เชิญชมนิทรรศการศิลปะ “Deja vu : The Last Chapter” (Part 2) โดยศิลปินไทย นที อุตฤทธิ์
ริชาร์ด โคห์ ไฟน์อาร์ต กรุงเทพฯ (RKFA) รู้สึกตื่นเต้นที่จะนำเสนอ “Déjà vu: The Last Chapter (Part 2)” ภาคที่สองของซีรีส์สามตอน กับผลงานอันน่าหลงใหลของศิลปินชื่อดังชาวไทย นที อุตฤทธิ์ นิทรรศการนี้จะจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ถึง 8 มิถุนายน 2567 ที่ ริชาร์ด โคห์ ไฟน์อาร์ต กรุงเทพฯ
“Déjà vu: The Last Chapter” ผลงานภาคจบชุดนี้แสดงให้เห็นถึงการนำเสนอโดยใช้ความรู้ และทักษะที่หลากหลายของนที อุตฤทธิ์ ครอบคลุมถึงงานกระจกสี งานปัก ประติมากรรม และงานจิตรกรรม สื่องานผสมแต่ละประเภทจะพาท่านร่วมทบทวนถึงช่วงเวลาสำคัญที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะตะวันตกอีกครั้ง โดยเชิญชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่เป็นที่ยอมรับของการพัฒนาทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซีรีส์นี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามลำดับซึ่งจัดแสดงเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน เพื่อให้ผู้ชมมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับการพิจารณาถึงเรื่องราววัฒนธรรมที่มีมา และการตีความหมายใหม่ทางประวัติศาสตร์ของศิลปิน
สำหรับ Part2 ของภาคจบนี้มุ่งเน้นไปที่งานปักอันประณีต และการจัดวางสื่อผสมที่ผสมผสานศิลปวัตถุทางประวัติศาสตร์ ผลงานเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในปี 2563 โดยเกิดจากคำถามของศิลปินที่กระตุ้นถึงความคิดความรู้สึก “จะเกิดอะไรขึ้น หากพระพุทธเจ้าเสด็จไปยุโรปก่อนอารยธรรมตะวันตกจะรุ่งเรือง?” จากสถานการณ์สมมตินี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการทดลองงานศิลปะสำหรับซีรีส์นี้ สร้างสรรค์เรื่องราวสู่ชิ้นงานที่เกิดจากการผสมผสานจินตนาการเข้ากับการคาดเดาทางประวัติศาสตร์ของศิลปิน
การจัดวางแสดงผลงานในชุดนี้สื่อถึงแง่มุมที่สำคัญของซีรีส์ “Déjà vu” ของศิลปิน ผลงานถูกเชื่อมโยงถึงพระพุทธเจ้าที่มิได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนบุคคลในพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ถักทอร้อยเรียงเป็นโครงสร้างของวัฒนธรรมทั้งตะวันออก และตะวันตก ด้วยการหลอมรวมวัตถุสะสมต่างๆ ที่ถูกนำมาประกอบ หรือประยุกต์เข้าด้วยกัน ผ่านกระบวนการหลอมละลายทั้งทางความหมาย และทางวัตถุ เพื่อให้เกิดความหมายใหม่อันนำมาซึ่งการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของพระพุทธเจ้า และจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นกับประเพณีตะวันตก
นที อุตฤทธิ์ ศิลปิน
พาชมนิทรรศการศิลปะ “Déjà vu : The Last Chapter (Part 2)”
เกี่ยวกับศิลปิน:
นที อุตฤทธิ์ (เกิดเมื่อปี 2513 ที่กรุงเทพฯ) เข้าศึกษาในคณะวิจิตรศิลป์ในปี 2530 และจบการศึกษาด้านศิลปะการออกแบบกราฟิกจากที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี 2534 นิทรรศการเดี่ยวของเขาประกอบด้วย Optimism is Ridiculous: the Altarpieces ณ The Private Museum ในสิงคโปร์ (2561); Optimism is Ridiculous: the Altarpieces ณ หอศิลป์แห่งชาติอินโดนีเซีย กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย (2560); Optimism is Ridiculous: the Altarpieces ณ พิพิธภัณฑ์อายาลา กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ (2560); Illustration of the Crisis ณ หอศิลป์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กรุงเทพฯ (2556); After Painting ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ สิงคโปร์ (2553) และ The Amusement of Dreams, Hope and Perfection ณ ศูนย์ศิลปะแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ (2550) นิทรรศการกลุ่มล่าสุด ได้แก่ Beyong Bliss ณ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018 (2561); Contemporary Chaos ณ Vestfossen Kunstlaboratorium ประเทศนอร์เวย์ (2561);Thai Eye ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และ Saatchi Gallery ณ ลอนดอน สหราชอาณาจักร (2559/2558); Art of ASEAN ณ พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ของธนาคารเนการา กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (2558); Time of Others ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยโตเกียว ญี่ปุ่น (2558) และ Asian Art Biennale 2013: Everyday Life ณ พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งชาติไต้หวัน (2556) ผลงานของเขารวมอยู่ในคอลเล็กชั่นที่โด่งดังมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หอศิลป์ควีนส์แลนด์และแกลลอรีศิลปะสมัยใหม่ เมืองบริสเบน พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ รวมถึงคอลเล็กชั่นส่วนตัวในยุโรปและเอเชีย
การปฏิบัติที่หลากหลายของอุตฤทธิ์มุ่งเน้นไปที่การสำรวจสื่อจิตรกรรมที่เชื่อมโยงกับภาพถ่ายและศิลปะตะวันตกคลาสสิก แสงและเปอร์สเปคทีฟเป็นองค์ประกอบบางส่วนที่ศิลปินเลือกใช้ โดยเน้นที่การวาดภาพเป็นวิธีหนึ่งในการสำรวจการสร้างภาพ ภาพที่ซับซ้อนของเขาซึ่งใช้อุปมาอุปมัยที่หลากหลายซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของหุ่นนิ่งแบบดั้งเดิม บ่งบอกถึงภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน
นิทรรศการศิลปะ “Deja vu : The Last Chapter” (Part 2) โดยศิลปินไทย นที อุตฤทธิ์ จักแสดงระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม – 8 มิถุนายน 2567
ณ ริชาร์ด โคห์ ไฟน์อาร์ต (กรุงเทพฯ) อาคารปีเตอร์ซัน เลขที่ 712/1 ชั้น 9 ถนนสุขุมวิท (ลงสถานี BTS พร้อมพงษ์)
ริชาร์ด โคห์ ไฟน์อาร์ต กรุงเทพฯ เปิดตั้งแต่เวลา 11:00น.-19:00น. ที่อาคาร Peterson 712/1 ถ. สุขุมวิท แขวง-คลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 สามารถจอดรถได้ที่ 22 Volts ติดกับร้านหนังสือ Dasa ติดกับตึก Peterson ชั่วโมงละ 50 บาท
เชิญชมนิทรรศการศิลปะ “Deja vu : The Last Chapter” (Part 2) โดยศิลปินไทย นที อุตฤทธิ์
“Déjà vu: The Last Chapter” ผลงานภาคจบชุดนี้แสดงให้เห็นถึงการนำเสนอโดยใช้ความรู้ และทักษะที่หลากหลายของนที อุตฤทธิ์ ครอบคลุมถึงงานกระจกสี งานปัก ประติมากรรม และงานจิตรกรรม สื่องานผสมแต่ละประเภทจะพาท่านร่วมทบทวนถึงช่วงเวลาสำคัญที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะตะวันตกอีกครั้ง โดยเชิญชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่เป็นที่ยอมรับของการพัฒนาทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซีรีส์นี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามลำดับซึ่งจัดแสดงเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน เพื่อให้ผู้ชมมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับการพิจารณาถึงเรื่องราววัฒนธรรมที่มีมา และการตีความหมายใหม่ทางประวัติศาสตร์ของศิลปิน
