเกินครับ เพราะเขาให้งานที่ทำ 3 ขั้นตอนในวันเดียว เขาก็ยืดให้มันเป็นสัปดาห์ละขั้นตอน เขาดูมีความพยายามสอนอยู่บ้างนะครับ แต่ขาดความสม่ำเสมอ
คนที่ 3 เพื่อนเล่าว่าเขาชิลมากครับ ใจดีไรงี้ ผมมาเจอจริง ชิลครับ ชิลเกินไปครับ แถมมีอาการอัลไซเมอด้วยครับ ไม่สอนเลยครับ สั่งงานลูกเดียว งานก็ชิลแถมบางทีเขาลืมด้วยว่านักศึกษาส่งงานแล้ว แถมบางคาบก็ไม่เข้า จนต้องไปตามมาสอน แต่เขาชอบพูดว่าพวกคุณเก่งอยู่แล้ว ทำงานเยอะๆไปละกัน
คนอาจสงสัยว่าทำไม ไม่ไปแจ้งมหาวิทยาลัย ใช่ครับ สภาพแวดล้อมพวกนี้มันกลืนกินผมและเพื่อนๆ ไม่มีใครตัดสินใจคิดหรือทำแบบนั้นจนปล่อยชิว ช่างมันและเอาแต่คิดในหัวว่า เออไปฝึกเอาเองก็ได้ว่ะ
เข้าสู่ปีที่ 3 2566.....เหมือนเดิมเลยอาจารย์ชุดเดิม แต่ไม่มีคนที่ 1
สรุปเหมือนเดิมครับ และนักศึกษาคนอื่นกับตัวผมเหมือนเดิมครับปล่อยชิว ไม่มีโปรเจ็กงานกลุ่ม เรียนผ่านๆไป อาจารย์ไม่เข้าก็กลับ ก็ไม่มาเรียน
หมดไฟกันหมด ตัดมาตอนฝึกงาน กลายเป็นคนห่วยไปโดยปริยาย
คือผมพอเข้าใจนะครับ ว่าถ้าคนเราพยายาม ถ้าตั้งใจ มีวินัยจริง เราเก่งด้วยตัวเองได้จริงครับ แต่ทว่าผมเป็นคนที่ต้องการไฟจากสภาพแวดล้อมครับ ถ้าทุกคนทำงานดี ทำงานเก่ง งานสวย ผมก็จะพยายามให้ทัดเทียมพวกเขาครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มีแต่คนฝีมือไม่ดี มีดีๆแค่ 2 คน ซึ่ง 2 คนนั้นก็หมดไฟไปบ้างเหมือนกันครับ พอมาฝึกงานภาพในหัวตอนเรียนมหาวิทยาลัยแรก มันกลับเข้ามารัวๆเลยครับ ว่ามันดีกว่าแค่ไหน ถึงแม้จะยากกว่า ใช้ทุนทรัพย์มากกว่า ทำเอาผมอยากกลับไปเจอประสบการณ์ที่นั่นอีกครั้ง นึกย้อนไปว่าถึงผมขวนขวายจริงๆ ทำตัวแบบด้านได้ อายอด อาจจะเรียนจบไปแล้วก็ได้
ช่วงนี้ผมเลยจะลองหาวิถีทางว่าจะทำยังไงต่อ ทีแรกคิดว่ากลับไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี มีมาตรฐาน ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน เพราะตอนนี้ทางบ้านทุนทรัพย์(แต่จะให้ไหมไม่รู้) เพราะเรื่องทั้งหมดไม่เคยบอกที่บ้านที่ไม่มีใครเคยจบมหาวิยาลัยเลย พอมาคิดๆดูมันใช้เวลามากไปนะ เราอายุเยอะขึ้นแล้วด้วย ถ้าไปเรียนอีก 4 จบ อีกที ก็ 30 แล้วละ งานนี้
30 แต่ยังไม่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอันหรือพึ่งจบใหม่คงแปลกน่าดู แล้วก็มาสำนึกได้ว่าสติปัญญาเรายังต่ำว่าเด็ก ม.6 ซะด้วยซ้ำ
จนปัญญาครับ โง่ ไม่ตั้งใจเรียน คิดไม่รอบคอบ เรียนช้ากว่าคนอื่นแต่ยังด้อยกว่าคนอื่น ขาดความมุมานะ ผมเคยสั้นนะแต่สมเพชตัวเองและเห็นใจคนที่ดีกับเราช่วยเหลือเรา แต่มันดันไม่สามารถทำให้ผมอยากสู้ชีวิตมากนักเลย จึงอยากขอคำปรึกษาหน่อยครับว่า ควรทำยังไงดี
ตัดสินใจพลาดขนาดนี้ 4 ปี เรียนต่ออีกดีไหม
สำนึกแล้วว่าจบไปไม่มีคุณภาพแน่ จากการมาฝึกงานทำให้ผมนึกไปถึงหลายๆอย่าง ได้ว่าเราพลาด เราไร้วินัยมาไกลมาก
ปีแรก
ผมเคยเข้าไปเรียน มหาวิทยาลัยที่อยู่แถวอโศก ผ่านระบบTCAS เรียนได้เทอมนึงก็รู้ได้เลยว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราเก่งนั้น ดันเป็นแค่มาตรฐานของคนที่นี่
ผมเริ่มใจเสียใจไม่ดี เหนื่อยกับการเดินทางไปกลับ ค่าใช้จ่ายก็เวอร์ไปบ้าง เพราะมีการจัดกิจกรรมบ่อยมาก แต่มีเพื่อนดีนะดีกว่าตอนมัธยมเสียด้วย เทอมหน้าที่บ้านก็ไม่มีเงิน จะไปกู้กยศ.ก็สายไปแล้ว ผมเลยบอกที่บ้านว่าจะออก เพราะไม่ไหว ทางบ้านก็บอกแค่โอเค
ผมเลยไปทำงานPart-Time ไปก่อนแล้วคิดว่าเราจะเรียนม.เปิด เลยดีไหม จนผมไปลองลงเรียนดู เนื้อหาแต่ละอย่างเช่มเดิมครับ วิชาเอกไม่เข้าหัวเลย จนรู้สึกว่าจะให้อ่านไปทำไม ตรงนู้น ตรงนี้คืออะไร มันนึกภาพไม่ออก จนผมลองออกจากงานมาเน้นเรียนมันดู สรุปไม่เข้าหัวเลย
ปีสอง
จนผมรู้สึกเหงามาก เพราะที่บ้านออกไปทำงาน เราก็กลายเหมือนเป็นคนเก็บตัวไปเลย จนวันนึงผมตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนม.ปิด โดยคุยกับเพื่อนคนนึงที่เรียน ม.ตระกูลRที่สมัครเข้าได้เลย ด้วยความที่ว่าช่วงนั้นมันเลยTCAS ไปแล้ว ผมจึงตัดสินใจที่จะเรียนโดยเลือกเรียนสาขาวิชาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไปเพราะในเมื่อก่อนหน้าวิชาการไม่เข้าหัว ก็ลองฉีกไปเลย และจะได้มีเพื่อน ถ้ามีเพื่อนก็มีไอเดียใหม่ๆจิตใจแจ่มใส......
เข้าเรียนปีที่ 1 2564....คลัสเตอร์โควิด-19
ส่งผลให้มีการเรียนออนไลน์ ใช่ครับ ปี 1 ผมเรียนออนไลน์ ไม่มีปฐมนิเทศ ไม่มีรับน้อง ไม่มีปรับพื้นฐาน ไม่มีกิจกรรม
แต่เราก็เรียนได้ ส่งงานได้ มีคุยกับบางคนบ้างที่ทักมา คือ ผมเป็นประเภทที่ถ้าไม่ได้เจอตัวจริงๆก็ไม่ทักหาใครในเน็ตเลย ซึ่งบางคนก็เป็นแบบนั้น
ทีแรกผมคิดว่าก็เรียนกันเยอะอยู่นะ แต่พอจบปีที่ 1 ไป มารู้ว่าที่จริงในนั้นมี 3 สาขา แค่เรียนรวมกันตอนปีที่ 1 เฉยๆ สรุปมีคนสนิทแค่ 2 คน เพราะคนที่เหลือเขามีสังคมของเขาอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี 1 ไม่ว่าจะเพื่อนเก่าหรือคนแถวบ้าน ซึ่งผมไม่มี มันเลยกลายเป็นว่า ไม่ค่อยมีใครต้องการเพื่อนใหม่จากตอนเรียนมากนัก
การเรียนผมไม่แน่ใจกับการมาเปรียบเทียบกับ มหาวิทยาลัยที่อยู่ใจกลางกรุงเทพที่ผมซิ่วมา เนื่องจากเนื้อหาต่างกัน+เรียนออนไลน์ แต่จากนี้จะรู้กัน
เข้าเรียนปีที่ 2 2565...ความจริงอันโหดร้ายของม.R
ช่วงปีที่ 1 อาจารย์ที่มาสอนนั้นดีนะครับ ตั้งใจสอน แต่พอขึ้นปี 2 มันราวกับอาจารย์ช่วงชั้นปีที่ 2 เหมือนไม่ได้คุยอาจารย์ที่สอนชั้นปีที่ 1 ว่าเด็กเรียนอะไรมาบ้าง
คนที่ 1 ให้ทำงานข้ามขั้น สั่งแต่งานไม่ แทบไม่สอนเลย วิจารณ์บ่นลูกเดียวแล้วก็เป็นคนอัธยาศัยไม่ดี มีแต่คนเกลียด
คนที่ 2 ดูมีภูมิฐานครับ แต่เหมือนเขารับงานนอก ทำให้บางคลาสไม่เข้า ไม่แจ้งนักศึกษาด้วยบางที งานที่ให้ทำก็ชิลเกินครับ เพราะเขาให้งานที่ทำ 3 ขั้นตอนในวันเดียว เขาก็ยืดให้มันเป็นสัปดาห์ละขั้นตอน เขาดูมีความพยายามสอนอยู่บ้างนะครับ แต่ขาดความสม่ำเสมอ
คนที่ 3 เพื่อนเล่าว่าเขาชิลมากครับ ใจดีไรงี้ ผมมาเจอจริง ชิลครับ ชิลเกินไปครับ แถมมีอาการอัลไซเมอด้วยครับ ไม่สอนเลยครับ สั่งงานลูกเดียว งานก็ชิลแถมบางทีเขาลืมด้วยว่านักศึกษาส่งงานแล้ว แถมบางคาบก็ไม่เข้า จนต้องไปตามมาสอน แต่เขาชอบพูดว่าพวกคุณเก่งอยู่แล้ว ทำงานเยอะๆไปละกัน
คนอาจสงสัยว่าทำไม ไม่ไปแจ้งมหาวิทยาลัย ใช่ครับ สภาพแวดล้อมพวกนี้มันกลืนกินผมและเพื่อนๆ ไม่มีใครตัดสินใจคิดหรือทำแบบนั้นจนปล่อยชิว ช่างมันและเอาแต่คิดในหัวว่า เออไปฝึกเอาเองก็ได้ว่ะ
เข้าสู่ปีที่ 3 2566.....เหมือนเดิมเลยอาจารย์ชุดเดิม แต่ไม่มีคนที่ 1
สรุปเหมือนเดิมครับ และนักศึกษาคนอื่นกับตัวผมเหมือนเดิมครับปล่อยชิว ไม่มีโปรเจ็กงานกลุ่ม เรียนผ่านๆไป อาจารย์ไม่เข้าก็กลับ ก็ไม่มาเรียน
หมดไฟกันหมด ตัดมาตอนฝึกงาน กลายเป็นคนห่วยไปโดยปริยาย
คือผมพอเข้าใจนะครับ ว่าถ้าคนเราพยายาม ถ้าตั้งใจ มีวินัยจริง เราเก่งด้วยตัวเองได้จริงครับ แต่ทว่าผมเป็นคนที่ต้องการไฟจากสภาพแวดล้อมครับ ถ้าทุกคนทำงานดี ทำงานเก่ง งานสวย ผมก็จะพยายามให้ทัดเทียมพวกเขาครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มีแต่คนฝีมือไม่ดี มีดีๆแค่ 2 คน ซึ่ง 2 คนนั้นก็หมดไฟไปบ้างเหมือนกันครับ พอมาฝึกงานภาพในหัวตอนเรียนมหาวิทยาลัยแรก มันกลับเข้ามารัวๆเลยครับ ว่ามันดีกว่าแค่ไหน ถึงแม้จะยากกว่า ใช้ทุนทรัพย์มากกว่า ทำเอาผมอยากกลับไปเจอประสบการณ์ที่นั่นอีกครั้ง นึกย้อนไปว่าถึงผมขวนขวายจริงๆ ทำตัวแบบด้านได้ อายอด อาจจะเรียนจบไปแล้วก็ได้
ช่วงนี้ผมเลยจะลองหาวิถีทางว่าจะทำยังไงต่อ ทีแรกคิดว่ากลับไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี มีมาตรฐาน ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน เพราะตอนนี้ทางบ้านทุนทรัพย์(แต่จะให้ไหมไม่รู้) เพราะเรื่องทั้งหมดไม่เคยบอกที่บ้านที่ไม่มีใครเคยจบมหาวิยาลัยเลย พอมาคิดๆดูมันใช้เวลามากไปนะ เราอายุเยอะขึ้นแล้วด้วย ถ้าไปเรียนอีก 4 จบ อีกที ก็ 30 แล้วละ งานนี้
30 แต่ยังไม่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอันหรือพึ่งจบใหม่คงแปลกน่าดู แล้วก็มาสำนึกได้ว่าสติปัญญาเรายังต่ำว่าเด็ก ม.6 ซะด้วยซ้ำ
จนปัญญาครับ โง่ ไม่ตั้งใจเรียน คิดไม่รอบคอบ เรียนช้ากว่าคนอื่นแต่ยังด้อยกว่าคนอื่น ขาดความมุมานะ ผมเคยสั้นนะแต่สมเพชตัวเองและเห็นใจคนที่ดีกับเราช่วยเหลือเรา แต่มันดันไม่สามารถทำให้ผมอยากสู้ชีวิตมากนักเลย จึงอยากขอคำปรึกษาหน่อยครับว่า ควรทำยังไงดี