แล้วก็ได้ทำงานสมใจ หอบลูกหอบเสื้อผ้า กลับเข้ากรุงเทพฯมาอยู่บ้านแม่ เพื่อทำงาน ชีวิตการทำงานเริ่มต้นประมาณปลายปี 2548 ตอนนั้นเจ้าของบริษัทบอกว่ายังไม่ให้ไปเริ่มงานที่สาขาหลักสี่เพราะยังตกแต่งร้านไม่เสร็จพนักงานทุกคนที่จะไปที่สาขาใหม่ต้องไปอบรมงานอยู่ที่สาขา Pantip Plaza เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งตรงนั้นเองเราก็ได้เจอ เพื่อนร่วมงานที่จะไปอยู่ สาขาหลักสี่ด้วยกัน มีน้องผู้ชาย 1 คนชื่อเออีกคนนึงชื่อแอ๊ด น้องผู้หญิงชื่ออุ๋ย เราไม่ได้บอกพวกเขาว่าเรา อยู่ใน ตำแหน่งผู้จัดการร้าน อาทิตย์แรก เราก็เกิดไปปิ๊งกันกับ เด็กช่างคอมพิวเตอร์ในร้าน ที่สาขาพันทิพย์ แอบมองสบตากันอยู่ แอบมองกันไปกันมา จนแม้แต่ผู้จัดการสาขาที่พันทิพย์มันก็ดูออก ขณะนั้น ตำแหน่งช่างประจำร้านที่สาขาที่หลักสี่ยังไม่มี ผู้จัดการร้านที่สาขาพันทิพย์ก็เลยระบุตัวให้ไอ้น้องช่างคนนี้ ไปช่วยงานเราที่ร้านเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนลูกชายอายุได้ 3 ขวบแล้วก็เอาไปฝากเลี้ยงไว้ที่เนอสเซอรี่ใกล้ๆบ้าน เพื่อปีหน้า จะได้พาไปเข้าสมัครเรียนอนุบาลต่อไป
การทำงานที่นี่ มีวันหยุดแค่อาทิตย์ละ 1 วัน และอาทิตย์ละ 1 วันนั้นเราก็ต้องกลับบ้านที่นครนายกทุกอาทิตย์
ช่วงก่อนที่จะได้งานทำที่นี่ จำได้ว่าทะเลาะกับสามีอยู่ แล้วก็ทิ้งเขามาหลายเดือนเลยโดยไม่ได้ติดต่อกลับไปแล้วไม่ได้กลับไปหาด้วย จนวันหนึ่ง กลับไป แล้วก็ ไปเจอว่าเขาป่วย ปวดหลัง หนักมากต้องนั่งวิลแชร์ แล้วตอนนั้นเราก็ต้องเป็นคนพาเขาไปรักษาไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า เขาก็แมนมาก เมื่อเธอทิ้งฉันไป ฉันก็ไม่ง้อ ฉันก็ทำงานบ้านเอง นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้เขาปวดหลังเพราะดันไปยกของหนักแล้วน่าจะยกผิดท่า แล้วอยู่ๆ มือเขาเนี่ยก็ไม่มีแรงที่จะยกแก้วกาแฟขึ้นมาได้ นั่นแหละเป็นวันที่เขาลุกจากเตียงไม่ได้เลยเขาบอกว่า เขารวบรวมกำลังสุดท้ายลุกไปโทรศัพท์ไปที่บ้านเรา พ่อเราเป็นคนรับสายแล้วก็ตัดสายทิ้งถึง 2 ครั้งเขาก็เลย ยอมแพ้ นอนลง รอ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เขาไม่ได้ไปทำงาน 2 วันทางโรงเรียนก็เลยให้เพื่อนร่วมงานมาตามที่บ้าน เพื่อนมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านอยู่สักพักนึง สามีก็เลยโยนกุญแจบ้าน ไปให้เขา เขาก็เปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วเขาก็เห็นสภาพว่าโอ้ โรเบิร์ตลุกไม่ขึ้นแล้วนอนอยู่สภาพนี้มา 2 วันแล้ว ก็เลยกลับไปที่โรงเรียนแล้วไปแจ้งให้ทางผอ.และครูที่โรงเรียนรับทราบ หลังจากนั้นเขาก็พากันมาหลายคนพาสามีไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นครูที่โรงเรียนที่อยู่ภาคภาษาอังกฤษด้วยกันมีกันอยู่สองสามคนก็ต้องรับผิดชอบมาพาสามีเราไปหาหมอทุกวัน จนกระทั่งอาการดีขึ้นแล้วเราก็กลับไปเจอ
กลับมาที่กรุงเทพฯอีกครั้ง หลังจากที่อยู่พันทิพย์ครบ 1 เดือน ก็ได้เวลาย้ายไปที่สาขาหลักสี่ วันแรกที่ไป กลับบ้านดึกมาก เพราะว่าต้องช่วยกันจัดร้าน แต่ว่าคนขับรถส่งของของบริษัทอาสามาส่งเรา หน้าบ้านเลยแหละ ตรงห้างที่อยู่หน้าบ้าน เราก็โอเค จำได้ว่าวันนั้นกลับมาถึงบ้านแล้วทะเลาะกับสามีหนักมาก เพราะว่าสามีรับไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุด ความต้องการที่ฉันจะทำงาน ลงได้ ถึงจะทะเลาะกันหนักมากทะเลาะกันเป็นชั่วโมงจนปวดหัวก็ตาม
วันรุ่งขึ้นเราก็เลยต้องแจ้งกับทางเจ้าของบริษัทว่าเราไม่สามารถอยู่จนถึง 5 ทุ่มเที่ยงคืนได้เหมือนเมื่อคืนแล้วนะ มันดึกเกินไป ถึงแม้คนขับรถของคุณจะไปส่งเราที่บ้านก็เถอะ มันก็ไม่สะดวก นี่เป็นคำสั่งสามี เพราะถ้า ไม่ทำตามนี้ เขาก็จะให้เราลาออก จัดร้านกันอยู่ 2 วันแล้วก็เปิดร้านอย่างเป็นทางการ บริษัทคอมพิวเตอร์ สาขาใหม่ ที่ ไอทีสแควร์ หลักสี่พลาซ่า ตอนนี้ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วว่าเราคือผู้จัดการร้าน มีบัญชี 2 คน บัญชีคนที่ 1 ดูท่ามันจะปีนเกลียวเราน่าดู บัญชีคนที่ 2 ดูเด็กๆดูไม่มีพิษมีภัยอะไร นอกเหนือจากพนักงานบริษัทแล้วเราก็ยังมีเซลล์โปรโมเตอร์ ตามยี่ห้อของ Notebook ต่างๆ เช่น HP Acer แล้วก็มีไอน้องช่าง ที่มาจากสาขาพันทิพย์
อ้อเราลืมเล่าให้ฟังไปว่า ช่วงหลังจากแท้งลูกคนแรก และสามีบินไปอเมริกา เรากลับมาอยู่บ้านแม่ จนกระทั่งคลอดลูก ช่วงนั้น แม่ทวงถาม สินสอดตลอด แต่สามีปฏิเสธ เพราะว่าแม่ทำให้เราแท้งลูกคนแรก และหลังจากนั้น นางก็คอยวุ่นวาย ถามเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านให้ช่วยค่านั่นค่านี่ค่าโน้น แต่มีพ่อคอยเบรคไว้ พ่อบอกว่า ปล่อยให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวก่อน ตอนนี้โรเบิร์ตก็ยังไม่มีงานทำ อย่าไปวุ่นวายกับชีวิตครอบครัวเขานะ แม่ก็เลยหยุด
แล้วการทำงานที่แยกหลักสี่ บริษัทคอมพิวเตอร์ก็เริ่มต้นขึ้น ก็ราบรื่นดีนะ ส่วนเจ้าน้องช่างที่เราปิ๊งกับมันก็ คุยกันบ้างห่างๆ ถ้ามีโอกาส แต่ในใจแล้วก็ชอบมันจริงจังนะ คิดเพ้อเจ้อไปไกลถึงขนาดว่า นี่คงจะเป็นรักแท้ เพราะว่า เรา ไม่ได้รักโรเบิร์ตตั้งแต่แรก เราเลือกเขาเพราะพ่อแม่บังคับ นู้นคิดไปไกลขนาดนั้น แต่ก็เป็นแค่ความคิด เพราะ น้องมันก็น่าจะรู้ว่าเราแต่งงานแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันออกไปสูบบุหรี่ ที่ประตูทางหนีไฟแล้วมันโทรกลับมาบอกเราบอกว่า ให้ช่วยมาเปิดประตูให้ทีเพราะมันเผลอปิดประตูแล้วมันเข้ากลับในตึกไม่ได้ อันนี้เราก็ แบบรู้ไม่ทันมัน มันอาจจะ วางแผน เพื่อจะเจอเราสองต่อสองก็ได้ ไอ้เราก็เลยไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ไปหาเอง ใช้ให้น้องผู้ชายอีกคนเดินไปเปิดประตูให้มันแทน แล้วอีกครั้งนึงที่งาน Commart งาน Commart จะเป็นงานออกบูธแสดงสินค้าและขายสินค้า ที่ใหญ่มาก ที่ศูนย์สิริกิตฯ งานจะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง บริษัทก็จะเกณฑ์คน ไปนั่งขายในงาน เราก็เป็นหนึ่งในนั้น มีอยู่ครั้งนึง เจอไอ้น้องคนนี้ ในงาน มาตอนช่วงจะกลับบ้าน มันก็ถามว่าเราจะกลับบ้านทางไหน เราบอกว่าเราลงรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วไปขึ้นที่สถานีหัวลำโพง เขาบอกว่า ไปทางเดียวกันเลยพี่งั้นกลับบ้านด้วยกันนะ ดีใจมาก แต่ผลปรากฏว่า วันนั้นสามีไปรับค่ะ แต่เขามาช้าเขาบอกให้รอ ไอ้เราก็เลยแอบนั่งรถไฟฟ้า ลงไปกับไอ้หมอนั่นก่อน ก็ไปนั่งคุยกัน พอถึงสถานีหัวลำโพงก็ทำเนียนเป็นลง แล้วก็กลับไปอีกขบวนหนึ่ง เพื่อกลับไปที่ศูนย์สิริกิตฯไปรับสามีกลับบ้าน สามีก็บ่นด่าเป็น โขยงเลยเพราะปล่อยให้เขารอนาน
หลังจากที่เราไม่อยู่บ้านที่นครนายก ก็มีข่าว คราวนินทา ของสามีเกิดขึ้น เขาอยู่ตัวคนเดียว ก็อย่างว่า อีพวกมนุษย์ป้า ที่โรงเรียน ก็รุมแกล้งเขาบ้าง นินทาว่าร้ายต่างๆนานา มีครูสาวคนหนึ่ง มาขอร้องให้สามีสอนภาษาอังกฤษให้ สามีก็ตกลง แล้วก็สอนนางที่ห้องสมุดหลังเลิกเรียน สามีบอกว่าตอนช่วงที่สอนนาง อยู่ในห้องสมุด คนอื่น ก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง แต่เขารู้สึกได้ถึง สายตาที่จับจ้องมาที่เขา และครูผู้หญิงคนนั้นสุดท้ายรองผอ.โทรมาถามเรา ว่าเรากะโรเบิร์ตนั้นเลิกกันแล้วหรือยัง เราก็ตกใจแล้วตอบไปว่ายังไม่ได้เลิกกันเพียงแค่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ วันหยุดก็กลับบ้านทุกอาทิตย์นะ เขาบอกว่าอ้าว นึกว่าเลิกกันแล้วเพราะมีครูผู้หญิง จีบกันอยู่กับโรเบิร์ต ครูก็เลย โทรมาถามดูว่าเขาโสดไหม จะได้ให้เขาจีบกันไป
เราก็รีบแจ้นกลับบ้านเลยค่ะ มันไม่ใช่วันหยุดอีผัวก็ตกใจที่เราโผล่หน้าไป เสร็จแล้ว เราก็ไปหารองผอ.คนนั้นที่โรงเรียน ก็ไปคุยกัน แล้วก็บอกเขาว่าเรายังไม่ได้เลิกกันนะ
อีกเรื่องแล้วก็มีหัวหน้าภาคภาษาอังกฤษคนใหม่ เป็นครูผู้หญิงมาจากเชียงราย โอ้โห นางคนนี้จะพูดยังไง ง่ายๆเลย แรดน่าดู นางจีบครูฝรั่งทุกคน รวมทั้งสามีเราด้วย นางคิดว่าสามีเราโสด พอนางรู้ว่าสามีเราแต่งงานมีแล้วมีลูก 1 นางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังโดยทันที นางก็ไม่ได้สาวนะ 40 อัพแล้วมิหนำซ้ำยังมีลูกติด 2 คนเป็นหนุ่มแล้วด้วย นางได้บ้านพักหลังติดกับเรา โอ้โหทุกเช้านางจะตะโกนเรียกปลุกลูกให้ตื่นเสียงดังลั่นไปทั่วหมู่บ้านพักครูเลยค่า!!
นางคนนี้มีหน้าที่คอยต่อวีซ่าทำเอกสารต่างๆให้ครูต่างชาติที่โรงเรียน แล้วนางก็แกล้งสามีเราทำเอกสารที่ต้องยื่น ไปที่กรมแรงงาน ผิดหลายฉบับมาก จนสามีตามให้เรามาดู แต่ก็สายเสียแล้วเพราะมันหมดเวลายื่นเอกสาร มันทำให้สามีเรา ไม่ได้ ต่ออายุวีซ่า และหลังจากนั้นโรงเรียนก็เริ่มจ้างครูฟิลิปปินส์เข้ามาซึ่งมันทำให้ มีข้อเปรียบเทียบระหว่าง ครูชาวยุโรป ที่ค่าจ้างสูง กับครูฟิลิปปินส์ ที่ค่าจ้างถูกกว่า และแล้วพอหมดปีการศึกษานั้น ผอ.โรงเรียนก็บอกกับสามีเราว่า เขาจะเลิกจ้าง สามีเรา สิ้นปีการศึกษานี้ ให้เตรียมตัว หางานใหม่และย้ายออกจากบ้านพักครู เขาเสียใจด้วยจริงๆแต่โรงเรียนไม่สามารถจ้างครูต่างชาติได้ มากไปกว่านี้แล้ว พอดีตอนนั้น สามีและเราพากันไปเรียน ที่ ม.บูรพา จังหวัดชลบุรี แล้วตอนนั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่ง เขาก็ชักชวนให้สามีไปสอนหนังสือ ที่มหาวิทยาลัย สามีก็เลยบอกว่าโอเค ถ้าต้องออกจากที่นี่ ก็ย้ายไปที่ม.บูรพาแล้วกัน โอเคเราก็ลางานทั้งหมด 3 หรือ 4 วันนี้แหละเพื่อไปช่วยสามีย้ายบ้าน ทางมหาลัยจัดเตรียมห้องไว้ให้ 1 ห้อง เป็นประมาณคอนโด โอเคสามีก็อยู่ที่นี่ อากาศดีมากเลย มาอยู่ที่นี่สักพัก ก็มีรับจ๊อบไปสอน ตามโรงเรียนที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยบ้าง แล้วสามีก็ป่วย เขาฉี่ไม่ออก และฉี่ออกมาเป็นเลือด ต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาล เพราะวันที่เขาป่วย เขาลุกเดินไม่ไหวเลย หมอตรวจดูแล้วบอกว่าเขา อาจจะอั้นฉี่ จึงทำให้มีอาการแบบนี้ แต่ตัวเขาว่าไม่น่าจะใช่ ก็นอนอยู่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 วันเราก็ไปเฝ้าไข้เขาอยู่จนเกือบจะถูกไล่ออกจากงานเพราะบริษัทติดต่อเราไม่ได้ จริงๆแล้วน่าจะโดนไล่ออกนะ จะได้สำนึกสักทีว่าต้องกลับมาดูแลสามี
แล้วหลังจากนั้น สามีก็ต้องไปต่อวีซ่า ครั้งนี้ทางมหาลัย พาตัวเขาและครูฟิลิปปินส์ อีก 2-3 คนไปด้วย ไปต่อวีซ่ากันที่จังหวัดสระแก้ว มหาลัยเหมารถตู้ของมหาลัยไปส่งแต่พอไปถึงที่แล้วอาจารย์คนที่ทางมหาลัย มอบหมายหน้าที่ให้มาดำเนินงาน เกี่ยวกับเรื่องพาครูต่างชาติมาต่อวีซ่ากลับไม่มาซะงั้น พวกครูก็เลยต้องพากันกลับกรุงเทพฯ วีซ่ายังไม่ได้ต่อ แล้วก็เริ่มมีปัญหากัน จนผลสุดท้าย สามีจึงตัดสินใจลาออก แล้วก็กลับ มาอยู่บ้าน แม่เรา กับเราที่กรุงเทพฯ และไม่นาน เราก็ท้อง ลูกคนที่ 2 🤰❤❤
ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย#Working woman
แล้วก็ได้ทำงานสมใจ หอบลูกหอบเสื้อผ้า กลับเข้ากรุงเทพฯมาอยู่บ้านแม่ เพื่อทำงาน ชีวิตการทำงานเริ่มต้นประมาณปลายปี 2548 ตอนนั้นเจ้าของบริษัทบอกว่ายังไม่ให้ไปเริ่มงานที่สาขาหลักสี่เพราะยังตกแต่งร้านไม่เสร็จพนักงานทุกคนที่จะไปที่สาขาใหม่ต้องไปอบรมงานอยู่ที่สาขา Pantip Plaza เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งตรงนั้นเองเราก็ได้เจอ เพื่อนร่วมงานที่จะไปอยู่ สาขาหลักสี่ด้วยกัน มีน้องผู้ชาย 1 คนชื่อเออีกคนนึงชื่อแอ๊ด น้องผู้หญิงชื่ออุ๋ย เราไม่ได้บอกพวกเขาว่าเรา อยู่ใน ตำแหน่งผู้จัดการร้าน อาทิตย์แรก เราก็เกิดไปปิ๊งกันกับ เด็กช่างคอมพิวเตอร์ในร้าน ที่สาขาพันทิพย์ แอบมองสบตากันอยู่ แอบมองกันไปกันมา จนแม้แต่ผู้จัดการสาขาที่พันทิพย์มันก็ดูออก ขณะนั้น ตำแหน่งช่างประจำร้านที่สาขาที่หลักสี่ยังไม่มี ผู้จัดการร้านที่สาขาพันทิพย์ก็เลยระบุตัวให้ไอ้น้องช่างคนนี้ ไปช่วยงานเราที่ร้านเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนลูกชายอายุได้ 3 ขวบแล้วก็เอาไปฝากเลี้ยงไว้ที่เนอสเซอรี่ใกล้ๆบ้าน เพื่อปีหน้า จะได้พาไปเข้าสมัครเรียนอนุบาลต่อไป
การทำงานที่นี่ มีวันหยุดแค่อาทิตย์ละ 1 วัน และอาทิตย์ละ 1 วันนั้นเราก็ต้องกลับบ้านที่นครนายกทุกอาทิตย์
ช่วงก่อนที่จะได้งานทำที่นี่ จำได้ว่าทะเลาะกับสามีอยู่ แล้วก็ทิ้งเขามาหลายเดือนเลยโดยไม่ได้ติดต่อกลับไปแล้วไม่ได้กลับไปหาด้วย จนวันหนึ่ง กลับไป แล้วก็ ไปเจอว่าเขาป่วย ปวดหลัง หนักมากต้องนั่งวิลแชร์ แล้วตอนนั้นเราก็ต้องเป็นคนพาเขาไปรักษาไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า เขาก็แมนมาก เมื่อเธอทิ้งฉันไป ฉันก็ไม่ง้อ ฉันก็ทำงานบ้านเอง นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้เขาปวดหลังเพราะดันไปยกของหนักแล้วน่าจะยกผิดท่า แล้วอยู่ๆ มือเขาเนี่ยก็ไม่มีแรงที่จะยกแก้วกาแฟขึ้นมาได้ นั่นแหละเป็นวันที่เขาลุกจากเตียงไม่ได้เลยเขาบอกว่า เขารวบรวมกำลังสุดท้ายลุกไปโทรศัพท์ไปที่บ้านเรา พ่อเราเป็นคนรับสายแล้วก็ตัดสายทิ้งถึง 2 ครั้งเขาก็เลย ยอมแพ้ นอนลง รอ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เขาไม่ได้ไปทำงาน 2 วันทางโรงเรียนก็เลยให้เพื่อนร่วมงานมาตามที่บ้าน เพื่อนมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านอยู่สักพักนึง สามีก็เลยโยนกุญแจบ้าน ไปให้เขา เขาก็เปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วเขาก็เห็นสภาพว่าโอ้ โรเบิร์ตลุกไม่ขึ้นแล้วนอนอยู่สภาพนี้มา 2 วันแล้ว ก็เลยกลับไปที่โรงเรียนแล้วไปแจ้งให้ทางผอ.และครูที่โรงเรียนรับทราบ หลังจากนั้นเขาก็พากันมาหลายคนพาสามีไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นครูที่โรงเรียนที่อยู่ภาคภาษาอังกฤษด้วยกันมีกันอยู่สองสามคนก็ต้องรับผิดชอบมาพาสามีเราไปหาหมอทุกวัน จนกระทั่งอาการดีขึ้นแล้วเราก็กลับไปเจอ
กลับมาที่กรุงเทพฯอีกครั้ง หลังจากที่อยู่พันทิพย์ครบ 1 เดือน ก็ได้เวลาย้ายไปที่สาขาหลักสี่ วันแรกที่ไป กลับบ้านดึกมาก เพราะว่าต้องช่วยกันจัดร้าน แต่ว่าคนขับรถส่งของของบริษัทอาสามาส่งเรา หน้าบ้านเลยแหละ ตรงห้างที่อยู่หน้าบ้าน เราก็โอเค จำได้ว่าวันนั้นกลับมาถึงบ้านแล้วทะเลาะกับสามีหนักมาก เพราะว่าสามีรับไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุด ความต้องการที่ฉันจะทำงาน ลงได้ ถึงจะทะเลาะกันหนักมากทะเลาะกันเป็นชั่วโมงจนปวดหัวก็ตาม
วันรุ่งขึ้นเราก็เลยต้องแจ้งกับทางเจ้าของบริษัทว่าเราไม่สามารถอยู่จนถึง 5 ทุ่มเที่ยงคืนได้เหมือนเมื่อคืนแล้วนะ มันดึกเกินไป ถึงแม้คนขับรถของคุณจะไปส่งเราที่บ้านก็เถอะ มันก็ไม่สะดวก นี่เป็นคำสั่งสามี เพราะถ้า ไม่ทำตามนี้ เขาก็จะให้เราลาออก จัดร้านกันอยู่ 2 วันแล้วก็เปิดร้านอย่างเป็นทางการ บริษัทคอมพิวเตอร์ สาขาใหม่ ที่ ไอทีสแควร์ หลักสี่พลาซ่า ตอนนี้ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วว่าเราคือผู้จัดการร้าน มีบัญชี 2 คน บัญชีคนที่ 1 ดูท่ามันจะปีนเกลียวเราน่าดู บัญชีคนที่ 2 ดูเด็กๆดูไม่มีพิษมีภัยอะไร นอกเหนือจากพนักงานบริษัทแล้วเราก็ยังมีเซลล์โปรโมเตอร์ ตามยี่ห้อของ Notebook ต่างๆ เช่น HP Acer แล้วก็มีไอน้องช่าง ที่มาจากสาขาพันทิพย์
อ้อเราลืมเล่าให้ฟังไปว่า ช่วงหลังจากแท้งลูกคนแรก และสามีบินไปอเมริกา เรากลับมาอยู่บ้านแม่ จนกระทั่งคลอดลูก ช่วงนั้น แม่ทวงถาม สินสอดตลอด แต่สามีปฏิเสธ เพราะว่าแม่ทำให้เราแท้งลูกคนแรก และหลังจากนั้น นางก็คอยวุ่นวาย ถามเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านให้ช่วยค่านั่นค่านี่ค่าโน้น แต่มีพ่อคอยเบรคไว้ พ่อบอกว่า ปล่อยให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวก่อน ตอนนี้โรเบิร์ตก็ยังไม่มีงานทำ อย่าไปวุ่นวายกับชีวิตครอบครัวเขานะ แม่ก็เลยหยุด
แล้วการทำงานที่แยกหลักสี่ บริษัทคอมพิวเตอร์ก็เริ่มต้นขึ้น ก็ราบรื่นดีนะ ส่วนเจ้าน้องช่างที่เราปิ๊งกับมันก็ คุยกันบ้างห่างๆ ถ้ามีโอกาส แต่ในใจแล้วก็ชอบมันจริงจังนะ คิดเพ้อเจ้อไปไกลถึงขนาดว่า นี่คงจะเป็นรักแท้ เพราะว่า เรา ไม่ได้รักโรเบิร์ตตั้งแต่แรก เราเลือกเขาเพราะพ่อแม่บังคับ นู้นคิดไปไกลขนาดนั้น แต่ก็เป็นแค่ความคิด เพราะ น้องมันก็น่าจะรู้ว่าเราแต่งงานแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันออกไปสูบบุหรี่ ที่ประตูทางหนีไฟแล้วมันโทรกลับมาบอกเราบอกว่า ให้ช่วยมาเปิดประตูให้ทีเพราะมันเผลอปิดประตูแล้วมันเข้ากลับในตึกไม่ได้ อันนี้เราก็ แบบรู้ไม่ทันมัน มันอาจจะ วางแผน เพื่อจะเจอเราสองต่อสองก็ได้ ไอ้เราก็เลยไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ไปหาเอง ใช้ให้น้องผู้ชายอีกคนเดินไปเปิดประตูให้มันแทน แล้วอีกครั้งนึงที่งาน Commart งาน Commart จะเป็นงานออกบูธแสดงสินค้าและขายสินค้า ที่ใหญ่มาก ที่ศูนย์สิริกิตฯ งานจะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง บริษัทก็จะเกณฑ์คน ไปนั่งขายในงาน เราก็เป็นหนึ่งในนั้น มีอยู่ครั้งนึง เจอไอ้น้องคนนี้ ในงาน มาตอนช่วงจะกลับบ้าน มันก็ถามว่าเราจะกลับบ้านทางไหน เราบอกว่าเราลงรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วไปขึ้นที่สถานีหัวลำโพง เขาบอกว่า ไปทางเดียวกันเลยพี่งั้นกลับบ้านด้วยกันนะ ดีใจมาก แต่ผลปรากฏว่า วันนั้นสามีไปรับค่ะ แต่เขามาช้าเขาบอกให้รอ ไอ้เราก็เลยแอบนั่งรถไฟฟ้า ลงไปกับไอ้หมอนั่นก่อน ก็ไปนั่งคุยกัน พอถึงสถานีหัวลำโพงก็ทำเนียนเป็นลง แล้วก็กลับไปอีกขบวนหนึ่ง เพื่อกลับไปที่ศูนย์สิริกิตฯไปรับสามีกลับบ้าน สามีก็บ่นด่าเป็น โขยงเลยเพราะปล่อยให้เขารอนาน
หลังจากที่เราไม่อยู่บ้านที่นครนายก ก็มีข่าว คราวนินทา ของสามีเกิดขึ้น เขาอยู่ตัวคนเดียว ก็อย่างว่า อีพวกมนุษย์ป้า ที่โรงเรียน ก็รุมแกล้งเขาบ้าง นินทาว่าร้ายต่างๆนานา มีครูสาวคนหนึ่ง มาขอร้องให้สามีสอนภาษาอังกฤษให้ สามีก็ตกลง แล้วก็สอนนางที่ห้องสมุดหลังเลิกเรียน สามีบอกว่าตอนช่วงที่สอนนาง อยู่ในห้องสมุด คนอื่น ก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง แต่เขารู้สึกได้ถึง สายตาที่จับจ้องมาที่เขา และครูผู้หญิงคนนั้นสุดท้ายรองผอ.โทรมาถามเรา ว่าเรากะโรเบิร์ตนั้นเลิกกันแล้วหรือยัง เราก็ตกใจแล้วตอบไปว่ายังไม่ได้เลิกกันเพียงแค่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ วันหยุดก็กลับบ้านทุกอาทิตย์นะ เขาบอกว่าอ้าว นึกว่าเลิกกันแล้วเพราะมีครูผู้หญิง จีบกันอยู่กับโรเบิร์ต ครูก็เลย โทรมาถามดูว่าเขาโสดไหม จะได้ให้เขาจีบกันไป
เราก็รีบแจ้นกลับบ้านเลยค่ะ มันไม่ใช่วันหยุดอีผัวก็ตกใจที่เราโผล่หน้าไป เสร็จแล้ว เราก็ไปหารองผอ.คนนั้นที่โรงเรียน ก็ไปคุยกัน แล้วก็บอกเขาว่าเรายังไม่ได้เลิกกันนะ
อีกเรื่องแล้วก็มีหัวหน้าภาคภาษาอังกฤษคนใหม่ เป็นครูผู้หญิงมาจากเชียงราย โอ้โห นางคนนี้จะพูดยังไง ง่ายๆเลย แรดน่าดู นางจีบครูฝรั่งทุกคน รวมทั้งสามีเราด้วย นางคิดว่าสามีเราโสด พอนางรู้ว่าสามีเราแต่งงานมีแล้วมีลูก 1 นางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังโดยทันที นางก็ไม่ได้สาวนะ 40 อัพแล้วมิหนำซ้ำยังมีลูกติด 2 คนเป็นหนุ่มแล้วด้วย นางได้บ้านพักหลังติดกับเรา โอ้โหทุกเช้านางจะตะโกนเรียกปลุกลูกให้ตื่นเสียงดังลั่นไปทั่วหมู่บ้านพักครูเลยค่า!!
นางคนนี้มีหน้าที่คอยต่อวีซ่าทำเอกสารต่างๆให้ครูต่างชาติที่โรงเรียน แล้วนางก็แกล้งสามีเราทำเอกสารที่ต้องยื่น ไปที่กรมแรงงาน ผิดหลายฉบับมาก จนสามีตามให้เรามาดู แต่ก็สายเสียแล้วเพราะมันหมดเวลายื่นเอกสาร มันทำให้สามีเรา ไม่ได้ ต่ออายุวีซ่า และหลังจากนั้นโรงเรียนก็เริ่มจ้างครูฟิลิปปินส์เข้ามาซึ่งมันทำให้ มีข้อเปรียบเทียบระหว่าง ครูชาวยุโรป ที่ค่าจ้างสูง กับครูฟิลิปปินส์ ที่ค่าจ้างถูกกว่า และแล้วพอหมดปีการศึกษานั้น ผอ.โรงเรียนก็บอกกับสามีเราว่า เขาจะเลิกจ้าง สามีเรา สิ้นปีการศึกษานี้ ให้เตรียมตัว หางานใหม่และย้ายออกจากบ้านพักครู เขาเสียใจด้วยจริงๆแต่โรงเรียนไม่สามารถจ้างครูต่างชาติได้ มากไปกว่านี้แล้ว พอดีตอนนั้น สามีและเราพากันไปเรียน ที่ ม.บูรพา จังหวัดชลบุรี แล้วตอนนั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่ง เขาก็ชักชวนให้สามีไปสอนหนังสือ ที่มหาวิทยาลัย สามีก็เลยบอกว่าโอเค ถ้าต้องออกจากที่นี่ ก็ย้ายไปที่ม.บูรพาแล้วกัน โอเคเราก็ลางานทั้งหมด 3 หรือ 4 วันนี้แหละเพื่อไปช่วยสามีย้ายบ้าน ทางมหาลัยจัดเตรียมห้องไว้ให้ 1 ห้อง เป็นประมาณคอนโด โอเคสามีก็อยู่ที่นี่ อากาศดีมากเลย มาอยู่ที่นี่สักพัก ก็มีรับจ๊อบไปสอน ตามโรงเรียนที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยบ้าง แล้วสามีก็ป่วย เขาฉี่ไม่ออก และฉี่ออกมาเป็นเลือด ต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาล เพราะวันที่เขาป่วย เขาลุกเดินไม่ไหวเลย หมอตรวจดูแล้วบอกว่าเขา อาจจะอั้นฉี่ จึงทำให้มีอาการแบบนี้ แต่ตัวเขาว่าไม่น่าจะใช่ ก็นอนอยู่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 วันเราก็ไปเฝ้าไข้เขาอยู่จนเกือบจะถูกไล่ออกจากงานเพราะบริษัทติดต่อเราไม่ได้ จริงๆแล้วน่าจะโดนไล่ออกนะ จะได้สำนึกสักทีว่าต้องกลับมาดูแลสามี
แล้วหลังจากนั้น สามีก็ต้องไปต่อวีซ่า ครั้งนี้ทางมหาลัย พาตัวเขาและครูฟิลิปปินส์ อีก 2-3 คนไปด้วย ไปต่อวีซ่ากันที่จังหวัดสระแก้ว มหาลัยเหมารถตู้ของมหาลัยไปส่งแต่พอไปถึงที่แล้วอาจารย์คนที่ทางมหาลัย มอบหมายหน้าที่ให้มาดำเนินงาน เกี่ยวกับเรื่องพาครูต่างชาติมาต่อวีซ่ากลับไม่มาซะงั้น พวกครูก็เลยต้องพากันกลับกรุงเทพฯ วีซ่ายังไม่ได้ต่อ แล้วก็เริ่มมีปัญหากัน จนผลสุดท้าย สามีจึงตัดสินใจลาออก แล้วก็กลับ มาอยู่บ้าน แม่เรา กับเราที่กรุงเทพฯ และไม่นาน เราก็ท้อง ลูกคนที่ 2 🤰❤❤