สำหรับ Part2 ของภาคจบนี้มุ่งเน้นไปที่งานปักอันประณีต และการจัดวางสื่อผสมที่ผสมผสานศิลปวัตถุทางประวัติศาสตร์ ผลงานเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในปี 2563 โดยเกิดจากคำถามของศิลปินที่กระตุ้นถึงความคิดความรู้สึก “จะเกิดอะไรขึ้น หากพระพุทธเจ้าเสด็จไปยุโรปก่อนอารยธรรมตะวันตกจะรุ่งเรือง?” จากสถานการณ์สมมตินี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการทดลองงานศิลปะสำหรับซีรีส์นี้ สร้างสรรค์เรื่องราวสู่ชิ้นงานที่เกิดจากการผสมผสานจินตนาการเข้ากับการคาดเดาทางประวัติศาสตร์ของศิลปิน
การจัดวางแสดงผลงานในชุดนี้สื่อถึงแง่มุมที่สำคัญของซีรีส์ “Déjà vu” ของศิลปิน ผลงานถูกเชื่อมโยงถึงพระพุทธเจ้าที่มิได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนบุคคลในพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ถักทอร้อยเรียงเป็นโครงสร้างของวัฒนธรรมทั้งตะวันออก และตะวันตก ด้วยการหลอมรวมวัตถุสะสมต่างๆ ที่ถูกนำมาประกอบ หรือประยุกต์เข้าด้วยกัน ผ่านกระบวนการหลอมละลายทั้งทางความหมาย และทางวัตถุ เพื่อให้เกิดความหมายใหม่อันนำมาซึ่งการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของพระพุทธเจ้า และจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นกับประเพณีตะวันตก
นที อุตฤทธิ์ (เกิดเมื่อปี 2513 ที่กรุงเทพฯ) เข้าศึกษาในคณะวิจิตรศิลป์ในปี 2530 และจบการศึกษาด้านศิลปะการออกแบบกราฟิกจากที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี 2534 นิทรรศการเดี่ยวของเขาประกอบด้วย Optimism is Ridiculous: the Altarpieces ณ The Private Museum ในสิงคโปร์ (2561); Optimism is Ridiculous: the Altarpieces ณ หอศิลป์แห่งชาติอินโดนีเซีย กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย (2560); Optimism is Ridiculous: the Altarpieces ณ พิพิธภัณฑ์อายาลา กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ (2560); Illustration of the Crisis ณ หอศิลป์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กรุงเทพฯ (2556); After Painting ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ สิงคโปร์ (2553) และ The Amusement of Dreams, Hope and Perfection ณ ศูนย์ศิลปะแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ (2550) นิทรรศการกลุ่มล่าสุด ได้แก่ Beyong Bliss ณ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018 (2561); Contemporary Chaos ณ Vestfossen Kunstlaboratorium ประเทศนอร์เวย์ (2561);Thai Eye ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และ Saatchi Gallery ณ ลอนดอน สหราชอาณาจักร (2559/2558); Art of ASEAN ณ พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ของธนาคารเนการา กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (2558); Time of Others ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยโตเกียว ญี่ปุ่น (2558) และ Asian Art Biennale 2013: Everyday Life ณ พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งชาติไต้หวัน (2556) ผลงานของเขารวมอยู่ในคอลเล็กชั่นที่โด่งดังมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หอศิลป์ควีนส์แลนด์และแกลลอรีศิลปะสมัยใหม่ เมืองบริสเบน พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ รวมถึงคอลเล็กชั่นส่วนตัวในยุโรปและเอเชีย
การปฏิบัติที่หลากหลายของอุตฤทธิ์มุ่งเน้นไปที่การสำรวจสื่อจิตรกรรมที่เชื่อมโยงกับภาพถ่ายและศิลปะตะวันตกคลาสสิก แสงและเปอร์สเปคทีฟเป็นองค์ประกอบบางส่วนที่ศิลปินเลือกใช้ โดยเน้นที่การวาดภาพเป็นวิธีหนึ่งในการสำรวจการสร้างภาพ ภาพที่ซับซ้อนของเขาซึ่งใช้อุปมาอุปมัยที่หลากหลายซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของหุ่นนิ่งแบบดั้งเดิม บ่งบอกถึงภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน